เสียงออดแจ้งเตือนเวลาเลิกเรียนดังไปทั่วห้องกว้าง เด็กหนุ่มปรายสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังตน ก่อนที่จะรีบรุดลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไปหลังจากทีอาจารย์ให้การบ้านของวันนี้เรียบร้อยแล้ว
ปีเตอร์เดินตามอีกฝ่ายมาจนเกือบสุดซอย ภายในตรอกว่างเปล่า มีเพียงสิ่งของและขยะกระจัดกระจาย เขาพยายามเดินตามอีกฝ่ายให้เงียบที่สุด เพราะอยากจะรู้ว่าตกลงแล้วเด็กสาวที่เพิ่งเข้าเรียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นอะไรกันแน่
อย่างน้อยถ้าพร้อมเป็นมิตร สไปเดอร์แมนคนนี้ก็ยินดีที่จะรู้จัก
ครืด…! โครม!!!
“เห้!!!”
ถึงขยะขนาดใหญ่ถูกผลักจนกระเด็น เป้าหมายเป็นเขาแน่ไม่ผิดเพี้ยน หากแต่โชคดีที่สไปเดอร์เซ้นส์ของปีเตอร์ทำให้ตัวเขากระโดดหลบอย่างรวดเร็วจนเผลอขึ้นไปไต่อยู่บนกำแพงอิฐ
“โอ้เวร…”เด็กหนุ่มอุทานออกมา ก่อนที่จะกระโดลงมาอยู่บนพื้นตามปกติ สองมือยกขึ้นพร้อมกับพยายามบอกให้อีกฝ่ายไม่เสียงดังกระโตกกระตากไป
ปีเตอร์ ซวยแล้วไง คุณสตาร์ครู้เข้าคงด่าเขากระจุยแน่
“นายนี่เอง ฉันตกใจหมด นึกว่าโจร!”
เด็กสาวร้องบอก ก่อนที่จะเอามือที่เหมือนจะตั้งการ์ดหากแต่ก็ไม่ใช่ลงไปไว้ข้างลำตัวดังเดิม
“คือ...ฉันแค่จะเดินมาดูน่ะ แบบว่า เธอดูเงียบๆ เหมือนมีปัญหา แต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ…คงเป็นฉันมากกว่า”พาร์คเกอร์บอก ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“อ่าฮะ...ไม่ต้องกลัวฉันไปบอกใครหรอก ฉันไม่ใช่คนปากมาก แล้วนายตามฉันมาเพื่อเรื่องแค่นี้น่ะหรอ?”เด็กสาวพยักหน้าบอก แล้วจึงถามกลับอีกหน พลางยกมือขึ้นกอดอก
“ใช่…”
“โอเค...งั้นฉันกลับแล้วนะ คือแบบ มีงานที่ต้องทำ เยอะแยะไปหมด”
ปีเตอร์พยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะยืนมองอีกฝ่ายเดินไป ตัวเขาเองก็ควรที่จะรีบกลับไปทำงานเหมือนกัน ดูเหมือนวันนี้สไปเดอร์แมนน่าจะไปทำงานสายนิดหน่อยล่ะนะ
เด็กหนุ่มหันกลังเตรียมจะเดินกลับ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลของตนกลับเหลือบไปเห็นบางอย่างที่เกือบจะทำร้ายเขาเมื่อครู่
ถังขยะอันนี้ไม่ใช่เล็กๆเลย ของข้างในอีก น้ำหนักคงหลายปอนด์ แรงผู้ชายบางคนยังผลักมันไม่ออกด้วยซ้ำ แล้วทำไมมันถึงกระเด็นมาแรงได้ขนาดนั้น…?
“คริสตัล…!”
ปีเตอร์ตะโกนเรียก และทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น สองขาเรียวของร่างบางระหงก็หยุดชงักทันที
“ม...มีอะไรหรอ?”คริสตัลตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะค่อยๆหันกลับไป
“เธอ...ผลักถังนี่ด้วยตัวเองหรอ?”พาร์คเกอร์ถาม
“ก็...ก็ใช่ แต่ไม่ใช่แรงฉันทั้งหมดหรอก แบบว่า พื้นมันคงเอียง ล..แล้วก็...นั่นอะไรน่ะ!”
เด็กสาวแสร้งทำชี้ไปที่ยอดตึกฝั่งตรงข้าม ก่อนที่จะวิ่งสุดชีวิต อย่างน้อยก็น่าจะดึงความสนใจจากนายพาร์คเกอร์ไปได้ซักสองสามนาที มันน่าจะทำให้เธอขึ้นรถบัสคันนั้นทัน
คริสตัลยกมือขึ้นมาเท่าระดับไหล่ ก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะถูกดูดเข้าไปหาบางอย่างที่เป็นโลหะจากฝั่งตรงข้าม ทว่ามันก็ยังเร็วไม่พอ เพราะร่างของเธอที่กำลังถูกกระชากกลับด้วยใยบางอย่างที่ดึงรั้งเอาไว้ ก่อนที่ใยนั้นจะเหวี่ยงร่างเธอขึ้นไปกระแทกกับกำแพงที่ยอดตึก
“ไงคริสตัล หวังว่าจะมีคำตอบดีๆให้ฉันนะ”
##########
“สีนี้ก็สวยดี อ้าว ว่าไงไรดส์ นี่ไง เห็นผลงานชิ้นใหม่ของฉันมั้ย ไอพ่นแบบใหม่ ทีนี้ก็ไม่ต้องตัวติดกับชุดอย่างเดียวแล้วถึงจะบินได้”ชายวัยกลางคนเจ้าของตึกขนาดใหญ่ใจกลางนิวยอร์กเอ่ยบอกกับเพื่อนของตน ชายผิวสีอายุไล่เลี่ยกันยืนเพ่งพินิจพิจารณามันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“สวยดี แล้วนายคิดจะเอาไปทำอะไร?”
“ทำไว้เฉยๆ...คนมันเหลือกินเหลือใช้น่ะนะ…”โทนี่บอกแค่นั้น ก่อนจะจะหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ด ผู้พันโรห์ดี้มองเสื้อแขนยาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำมัน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
“ทำไมรอบนี่ใช้น้ำมันล่ะ ไม่ใช้ไฟฟ้าแล้วหรอ?”
“ใช้ ที่เปื้อนนี่ฉันไปงัดของในตู้มานิดหน่อย เปิดไม่ออกก็เลยราดน้ำมัน”
“นั่น...ที่เคยอยู่ตรงกลางออกนายใช่ไหม?”ผู้พันโรดส์ชี้ไปที่ใจกลางของแท่นเหล็กขนาดพอดีที่กำลังเรืองแสงอยู่
“จริงๆ ต้องเรียกว่าส่วนที่เหลือมากกว่า ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะยังมี”โทนี่ตอบ แล้วหันไปสั่งเจ้าเครื่องจักรให้จัดการเอาเจ้านี่ไปเก็บเอาไว้ก่อน
“พวกเขาว่ายังไงบ้าง”โทนี่สตาร์คหยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดไปถามไป
“เขายอมยกเลิกหมายจับพวกสตีฟแล้ว แต่บอกว่าจะจับตาดูเราให้มากกว่าเดิม ถ้าช่วงนี้ออกมาใส่ชุดเดินเพ่นพ่านล่ะก็ คราวนี้เขาจะจับเราทั้งหมด”โรดส์บอกสิ่งที่ตนไปประชุมมาให้กับเพื่อนสนิทฟัง ถึงอย่างนั้นเศรษฐีหนุ่มก็ยังขมวดคิ้วออกมานิดหน่อย หากแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะคิดว่าคงไม่ค่อยจำเป็น
“นายคะ มีสายเข้าจาก ปีเตอร์ พาร์คเกอร์”
“โอเค บอกให้รอเดี๋ยวนึง”
โทนี่ว่า ก่อนจะรีบเดินออกไปยังห้องห้องทำงานที่อยู่ข้างๆกัน โรดส์ลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ
เขาไม่เคยเห็นโทนี่ลุกลี้ลุกลนขนาดนี้มากก่อนนอกจากตอนที่ยังคบกับเพ้พเพอร์ อดีตคนรักที่ตอนนี้หายหน้าหายตา เพราะร้างลาความสัมพันธ์กันไป หากแต่ก็ยังคงบอกว่าถ้าทุกอย่างดีขึ้น ก็จะกลับมาทำหน้าที่เลขาให้เหมือนเดิม
นับว่าสปีริตดีใช้ได้
“ว่าไงไอ้หนู ถ้าจะมาขอให้ไปรับฉันจะบอกเลยนะว่าฉันไม่ว่าง”ชายวัยกลางคนว่าติดตลก แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้โทรให้ไปรับ แต่ก็อยากจะแกล้งเย้าแหย่ให้สนุกสนานเท่านั้น เห็นไอ้เด็กนี่ร้องแง้วๆ เหมือนลูกหมาแล้วสนุกดี
“คุณสตาร์ค คือผมอยากจะโทรมาถามเรื่อง แบบว่า มันอาจจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่มันจะเป็นไปได้มั้ยที่โลกนี้จะมีคนที่สามารถดึงตัวเองเข้าหาเหล็ก หรือว่าผลักเหล็กออกจากตัวเองโดยไม่ต้องใช้แรง แบบว่า คือ เหมือนเป็นแม่เหล็ก”
“นายพูดอะไรวกวนจังปีเตอร์ อะไรเหล็กๆ นะ”โทนี่ถามกลับไป พอจะจับใจความได้ว่าคนที่เหมือนแม่เหล็ก แต่เขาอยากจะได้คำอธิบายที่แน่ชัดกว่านี้
“นายไปเจออะไรมาปีเตอร์?”โรห์ดี้ถามซ้ำกลับไปอีก เพราะเขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มต้องไปเจออะไรแปลกๆมาอีกแล้วแน่ๆ
“คือผมแค่สงสัย แบบว่า คนๆหนึ่ง จะสามารถเป็นเหมือนแม่เหล็กได้มั้ย แบบว่า ดึงเข้า สะท้อนออก ตามหลักของมัน แต่ว่ามันอยู่ในคนน่ะครับ”
“ไม่แน่ใจนะปีเตอร์ เพราะดูจากที่ทั้งนาย ฉัน โรห์ดี้ สตีฟ หรือแบนเนอร์ ทุกคนก็ดูน่าเหลือเชื่อเกินไป มันก็อาจจะเป็นไปได้”
เขาบอกตามที่คิด จะบอกว่าไม่มีทางเลยก็คงไม่ใช่ เพราะในทีมก็มีคนที่ดูน่าเหลือเชื่อไปเกินครึ่ง ทั้งจากการฝึกแล้วก็สิ่งต่างๆ แต่ทุกอย่างล้วนเกิดมาจากการทดลองทั้งนั้น
ยกเว้นพี่ป๊อปอายจากแอสการ์ดไว้สักคน
“แล้วถ้าเกิดมีคนแบบนั้นจริงๆ?”
“สายเข้าจากคุณนาตาชาค่ะนาย”เสียงจากเอไอสาวแจ้งเตือนขัดบทสนทนาเหล่านั้นขึ้นมา
“ปีเตอร์ ฉันขอคุยธุระก่อน ถ้าอยากรู้อะไรอีกนายก็เสิร์ชเอา รู้จักกูเกิลใช่มั้ย เอาล่ะ โชคดี ส่งสายนาตาชามาฟราย์เดย์”
“ค่ะนาย ---คุณดูยุ่งๆนะช่วงนี้ โทนี่”
“ก็นิดหน่อย ผมว่าวันนี้จะเข้าไปดูบ้านซักหน่อย ปีหน้าจะสร้างเสร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ยังฟื้นได้อยู่อีกหรอ ที่นั่นน่ะ”
ปลายสายว่า โทนี่ได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะที่ไม่รู้ว่าสมเพชหรือว่าหมายความด้านอื่นเจือปนอยู่ในประโยคด้วย ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าโดนยิงไปซะเละเทะ แต่มหาเศรษฐีอย่างเขา จะเสกบ้านอีกกี่หลังก็ย่อมได้ แค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น
“มีอะไรคืบหน้าเหรอ?”เขากระตุกยิ้ม เหมือนนาตาชาน่าจะรู้แล้วว่าสตีฟและคนอื่นๆ ถูกถอนหมายจับ
“ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์ไปเคลียร์ให้…”
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ มื้อเย็นจะฉลองด้วยอะไรดี มาที่นี่มั้ย ผมพร้อมเปิดรับทุกคนเสมอ”
“คงยังไม่ใช่ตอนนี้ ฉันต้องจัดการเรื่องที่อยู่ใหม่ อ้อ ขอบใจเรื่องบ้านด้วย สวยมาก”เสียงปลายสายก้องขึ้นเหมือนกับกำลังเดินเข้าไปในบ้าน รวมไปถึงน้ำเสียงที่ดูจะมีความสุขไม่น้อยที่ได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
หลังจากมีเรื่องมีราวมากมาย นานๆทีพวกเขาจะได้หยุดพักกันบ้าง งานหนักสุดเห็นจะเป็นเขา เพราะหลังจากที่ตามจัดการเรื่องของเจ้าเด็กหนุ่มตัวแสบจนเสร็จสรรพ งานในมือก็ดูเหมือนจะยิ่งเยอะเข้าทวีคูณ
ต้องยอมรับว่าหลังจากไม่มีเพ้พเพอร์ ชีวิตก็ดูยุ่งและวุ่นวายขึ้นเยอะ ช่วงสองสามปีหลังมานี้ โทนี่ทุ่มเทชีวิตในทุกๆวันให้กับงานและสิ่งประดิษฐ์ จนแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ถึงจะคุ้มค่า แต่เขาก็คิดวว่าตัวเองควรจะต้องหาเวลาพักร้อนซักหน่อย
“ใช่มั้ยล่ะ ถ้าหาแบนเนอร์เจอก็บอกเขาด้วยว่าแลบใต้ดินยิ่งใหญ่อลังกาลมาก ชวนให้เขามาลอง”
“ถ้าเจอ...ฉันคงจ้องวางสายก่อน เห้ เอามาไว้ตรงนี้เ---”
“เสียงเธอดูร่าเริงขึ้นนะ”เพื่อนสนิทบอก แล้วส่งกาแฟชั้นดีส่งกลิ่นหอมกรุ่นที่แฮปปี้ชงมาเสิร์ฟให้กับอีกฝ่าย
“ก็น่าดีใจจริงๆ นั่นแหละ”โทนี่ยกยิ้มขึ้น พลางมองออกไปนอกระจก ชื่นชมกับทิวทัศน์ในยามบ่ายของเมืองที่แสนจะวุ่นวายที่สุดในโลก
##########
“กลับมาแล้วครับป้าเมย์”เด็กหนุ่มร้องทักผู้เป็นป้า แม้กาลเวลาจะทำให้อายุของอีกคนมากขึ้น แต่เมย์ พาร์กเกอร์ก็ยังคงสวยไม่สร่าง หญิงสาวที่อายุขึ้นเลขสี่แล้ว ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายมีริ้วรอยแต่อย่างใด อีกอย่างที่ช่วยได้เยอะ ก็คงจะเป็นเรื่องการแต่งตัวของอีกคน ที่ดูจะทำให้ป้าเมย์ของเขายังดูเหมือนสาววัยยี่สิบปลายๆ
“ไงจ๊ะปีเตอร์ นี่ มาดูเร็ว ป้าทดลองอบเค้กดู ของหวานมื้อเย็นน่ะจ้ะ”
“น่ากินมากเลยครับ งั้นผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”
“หลานดูซึมๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”เมย์ถามขึ้น หลานชายของเธอ แค่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่ารู้สึกยังไง เป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่เก่งเอาเสียเลย
“ผม...มีรายงานนิดหน่อยน่ะครับ มันยากมากเลย”
“อย่าบอกนะว่าหลานนั่งจมอยู่ที่ห้องสมุดก็เลยกลับเย็นน่ะ…?”
“อ่า….ก็ใช่ครับ นิดหน่อย พอดีรายงานมันเนื้อหาเยอะน่ะครับ”
“ป้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าเราอย่าไปเครียดกับเรื่องพวกนี้ให้มันมาก หลานป้าน่ะเก่งอยู่แล้ว รีบไปเก็บกระเป๋าเร็วเข้า แล้วมากินข้าวกัน”
เด็กหนุ่มรีบเดินเข้ามาในห้อง ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนที่จะค่อยๆเอื้อมไปเปิดคอมพิวเตอร์แล้วพยายามค้นหาสิ่งที่ตนเองสงสัยบนโลกอินเตอร์เน็ต
อย่างน้อยมันก็ต้องมีคำอธิบายบ้างว่าตกลงแล้วมันคืออะไรกันแน่
คนแม่เหล็ก
คนที่มีแม่เหล็ก
คนมีสารเหล็ก
“ไม่มีจริงหรอวะเนี่ย”
ปีเตอร์สบถออกมาลำพัง หากแต่เมื่อนึกย้อนไปถึงบนดาดฟ้านั่นก็อดที่จะทึ่งไม่ได้ เขาโดนผลักจนกระแทกกำแพง แทบจะน่วมไปทั้งตัว โดยที่คริสตัลขยับออกแรงแค่นิดเดียว เธอแทบจะยกตึกทั้งตึกได้ด้วยมื้อเดียวเลยด้วยซ้ำ
“รู้แล้วก็เงียบๆไว้เถอะนะปีเตอร์ อย่าลืมว่าฉันก็มีความลับของนาย เอาเป็นว่าเราหายกันนะ ฉันไปล่ะ”
“เดี๋ยวสิ! ฉันยังไม่รู้เลยนะว่าสิ่งที่เธอเป็นอยู่เนี่ยมันคืออะไร มันอาจจะเป็นอันตร-”
“ฉันไม่สร้างอันตรายให้ใครหรอกปีเตอร์ แค่ลำพังเป็นแบบนี้ฉันก็รู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว”
อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงอึดอัดปนเศร้าหมอง แม้คริสตัลไม่ได้หันกลับมา ปีเตอร์ก็พอจะรู้อยู่ว่าดวงตาของอีกฝ่ายก็คงเศร้าหมองเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายกระโดดลงไปจากตึกตรงนั้น ปีเตอร์รีบวิ่งไปดู เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บ หากแต่ก็พวแต่เพียงความว่างเปล่าบนพื้นถนน
#########
“กลับมาแล้วค่ะ”
คริสตัล ลี เอ่ยบอกพร้อมยิ้มกับมารดาที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา กดรีโหลดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปมา เมื่อเห็นว่าลูกสาวกลับมา อัลเลนก็รีบกดปิดทีวีแล้วเดินเข้าไปช่วยเจ้าตัวแสบถือกระเป๋า แล้วจัดการเดินเอามันไปวางเอาไว้ที่เก้าอี้ ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กลับ
“เป็นยังไงบ้างลูก โรงเรียนสนุกไหมจ๊ะ?”
“แม่ถามแบบนี้ทุกวันเลย ไม่เบื่อบ้างหรอคะ”คริสบอก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะอาหาร ตรงหน้ามีอาหารว่างตั้งรออยู่แล้ว แน่นอนว่ามันเป็นของเธอ
“ก็แม่อยากรู้นี่ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง เห็นมัวแต่นั่งทำหน้าเศร้าทั้งวัน มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...หนูแค่...คิดถึงนิวยอร์ก...”
“แต่แม่ว่าควีนส์ก็ไม่แย่นะลูก...”อัลเลนบอกก่อนจะนั่งลงแล้วรินน้ำส้มที่เพิ่งหยิบออกมาจากตู้เย็นใส่แก้วพลางดันให้ลูกสาว
“เราไม่ย้ายอีกได้ไหมคะแม่...”
ประโยค ทั้งน้ำเสียงแผ่วเบา เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มันไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่มันเป็นประโยคขอร้อง ทั้งแววตาเว้าวอนที่ใกล้จะเอ่อคลอไปด้วยหยาดหยดน้ำแห่งความคิดถึงให้กับบ้านหลังเดิมก่อนจะย้ายมาควีนส์
“ทานของว่างเถอะจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปดูพ่อก่อนนะ...”
อัลเลนไม่ได้ตอบอะไรออกไป หล่อนทำเพียงแค่ตัดสนใจเดินออกมาจากที่นั่นเงียบๆ ปล่อยให้คริสตัลนั่งอยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่ว่าเพราะตอบไม่ได้ แต่เพราะไม่กล้าจะพูดออกไปมากกว่าว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อปกป้องลูก
การเลี้ยงเด็กที่มีพลังอย่างคริสตัลไม่ใช่เรื่องง่าย เธอพยายามให้ลูกสาวคิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ต้องการแบบนั้น…
พลังของคริสตัลมากขึ้นทุกวัน จนตัวเธอเองเริ่มที่จะกังวล ว่าหากอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีจะทำให้ความลับเรื่องนี้แตกเข้าซักวัน เธอไม่ต้องการให้ลูกไปเข้าร่วมกับกลุ่มช่วยโลกอะไรนั่น
เธอแค่อยากให้คริสตัลเป็นลูกสาวของเธอ เป็นแค่เด็กธรรมดา…
“เห้อ...”
เด็กสาวถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋า แล้วเดินขึ้นห้องนอนมาอย่างเงียบๆ
ห้องนอนเรียบง่าย ชิ้นของส่วนหญ่ทำมาจากไม้และพลาสติก เครื่องมือสื่อสารเดียวที่มีในห้องนี้คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แม้แต่นาฬิกา ก็ยังเป็นแบบอะนาล็อกธรรมดา ไม่ใช่ดิจิตอลอย่างที่คนอื่นใช้กัน
เธอรู้ว่าที่พ่อแม่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเหมือนคนแปลก แต่ยิ่งทำ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันตอกย้ำพลังพิเศษในตัวเธอ บอกว่าตัวเธอไม่ใช่คนปกติ…
แก็ก!
เสียงสิ่งของบางอย่ากระทบหน้าต่าง คริสตัลหันไปมองทันที เธอถูกฝึกมาให้ระวังตัวเอง ดังนั้นสิ่งเร้าต่างๆ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เด็กสาวระแวงได้ แม้ว่าเสียงนั้นจะเป็นเพียงก้อนห้อนก้อนเล็กๆ ก็ตาม…
ก้อนหิน?
“ไง”
“เชี่*!”
คนถูกแกล้งสบถออกมาเป็นรอบที่สองของวัน คริสตัลรีบถอยออกมาจากหน้าต่านทันที ส่วนคนต้นเรื่อง ที่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านอะไรแล้ว เจ้าของชุดสไปเดอร์สูทก็กระโดดเข้าห้องมาอย่างช้าๆ โดยไม่รอเจ้าของจะอนุญาต
“ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เธอกลัวนะ โทษที ไง ฉันสไปเดอร์แมน”
ปีเตอร์ในร่างสไปเดอร์แมนเอ่ยทักทายทั้งยังยื่นมือไปด้านหน้า
“อะไรของนายเนี่ยปีเตอร์ แล้วนายรู้จักบ้านฉันได้ยังไง?”
“ก็ให้คาเรนช่วย...ว่าแต่ ฉันนั่งได้มั้ย”เด็กหนุ่มเก้ๆกังๆ พลางมองไปที่เตียงเป็นคำถาม
“อืม”
ใจจริงเธออยากจะบอกว่าถ้าจะเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องหันมาขอให้เสียเวลาแล้วล่ะ หากแต่เด็กสาวก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่เดินไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
“ห้องเธอนี่ ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่เลยนะ มันเรียบๆ ชอบกล”แขกที่จำเป็นจะต้องต้อนรับเอ่ยบอกยามกวาดตามองไปรอบๆห้อง
“นายเคยเข้าห้องผู้หญิงมาแล้วหรือไง?”เจ้าของบ้านบอกแกมถาม เมื่อได้ยินดังนั้นปีเตอร์ก็รีบโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นการใหญ่
“เปล่าๆ คือฉันหมายถึง...เอ่อ คือฉันอยู่กับป้า...แบบว่า...ฉันเคยเห็นห้องป้าน่ะ ก็เลยคิดว่าห้องผู้หญิงทุกคนจะเป็นแบบนั้น”
“แล้วนายมาที่นี่ทำไม ป้าไม่ให้เข้าบ้านหรอ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นปีเตอร์ก็รีบส่ายหน้าอีกรอบ ก่อนที่จะพ่นใยไปที่กลอนประตู แล้วหันมาเอ่ยถามอย่างจริงจัง จนคริสตัลที่ไม่ค่อยจะเห็นอะไรแบบนี้จากหมอนี่เผลอหลุดขำออกมาเล็กน้อย แม้จะถูกหน้ากากบดบังใบหน้าเอาไว้ แต่พอนึกนึงใบหน้าของอีกฝ่ายขมวดคิ้ว ส่งสายตาจริงจังมาให้ก็อดจะขำไม่ได้ทุกที
ก็หน้าหมอนั่นให้กับคำว่าจริงจังซะที่ไหนกันล่ะ
“เธอมีพลังนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“คนแรกเลยนะที่ถามงี้...เพราะเป็นคนแรกที่รู้”เด็กสาวเอ่ยพลางยิ้ม น้ำเสียงดูไม่ได้ยี่หระอะไรที่อีกฝ่ายก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว
“ก็...แม่ฉันเล่าให้ฟังว่า ฉันมีพลังแบบนี้ครั้งแรกตอนขวบกว่าๆ แรกๆใช้ได้แค่ที่มือ ฉันดึงเอาพวกเหรียญ กระป๋อง อะไรก็ตามที่มีส่วนผสมของของโลหะ ติดมือ”คริสตัลบอกพลางชูมือขึ้นให้ดูเพียงเสี้ยงวีนาที กระเป๋านักเรียนก็ลอยมาติดที่มืออย่างง่ายดาย
“โทรศัพท์มือถือน่ะ”
“พวกนั้นก็ด้วยหรอ?”
“ใช่ แล้วพอฉันห้าขวบ พลังฉันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากแค่มือ ก็ใช้ได้ทั้งตัวเลย”ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มหรี่หลุบลงมองด้านล่างมองมือของตัวเองพลางส่งเสียงหึขึ้นจมูดเบาๆ แล้วว่าต่อ
“ตอนนั้นแม่ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ พยายามเอามันออกจากตัวฉัน แม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่พยายามเอามันออกไปจากตัวฉัน ฉันร้องเหมือนมีคนเอามีดมากรีดฉันให้แหลกทั้งตัวเลย แม่เลยรู้ว่าถ้าเอามันออก ก็หมายถึงต้องฆ่าฉันด้วย...”
“โอ้...ขอโทษที”
“หลังจากนั้น แม่เลยพยายามหาทางอื่น...พวกเขาพยายามยัดบางอย่างเข้ามาในหัวฉัน แต่แทนที่มันจะทำให้ฉันหาย กลับไปเร่งให้พลังฉันพัฒนาเร็วกว่าเดิม”
ปีเตอร์กระพริบตาปริบๆ ใต้หน้ากากของตนเอง ก่อนที่จะค่อยๆยื่นมือไปตบไหล่ของอีกคนเบาๆ
“ตอนนั้นมันก็ยากล่ะนะ แต่ตอนนี้ฉันชินแล้วล่ะ มันได้ดูดทุกอย่างติดเหมือนแต่ก่อน”คนผมสีเข้มพูดตอบ แล้วก็โยนกระเป๋ากลับไปที่เดิม
“ฉันดีใจนะที่เธอคิดแบบนี้น่ะ...ว่าแต่ ฉันถามอีกข้อได้หรือเปล่า?”
“ขนาดนี้แล้วก็ถามมาเลยเถอะ ถ้าตอบได้ฉันก็จะตอบ”คนถูกถามแซะเขากลับ เมื่ออีกฝ่ายอนุญาต ปีเตอร์รีบเอ่ยถามออกไปทันที
“เธอสนใจ...จะมาร่วมช่วยเหลือชุมชนกับฉันมั้ย?”
“ไม่ดีกว่าปีเตอร์”เธอปฏิเสธทันที
“ท...ทำไมล่ะ พลังของเธอน่ะช่วยเหลือคนอื่นได้ตั้งเยอะแยะเลยนะ ถ้าเธอลอง ฉันว่ามันจะต้-”คนชุดแดงพยายามอธิบาย แต่ก็ถูกคริสตัลพูดขัดขึ้น
“แม่ฉันอยากให้ฉันเป็นแค่คนธรรมดาปีเตอร์ เขาไม่อยากให้ฉันเอาตัวเองไปเสี่ยง...หรือนายจะเถียงว่าที่นายทำอยู่มันไม่เสี่ยง”
“มันก็เสี่ยง แต่ว่าเราได้ช่วยคนนะ”
“ถ้าอย่างนั้นนายตอบฉันได้มั้ย ว่าถ้าป้านายเลือกได้จะอยากให้นายเป็นสไปเดอร์แมนหรือเปล่า?”
คริสตัลเว้นไป สายตาจ้องทะลุผ่านหน้ากากบนใบหน้าของเพื่อนร่วมชั้นราวกับเค้นขอคำตอบ แล้วเมื่อได้รับเพียงความเงียบงันกลับมา จึงรู้ว่าอีกฝ่ายคงเถียงเรืิ่องนี้ไม่ออก
“ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักไปเสี่ยง แม่ฉันก็เหมือนกัน หวังว่านายจะเข้าใจฉันนะปีเตอร์”เธอบอกแล้วก็ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง นิ้วโป้งชี้ออกไปด้านนอกเป็นเชิงบอกว่า ‘รีบกลับไปได้แล้ว’ ด้วยประโยคที่ไม่สุภาพมากกว่านั้นประมาณสองสามเท่า หรือง่ายๆก็คือ ไสหัวกลับไปได้แล้วไอ้ชุดแดง
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะจะบอกให้”
ปาร์กเกอร์ทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะรีบโหนใยออกไปจากห้องหลังจากที่สังเกตว่าไม่มีคนเห็นแล้วอย่างแน่นอน
นับถือใจหมอนี่จริงๆ แฮะ
##########
Talk with ไรต์
สวัสดีค่า เราไรต์เตอร์เองนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ
เรื่องนี้เราขอชี้แจงก่อนว่า เนื้อเรื่องจะดำเนินอยู่ในช่วงประมาณหลังสไปเดอร์แมน โฮมคัมมิ่งนะคะ ซึ่งยังไม่ถึงอินฟินิตตี้วอร์ (ไม่อยากพูดถึง ช้ำใจ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in