เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อคิดออกจะมาเขียนสุพรรณฝันเฟื่อง
สอง : "หนัง"สือเจ้าเพื่อนยาก
  • เราชอบอ่านหนังสือมาก
    การที่เราชอบอ่านหนังสือนี้ ส่งผลให้เราซื้อหนังสือเก็บไว้เป็นจำนวนมาก มากในชนิดที่ว่าไม่สามารถเก็บไว้ในห้องๆเดียวได้ และจะมีการกระจายเป็นจุดๆภายในบ้าน เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หัวเตียง หรือแม้กระทั่งในกระเป๋าเดินทาง

    ถ้าถามว่าทำไมถึงชอบอ่านหนังสือ
    เพราะเราชอบอ่านตัวหนังสือ
    และ
    เป็นคนชอบจินตนาการ
    ถึงแม้ว่าการ์ตูนที่เห็นภาพหรือหนังสือภาพอะไรแบบนี้ มันทำให้เข้าใจง่ายกว่า หรือดูเป็นรูปเป็นร่างมากกว่า
    แต่ส่วนตัวเรากลับชอบตัวหนังสือที่มันเยอะๆ เพราะเราจะได้ฝึกใช้ความคิดไปกับตัวหนังสือนั้นๆ

    หนังสือเล่มที่หนาที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาตอนนี้คือเรื่อง Davinci Code
    สนุกมาก อ่านซ้ำมาประมาณ 3 รอบแล้ว และก็คิดว่าจะกลับไปอ่านอีกรอบเร็วๆนี้
    อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้อ่านเล่มนี้ ทั้งๆที่เนื้อหาเข้าใจยากมาก
    แต่พอได้อ่านแล้ว อ่านไปเรื่อยๆมันก็เกิดภาพต่างๆขึ้นมาในหัว ไม่ว่าจะเป็นในฉากของตัวศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน หรือแม้กระทั่งสถานที่ต่างๆภายในเรื่องก็ตาม
    เห้ย มันสนุกอ่ะ
    นอกจากนี้ยังฝึกให้เราคิดถึงความเชื่อมโยงระหว่างเบาะแสต่างๆภายในเรื่อง ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมต้องเป้นอย่างนี้ เหมือนเราได้ฝึกใช้กระบวนการความคิดของตัวเราเองด้วย

    หลังจากที่อ่านหนังสือจบรอบแรกก็ไปเสิร์ชหาในเน็ตว่ามีหนังสือแบบนี้อีกมั้ย ก็เจออีกหลายเล่มเลยทีเดียว เลยรู้สึกติดใจและพยายามตามเก็บไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ก็ได้เห็นว่าหนังสือเรื่องนี้ถูกเอาไปสร้างเป็นหนังด้วย แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอยากดูหนังเท่าไหร่

    เพราะว่าเรากลัวว่าในหนังจะไม่เหมือนกับที่เราเคยจินตนาการไว้ และอีกอย่างหนึ่งของหนังที่ทำมาจากหนังสือโดยส่วนใหญ่(ในความคิดเห็นเรา) จะตัดทอนเนื้อหาออกไปเยอะมาก เพื่อให้เนื้อเรื่องกระชับและเข้าใจได้ง่าย ซึ่งเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนละเลยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆทีีในหนังสือมีไป


  • แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ดูหนังที่เอามาจากหนังสือเลย

    แน่นอนว่าหลายๆคนในที่นี้ต่างก็ต้องเคยผ่านเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ กันมาทั้งนั้น (หรือเปล่านะ)
    เรื่องนี้เราไม่ปฏิเสธเลยว่าหนังมันดี และใกล้เคียงกับในหนังสือเยอะพอสมควร และด้วยความที่มันเป็นแนวแฟนตาซี การที่ออกมาเป็นตัวหนังก็ย่อมที่จะสนุกอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในหนังเองก็ตัดเนื้อหาในหลายๆบทที่มีอยู่ในหนังสือออกไป เช่นตอนที่แฮรี่จะลากับดัดลีย์ในภาคท้ายๆของหนังสือ ก้ไม่มีในหนัง

    และมีอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบก็คือ 5 centimetre per second ของ อ.มาโคะโตะ ชินไค เรื่องนี้เราซื้อหนังสือมาอ่านก่อน แล้วจึงได้มาค้นพบทีหลังว่า หนังสือเรื่องนี้ก็ถูกทำเป็นหนังแอนิเมชั่นด้วย เราก็เลยไปหาดู เราไม่มีความสงสัยในเนื้อหาของหนังเท่าไหร่ เพราะคนที่เขียนหนังสือและคนที่ทำหนังก็คือคนๆเดียวกันนั่นเอง เรื่องนี้เราขอยกให้เป็นข้อยกเว้น

                                                             กราบ อ.มาโคะโตะ ชินไค ค่ะ

    และสำหรับเรื่องอื่นๆ ถ้าเราอ่านหนังสือ เราก็จะไม่ดูหนัง แต่ถ้าเราได้ดูหนังเราก็จะไม่อ่านหนังสือ

    ในเหตุผลที่ถ้าอ่านหนังสือจะไม่ดูหนังก็อธิบายไปแล้ว ทีนี้จะขออธิิบายเหตุผลที่
    ถ้าดูหนังจะไม่อ่านหนังสือ

    เพราะเราเป็นคนขี้เกียจ เราจะเข้าใจว่า ถ้าดูหนังแล้วจะกลับไปอ่านหนังสือทำไม ในเมื่อมันสรุปมาให้แล้ว
    อย่างเช่นเรื่อง Gone Girl เรื่องนี้เราดูหนังแล้ว และไม่คิดจะซื้อหนังสือมาอ่าน เพราะสำหรับเรื่องนี้แค่ในหนังก็ตามยังไม่ทันอยู่แล้ว (นางเอกแม่งโหดไปไหน) ถ้าจะให้ไปอ่านหนังสือซึ่งน่าจะรายละเอียดยิบย่อยกว่านี้ (แน่นอน) ก็ขอไม่สู้
                                   ถ้าใครเคยดู เรามาออกเสียงพร้อมกันนะคะ You. F**king. *itch.

    เงื่อนไขแบบนี้อาจฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะ ในหนังก็อาจจะมีฉากพิเศษที่ไม่เหมือนในหนังสือ หรือในหนังสืออาจะมีการขยายความที่ดีกว่านี้ แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ ก็เป็นเงื่อนไขส่วนตัวของเรา

    (ไม่รู้ว่าผู้กำกับจะโกรธ คนเขียนจะเกลียดมั้ย หนูขอโทษค่ะ)
  • การที่หนังสือถูกมาทำเป็นหนังก็แสดงให้เห็นหลายๆอย่าง

    1. หนังสือเล่มนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

    2. หนังสือเรื่องนี้ถ้าหากไปทำเป็นหนัง อาจจะอธิบายให้เห็นภาพได้ดีกว่า เพราะบางทีคนอ่านอาจจะอ่านจบก็จริงแต่ยังปมหลายๆอย่างที่สามารถนึกภาพออกมาได้ การที่ไปทำเป็นหนังจะช่วยในเรื่องนี้

    3. และการที่หนังถูกมาทำเป็นหนังสือ สำหรับเราเหมือนเป็นการช่วยเหลือกันและกันระหว่างนักเขียนกับผู้กำกับ  เพราะว่าถ้าหนังดี หนังสือก็จะขายดีด้วย จากที่ได้เห็นบนชั้นหนังสือ Best Seller หลายๆที่เวลาที่มีหนังที่ทำมาจากหนังสือดัง
    และในกรณีเดียวกันถึงแม้ว่าหนังไม่ดี ได้รับคำวิจารณ์อย่างล้นหลาม หนังสือก็ยังสามารถขายได้อยู่ อย่างเช่นตอนที่หนังเรื่อง Fifty Shades of Grey ฉาย เราเห็นว่าหลายๆสื่อให้คำวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่เรากลับเห็นหนังสือถูกวางอยู่บนชั้น Best Seller นานพอสมควรเหมือนกัน อาจจะด้วยแฟนหนังสือเรื่องนี้บอกว่าในหนังสือมัน "สนุกกว่า"

    เป็นการตลาดที่ไม่เลวเลย ว่าไหม?

    และตอนนี้ก็เริ่มตันแล้ว ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อ เอาเป็นว่าจะติดตามหนังสือของ Salmon Books ต่อไปนะฮะ

    ปย๊ง!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in