วันนี้ตื่นตีห้า
ตีห้าญี่ปุ่นก็ตีสามบ้านเรานี่หว่า
อืม... ไก่ยังไม่ตื่นเลย
ตื่นแล้วก็ล้างหน้าล้างตามานั่งริมระเบียงรอพระอาทิตย์ขึ้น อืม… หนาวว่ะ ตรงนี้ฮีตเตอร์มาไม่ถึง ขยับตัวกลับไปซุกผ้าห่มอีกแป๊บ หลังจากนั้นก็ลุกมานั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นและรอฟูจิซังตื่น ระหว่างนั้นก็เปิดดูพยากรณ์อากาศ
"mostly cloudy"
คนเราคงไม่โชคดีทุกวันเนอะ
อากาศข้างนอกเย็นมาก รู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าตู้เย็นเลยเอามือลูบกระจกเล่น เหย หนาวอ่ะ พอสักประมาณใกล้ ๆ 6:30 ฟูจิซังก็งัวเงียโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มเมฆ เรากับพี่เลยรีบแต่งตัวเพื่อเดินออกจากโรงแรมไปยังจุดที่ชมฟูจิซังได้ทั้งลูก ก่อนจะออกไปเราก็กดชาร้อนออกมาจากตู้เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายแบบที่ชอบทำ ปรากฏว่าชามันเป็นกระป๋อง โลหะนำความร้อนไง ร้อนจนลวกมือ
แต่พอเดินออกมาจากโรงแรมสักพักมันก็กลายร่างเป็นชาเย็น
มันจะหนาวเกินไปละ
เรากับพี่เดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็เล่นพ่นควันออกมาจากปากเป็นมังกร พอมองลงไปในทะเลสาบน้ำนิ่งมาก คงเพราะไม่มีเรือแล่นผ่าน มีแต่นกเป็ดน้ำที่กำลังลอยตุ๊บป่องอยู่บนผิวน้ำและทำกำลังทานอาหารเช้ากัน
แปลง่าย ๆ ว่ากำลังหาปลากินกันอยู่
เราลองสังเกตนกเป็ดน้ำ เวลามันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าหัวมันจะโยกไปด้วย อ๋อ… คันเร่งมันคงอยู่ตรงหัวนี่เอง
ใช่เหรอวะ ??
เสียดายไม่ได้ถ่ายคลิปเอาไว้ พอเดินไปถึงจุดที่ชมฟูจิซังก็ลองมองไปรอบ ๆ ตามระเบียงโรงแรมมีบางห้องตื่นมาเฝ้าฟูจิซังเหมือนกัน ริมทะเลสาบมีคนยืนตกปลา และก็มีป้าฝรั่งคนนึงรอถ่ายรูปเหมือนกับพวกเรา แต่เช้านี้เมฆเยอะมาก แม้ตอนออกจากโรงแรมจะเห็นหัวฟูจิซังโผล่มานิดหน่อยแต่พอถึงจุดชมกลับมองเห็นแต่เมฆ ตอนพระอาทิตย์โผล่พ้นภูเขาขึ้นมาเราก็ใจชื้น หวังว่าเดี๋ยวฟ้าคงจะใส เมฆคงจะกลับบ้านไป แต่มันไม่ใช่เลย เมฆกลับเยอะกว่าเดิม
ชาร้อนที่กินเพื่อให้ความอบอุ่นก็หมดกระป๋องไปนานแล้ว ไคโระก็ไร้ประโยชน์มาก เป็นแค่กระดาษเย็น ๆ ตอนนั้นหนาวมากจนรู้สึกเหมือนนิ้วมือนิ้วเท้าจะหลุดออกมา เรากับพี่พยายามหาความบันเทิงทำระหว่างรอ แต่ดูเหมือนกิจกรรมเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือดูนกเป็ดน้ำ
รอได้สักประมาณเกือบชั่วโมง 7.30 เราก็ยอมแพ้เดินกลับโรงแรม ในใจคิดว่าเมื่อวานเราคงเห็นเยอะแล้ว วันนี้คงไม่ได้เห็นอีกมั้ง ขากลับรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิมมาก ๆ ร่างกายแทบจะแข็ง ขยับตัวแล้วรู้สึกเจ็บไปหมด แถวยังต้องเดินขึ้นเนินเพราะโรงแรมอยู่บนเขา ตอนนั้นหายใจหอบแรงมาก จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าโรงแรม
เอ๊ะ ? นั่นอะไรวะ
ไอ้เชี่ยยย ฟูจิซังโผล่มาแล้ว
งัวเงียมาเชียว เรากับพี่เลยรีบเดินขึ้นห้อง พอมาถึงห้องเท่านั้นแหละ นางโผล่ออกมาทั้งลูกเลย เมฆตะกี้หายไปไหนหมดวะ สรุปเราก็มานั่งดูฟูจิซังที่ระเบียงห้องนี่แหละ
พอ 8 โมงก็ถึงเวลาอาหารเช้า กะว่ากินข้าวเสร็จจะออกไปดูตรงริมทะเลสาบอีกรอบ แต่คงไม่เดินไปถึงจุดที่เดินไปเมื่อเช้า เพราะจองรถออกจากโรงแรมไว้ตอน 9:30 แต่พอลงไปถึงถนนกลับมองไม่เห็นฟูจิซัง เลยเดินกลับขึ้นมาที่ห้องอีกรอบ
เป็นการออกกำลังกายยามเช้าที่…
หลังจากนั้นเราก็เก็บข้าวของเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม รถของโรงแรมมาส่งที่สถานีตรงเวลา พอมาถึงสถานีฟูจิซังกลับไปนอนต่อแล้ว สงสัยเมื่อกี้คงตื่นมาส่งเรามั้ง
เป็นเจ้าบ้านที่น่ารักสัส
พี่เราเอาใบจองรถบัสกลับโตเกียวไปรับตั๋ว จากนั้นก็ไปยืนรอตรงป้ายเบอร์ 1 ซึ่งปลายทางคือสถานีชินจุกุ สัก 10:10 รถก็มาแต่คันที่มาเป็นเบอร์ 2 ของเราเป็นเบอร์ 1 พนักงานก็บอกว่า เวทเฮียๆ ตอนนั้นงงมาก ทำไมเบอร์ 2 มาก่อนเบอร์ 1 วะ หลักการอะไร
พวกเรารอจนประมาณเกือบ 10:30 กว่ารถจะมา ตามเวลาบนตั๋วคือ 10:10 อ่ะ ญี่ปุ่นนี่ก็เลทได้เหมือนกันว่ะ
พอรับคนจากสถานีคาวากุจิโกะเสร็จรถบัสก็แวะไปรับผู้โดยสารที่สถานีฟูจิคิว หลังจากนั้นก็ขับเรื่อย ๆ รถไม่ได้วิ่งยาวโดยไม่แวะเลยนะ มีแวะบางสถานี เราเผลอหลับไปสักพักด้วยความเหนื่อย สักประมาณเที่ยงกว่า ๆ ก็ถึงชินจุกุ คนขับขอตั๋วคืนด้วย นี่ก็คุ้ยใหญ่เลย เพราะตอนขึ้นรถโยนๆใส่กระเป๋าแบบไม่ได่ใส่ใจ ใช้เวลาอยู่สักพักก็หาตั๋วเจอ พอคืนตั๋วให้เขาแล้วก็ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา หลังจากนั้นก็โดดลงจากรถ เรากับพี่มองซ้ายมองขวาแล้วเดินไปทางสถานีรถไฟชินจุกุที่อยู่ไม่ไกลกันนัก แล้วตัดสินใจว่าเราจะไปฝากกระเป๋ากันที่สถานีชิบุยะก่อนแล้วย้อนกลับมา 1 สถานีเพื่อลงฮาราจุกุ เพราะเป้าหมายหลักของเราในวันนี้คือ PABLO cafe
PABLO เป็นชีสทาร์ตที่มีต้นกำเนิดมาจากโอซาก้า โด่งดังจนเข้ามาเปิดสาขาในโตเกียวและเมืองอื่น ๆ รวมไปถึงต่างประเทศอย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน อีกทั้งใครก็ตามที่มาเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องมากิน Pablo แล้วบอกว่าอร่อยนักอร่อยหนา พอเราเห็นมันเปิดเป็นคาเฟ่เลยคิดว่าจะต้องไปลองให้ได้
พอฝากกระเป๋าที่สถานี Shibuya เสร็จแล้วก็เราก็นั่งย้อนมา 1 สถานีลง Harajuku พอเดินออกมาจากสถานีก็ข้ามถนนมา เดินตรงไปพอถึงแยกก็เลี้ยวซ้าย ตรงปากทางจะมีร้าน Gindako มองเข้าไปจะเห็นป้ายร้าน เดินไปนิดเดียวก็จะเจอ Pablo Cafe แล้ว อยู่ติดกับ Johnny's Shops เลย
โอเค หาไม่ยาก เลยคุยกับพี่ว่าไปหาข้าวกิน ซื้อของ แล้วค่อยกลับมากินละกันเนอะ
หลังจากนั้นก็เดินไปหาอาหารกลางวันกิน บ่ายโมงแล้ว รู้สึกหิวมาก ๆ แถวฮาราจุกุก็มีแต่ร้านมุมิ ไม่ก็พวกอาหารฝรั่ง ซึ่งตอนนั้นเราอยากกินข้าวมาก ๆ ข้าวววว เราต้องการข้าว จึงคิดว่าหรือเราควรจะเดินตามหลืบตามซอยเผื่อจะเจอร้านข้าว ลองคิดดูสิว่าเราคงไม่เจอร้านตามสั่งแถวสยามอยู่ติดถนนพระราม 1 หรอก
เออ พอเข้าไปในซอยแล้วก็เจอจริง ๆ
เราเห็นป้ายที่ตั้งอยู๋หน้าร้านเป็นพวกชุดอาหารกลางวัน ราคาก็ไม่เกิน 1,000 เยน ตามที่ตั้งงบเอาไว้เลยลองดูเมนูแล้วลงไปชั้นใต้ดิน ภายในร้านเป็นร้านประเภทนั่งดื่มหลังเลิกงาน มีบาร์ และมีโต๊ะอาหารอยู่หลายโต๊ะ เกือบทั้งหมดในร้านจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แวะมากินข้าวกลางวัน เรากับพี่ก็เลยตัดสินใจกินที่นี่ละ สั่งชุดโครเกต์มาคนละชุด
อื้มมม อร่อยอ่ะ
เวลาเลือกร้านมั่ว ๆ แล้วอร่อยมันฟินจริง ๆ
หลังจากกินเสร็จก็เดินสำรวจแถว ๆ นั้น ร้านอาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารตะวันตก พวกอาหารอิตาเลียน เบอร์เกอร์ หรือไม่ก็พวกร้านขนมไปเลย เห็นร้านกงชาที่เป็นชาไต้หวันด้วย อยากลองแต่รู้สึกว่า... อืม... ไม่เอาดีกว่า
หลังจากนั้นก็เข้า Kiddyland เพลิดเพลินกับสินค้า OTOP ละลานตามาก ต้องตั้งสติให้มาก ๆ
อันนี้กรี๊ดมากกกกกกกกกก การ์ตูนสมัยดึกดำบรรพ์
ตรงนี้ก็กรี๊ด แพงมาก
มีกู๊ดส์พวกกระต่ายกับพีสุเกะของคานาเฮย์ซังด้วย แต่แพงกว่าที่คิด
สรุปว่าได้ของมาหลายอย่างยกเว้นโคกุมะจังที่ sold out ไปแล้ว ฮืออออ
หลังจากนั้นก็ออกจากร้าน แวะ ABC Mart (อีกแล้ว) เราได้รองเท้าไปแล้วแต่พี่เรายังไม่ได้ เลยพากันแวะทุกครั้งที่เจอ จนในที่สุดก็ย้อนกลับไปตรง Pablo Cafe เพราะท้องพร้อมสำหรับของหวานแล้ว
แต่...
คนมาจากไหนกันวะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ ตะกี้ยังไม่มีเลย
เราเลยเดินไปดูว่าหัวแถวมันอยู่ตรงไหน
คืิิอมีด้านในอีก และเราได้ยินคนข้างหลังถามว่าอีกนานไหม พนักงานตอบว่าเกินชั่วโมง เรากับพี่เลยโบกมือลาแล้วคิดว่าไปซื้อที่ชิบุยะก็ได้ ยังไงก็จะไปที่นั่นอยู่แล้ว เราเลยเดินย้อนกลับไปยังสถานีแล้วนั่ง Yamanote Line ไป 1 สถานีลง Shibuya
พอมาถึงสถานี Shibuya แล้ว ปรากฏว่าหลงกันอยู่สักพัก หาทางออกไม่เจอ 555555 ก็คิดว่าเดินตามป้ายแล้วนะ อยู่ ๆ ป้ายมันก็หายไป ขนาดสถานี Shinjuku กับ Ikebukuro ที่ว่าใหญ่อันดับ 1 และ 2 ยังไม่หลงเลย มาหลงที่ Shibuya ซะได้
แล้วก็มายืนดูแยก อ๋อ... นี่เองเหรอ
หลังจากนั้นก็ลงมาพบฮาจิโกะ เห็นคนยืนต่อแถวรอถ่ายรูปกันอย่างเป็นระเบียบ รู้สึกอเมซิ่งมาก เลยไปยืนต่อแถวกับเขาด้วย ให้ฟีลเหมือนกำลังรอมีตติ้งกับอปป้ายังไงก็ไม่รู้
คนที่มาต่อแถวรอถ่ายรูปไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว เพราะข้างหน้าเราเป็นน้องนักเรียนญี่ปุ่นมากัน 4 คน ดูจากลักษณะแล้วเหมือนเด็ก ม.ต้น น้องขอให้เราช่วยถ่ายรูปให้ พอถ่ายรูปเสร็จน้องก็ดีอกดีใจกันใหญ่ รู้สึกดี เหมือนได้ช่วยเหลือประเทศชาติเขา 5555555
ของเรากดมา 2 ช็อต แต่เหมือนกรรมดีมันตามทัน คนข้างหลังเลยบอกว่าจะช่วยถ่ายให้ เราบอกไม่เป็นไร ๆ แต่เขาดูอยากจะถ่ายให้มาก ๆ เราเลยกวักมือเรียกพี่มาถ่ายด้วยกัน แต่พี่เราขี้เกียจลุกมาถ่าย สรุปเราเลยมีรูปคู่กับฮาจิโกะ 1 รูป (แต่ถ่ายให้กูเอียงอะ 5555555)
เสร็จแล้วก็ไปเดินข้ามแยก กรี๊ดดดด นั่นป้าย KAT-TUN
ไปลองยืนตรงกลางแยกแป๊บนึง รู้สึกเฉย ๆ กว่าที่คิด 55555
พอเดินเล่นสำรวจร้านแถว ๆ นั้นสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าอากาศเย็นลง เลยบอกพี่ว่าไปซื้อ Pablo แล้วกลับไปนั่งกินกันดีกว่า พอเดินตามพิกัดที่เซฟเอาไว้มาถึงตรงนี้ก็เจอ...
เอ๊ะ ????????
เราอาจจะมาผิดก็ได้ ไหนลองเสิร์ชหารูปคนอื่นหน่อยสิ หาพิกัดอีกรอบแล้วเดินไปถามพี่ว่า
"เฮ้ย มันใช่ป่ะ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in