เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sujira in Aksornsujira_lr
ปี 2 เทอม 2 หอบข้าวหอบของมาเอกละคร
  • ในที่สุดเราก็ย้ายมาเอกละครแล้ว หลังจากที่ล้มลุกคลุกคลานมาพักนึง วันที่กำลังจะเปิดเทอม 2 เรากังวลมากว่าเราจะเรียนรอดไหม เรามาแบบไม่มีใครเลย มันคือความรู้สึกกลัวอะ กลัวว่าเราจะทำไม่ได้ กลัวว่าเราจะเรียนไม่ไหว กลัวตัวเองตัดสินใจผิดแล้วถ้าเป็นแบบนั้นเราไม่มีทางอื่นไปต่อแล้ว


    แต่เอาเถอะ ต้องก้าวไปข้างหน้า หนีไปไหนไม่ได้แล้ว 55555 วันนี้เราจะเขียนเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อแต่ละวิชาในเทอมนี้ +เล่าถึงสิ่งที่เรียนเล็กน้อย


    Man Geog 


    วิชาภูมิศาสตร์ ครึ่งแรกเรียนภูมิศาสตร์กายภาพ เหมือนเรียนวิชาภูมิศาสตร์สมัยม.ปลายแต่เนื้อหาแน่นขึ้น ส่วนตัวเราไม่ค่อยถนัดภูมิศาสตร์กายอย่างเรื่องการเกิดพายุ การเกิดภูมิภาคแบบต่าง ๆ อะไรแนวนั้นเท่าไหร่ 

    พอครึ่งเทอมหลังเรียนภูมิศาสตร์มนุษย์ เรียนเรื่อง identity ประมาณว่าภูมิศาสตร์หรือพื้นที่บริเวณนั้น ๆ มันส่งผลต่อ identity ของคนคนนึงยังไง แล้วก็มีเรื่องประชากร ทำไมประเทศนี้ประชากรถึงเยอะในขณะที่อีกประเทศประชากรน้อยลงทุกปี แล้วก็เรียนเรื่องพัฒนาการเมืองในแถว SEA ประมาณนี้ สนุกนะสำหรับเรา ชอบครึ่งหลังมากกว่า 5555 คงเพราะชอบอะไรที่มันเชื่อมโยงกับบริบทของมนุษย์ด้วย พอเป็นแบบนั้นมันทำให้เราตั้งคำถามว่า “เอ… มนุษย์ตรงนี้เขาเป็นยังไงนะ” “ทำไมคนบริเวณนี้ถึงเป็นแบบนี้นะ พื้นที่ที่เขาอยู่มันส่งผลอะไรบ้าง” “ปัจจัยเรื่องพื้นที่ตรงนี้มันส่งผลกับพวกเขายังไงบ้างนะ” สนุกมากก พอคิดต่อ ๆ ไปมันเหมือนเราลองตั้งคำถามแล้วกำลังหาคำตอบ แต่ก็ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ (เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์มันมีความซับซ้อนมากอยู่แล้ว ฮาาา)


    Thai Pro Writ


    วิชาที่จะทำให้เราเป็นทุกอย่าง เป็นทั้งคนทำอินโฟกราฟิก คนเรียบเรียงข้อมูล เป็นเลขาเขียนจดหมายราชการ เป็นคนเขียนโครงการ เป็นคนตอบอีเมลธุรกิจ เป็นนักเขียนสารคดี เป็นเลขาจดรายงานการประชุม เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ของเขียนแผนผู้ประกอบการของตัวเอง เป็นทุกอย่างจริง ๆ 

    วิชานี้มีงานทุกหัวข้อที่เรียน ส่งงานบ่อยมาก ทั้งชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็ก ปั่นกันทุกสัปดาห์ ส่วนตัวชอบหัวข้อการเขียนสารคดีเพราะงานนี้ได้เขียนเรื่องที่ตัวเราสนใจพอดี+ได้ไปสัมภาษณ์เพื่อนตัวเองด้วย (ลองไปอ่านได้นะ!)

    ตอนสอบกลางภาคมีเวลา 3 ชั่วโมง ต้องเขียนจดหมายราชการกับเรียบเรียงข้อมูล อาจารย์จะให้ข้อมูลมาเยอะ ๆ เราต้องอ่านแล้วเอามาเรียบเรียงเขียนบทความ บอกได้คำเดียวว่าต้องพิมพ์เร็ว แรง ทะลุนรกมาก แค่อ่านข้อมูลที่ให้มาก็หมดเวลาไป 30 นาทีแล้ว (มีข้อมูลประมาณ 5-6ชุดได้) สอบเสร็จก็คือเบลอ ท้อ เหม่อลอย 

    ส่วนปลายภาคเป็นเทคโฮมสั่งเช้าวันนึง ส่งเย็นอีกวัน ถือว่ามีเวลาให้พักมือ นิ้วไม่ล็อก  จบเทอมนี้แล้วสงสารแป้นพิมพ์ตัวเองเลย


    วิชาบังคับคณะหมดแล้ว!! เป็นอิสระ!!! ต่อจากนี้จะเป็นวิชาเอก 

    ต้องบอกก่อนว่าเทอมนี้เราลงวิชาเอกไป 4 ตัว ซึ่ง 3 ใน 4 เป็นวิชาของปี 1 แต่เราเพิ่งมาลงเพราะเพิ่งย้ายเอกมา 


    Theatre Workshop


    วิชาปฏิบัติงานโรงละคร เข้ามาครูจะให้เลือกว่าเราจะอยู่ฝ่ายอำนวยการหรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ 

    ถ้าอำนวยการจะดูแลเรื่องการจองบัตร การเดิน House(ประมาณว่าจัดการผู้ชม+อำนวยความสะดวกให้ผู้ชม)

     ส่วนฝ่ายประชาสัมพันธ์จะแยกไปอีก 3 ฝ่าย คือ

    1. ฝ่ายที่ต้องติดต่อสื่อ ส่งข่าวไปให้เขาลงให้ หรือโทรไปเชิญเขามาดูละครของเราอะไรประมาณนี้

    2. ฝ่ายงานเขียน ต้องวางแผนการประชาสัมพันธ์+เขียนข่าวที่ทีมที่ 1 จะส่งไปให้สื่อ ทั้งหมดมีประมาณ 4 ชิ้น

    3. ฝ่ายออนไลน์ คอยลงโพสต์ประชาสัมพันธ์ละคร ทำคอนเทนต์ต่าง ๆ 


    **ถึงฝ่ายอำนวยการจะมีหน้าที่เดิน House แต่ทีมประชาสัมพันธ์ก็ต้องมาด้วยนะ แค่จำนวนวันในการรับผิดชอบจะต่างกัน อย่างเราอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ วันเดิน House เราจะน้อยกว่า 


    ซึ่งเทอมนี้เราได้ทำละครภาคเรื่อง Blink 

    ช่วง Pre Production (ก่อนละครเล่น)

    เราก็ต้องมาประชุมกับทุกทีม(ในฝ่ายประชาสัมพันธ์) ทุก week ตกลงกันว่าเราจะทำอะไรบ้าง week นี้ต้องทำอะไรให้เสร็จบ้าง จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

    พูดตรง ๆ ว่าต้องตรงต่อเวลามากจริง ๆ ถ้าสมมติทีมเขียนทำงานช้า ทีมอื่นที่ต้องรับไม้ต่อก็จะช้าไปด้วย เพราะงั้น… ปั่นค่ะ!! ไฟลุก!! (เคยเล่าไปแล้วด้วยในโพสต์ก่อน ไปอ่านได้!)


    พอถึงวันแสดงเราก็มาเดิน House แล้วพอละครภาคจบเราก็ต้องเดิน House ของงานอื่นต่อเพื่อให้ครบรอบที่ต้องทำ (ของเราต้องไม่ต่ำกว่า 4 รอบ) 


    ตอนไปเดิน House ก็จะต้องเดินตรวจความเรียบร้อยในโรงละครด้วย มีขยะบนพื้นไหม เก้าอี้ตั้งตรงไหม แอร์เปิดไหม ไฟสว่างไหม ประตูหนีไฟเปิดไหม ซึ่งเรื่องการหนีไฟนี่ก็มีวันที่พวกเราต้องมาอบรมการหนีไฟเช่นกัน ต้องรู้ว่าถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นจะพาผู้ชมออกทางไหนได้บ้าง ต้องไปรวมกันที่จุดไหน 


    วิชานี้ 1 หน่วยกิตแต่งานอลังการมากกก แต่ก็สนุกมาก ๆ เลยนะ 

    วันไหนที่เดิน House รอบค่ำแล้วเลิกดึกก็คืออ ปกติไม่เคยกลับบ้านดึก มีวันนึงถึงบ้าน 5 ทุ่ม ฮือออ


    เรารู้สึกว่าเราทำได้ดีขึ้นมาก เป็นอีกวิชานึงที่ทำให้เราก้าวข้ามอะไรหลายอย่าง ทำให้เรากระฉับกระเฉง(?)ขึ้น เพราะปกติเราเป็นคนเคลื่อนไหวช้า ตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวกับคนอื่นช้า แถมเป็นคนที่เวลาทำอะไรพลาดแล้วจะรู้สึกแย่มาก ๆ แย่ไปเป็นวัน ๆ 

    พอมาทำงานนี้มันทำให้เราได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำอะ

    เราต้องเดินเช็กความเรียบร้อยในโรงละคร แล้วมันมีวันนึงที่เราต้องเพิ่มเก้าอี้ ตอนนั้นต้องวิ่งไปหาเก้าอี้มาเพิ่ม จัดเก้าอี้ตัวอื่น ๆ ให้มีพื้นที่ตั้งเก้าอี้เพิ่มอีกนิด ต้องวิ่งไปหาของ ต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า คือไม่ได้หยุดนิ่ง ๆ เลย 

    ตอนเดินเฮาส์วันแรกเรายังทำอะไรไม่ถูก เก้ ๆ กัง ๆ ไปหมด รอบนั้นมีคนดูเข้าโรงช้าไปนิดนึงแล้วเราปล่อยเขาไปนั่งที่นั่งพลาดเลยรบกวนการแสดงไปนิดนึง วันนั้นรู้สึกแย่มาก แต่ก็มาคิดได้ว่าเราไม่ควรเฟลนาน เราจำความผิดพลาดนี้มาเป็นบทเรียน ครั้งหน้าทำให้ดีกว่านี้แต่ไม่ต้องไปจมกับมันอะ ไม่งั้นเราจะไม่มูฟออน 5555 แล้วพอรอบต่อ ๆ ไปเราก็ทำได้ดีขึ้นนะ เรารู้แล้วว่าเราควรจำว่าที่นั่งตรงไหนยังว่างบ้าง ถ้ามีคนเข้าสายก็ให้เขาไปนั่งตรงนั้นเลย ถ้าวอเกิดไม่ติดกะทันหันเราก็จะวิ่งไปหาเพื่อนที่เฝ้าอยู่อีกฝั่ง อะไรประมาณนี้ พอได้เรียนรู้และทำหน้าที่ได้ดีขึ้นก็ภูมิใจจัง 


    แล้วก็ ตอนรับผิดชอบงานในโรงคือเมื่อยมากกก ยืนดูละครไปพร้อมกับคนดูเลย บางทีก็แอบนั่งบ้าง (แต่อย่าให้รบกวนคนดูนะ เดินมานั่งหลังอัฒจันทร์คนดูงี้) ตอนเรานั่งดูละครไปเราก็สังเกตว่า “เอ๊ะ รอบนี้เล่นไม่เหมือนรอบที่แล้วที่เราดูนี่นา” มันคือเสน่ห์ของละครเวทีแหละ แต่ละรอบที่ดูมันอาจจะไม่เหมือนกัน ประสบการณ์แต่ละรอบก็จะต่างกันไป ซึ่งเราชอบมากก

    สำหรับเราเรามองว่าเพราะมันคือการแสดงสด และนักแสดงก็อาจจะไม่ได้เล่นเหมือนกันในทุกวัน (จากการที่เราเรียนอีกวิชานึงมาเราเลยรู้ว่าบางทีนักแสดงก็จะไม่ได้เล่นบทเดิมออกมาเหมือนเดิมในทุกรอบอะ—-เดี๋ยวเราจะเล่าต่อตอนพูดถึงวิชา Princ Act) แล้วพอมันไม่เหมือนกันนี่แหละ มันคือเสน่ห์ของละครเวทีที่เราชอบมากกก 


    ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี! 


    Hist Thea I


    เรียนประวัติศาสตร์การละครตะวันตกตั้งแต่ยุคกรีกมาจนถึงเรอเนสซองส์เลย เน้นเลคเชอร์กับพรีเซนต์ ครูจะมีบทละครให้อ่านแล้วจับคู่กับเพื่อมาพรีเซนต์ ต้องพรี 2 เรื่อง แล้วแต่ว่าเราจะสุ่มได้เรื่องไหน 55555 ต้นเทอมครูจะให้เราจับสลากเรื่องแล้วก็สุ่มคู่พรีให้เรา (แต่ก็สามารถแลกคู่ได้ทีหลังนะกรณีที่มีเพื่อนมาแล้วอยากทำกับเพื่อน) 

    ครูจะเรียงคิวพรีเซนต์ เริ่มจากยุคกรีกไล่มายุคเรอเนสซองส์ เรียน 3 ชั่วโมง ครึ่งแรกจะฟังเพื่อนพรีสัปดาห์ละ 2 กลุ่ม ครึ่งหลังฟังครูเลคเชอร์ 

    กลางภาคมีเปเปอร์ 1 ชิ้น ปลายภาคอีก 1 ชิ้น มีควิซ 1 ครั้ง (ความจริงต้อง 2 แต่เทอมนี้มีครั้งเดียว คิดคะแนนรวดเดียว 20 คะแนนจุก ๆ) 


    ชอบวิชานี้นะเพราะเราชอบอะไรที่เป็นประวัติศาสตร์/วิวัฒนาการของอะไรสักอย่างด้วยแหละ นี่ก็ได้ฟังเพื่อนพูดเรื่องละครวีคละ 2 เรื่อง รวมของตัวเองด้วยก็คือ 22 เรื่อง สุดๆ ไปเลย 55555 (จำนวนเรื่องจะแล้วแต่จำนวนคนในคลาสด้วยนะ เทอมเรามี 22 คน ก็เลยมี 22 เรื่อง) 

    เราได้อ่านเรื่อง Everyman ฉบับแปลไทย เป็นบทละครสมัยยุคกลาง กับเรื่อง The Antipodes ของสมัยเรอเนสซองส์ในอังกฤษ เรื่อง The Anitipodes อ่านยากมากกก เพราะเป็นภาษาอังกฤษแบบเก่าเลย ไม่มีเวอร์ที่ภาษาใหม่กว่านี้เพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนเอามาทำซ้ำด้วยแหละ ถ้าเทียบกับเชกสเปียร์ที่พอกดค้นหาไปก็เจอเวอร์ชั่นภาาาอังกฤษแบบปัจจุบันแล้ว 5555 รู้สึกว่าถ้าไม่ลงวิชานี้ก็คงไม่ได้อ่านบทละครบางเรื่องแน่ๆ (เช่นเรื่อง The Antipodes ที่เราทำนี่แหละ) 


    เราชอบที่เราได้วิเคราะห์ว่าบทละครแต่ละยุคมันสะท้อนมุมมอง แนวคิดของคนในยุคนั้น ๆ ยังไงบ้าง เราเห็นอะไรหลายอย่างเลย อย่างในเรื่อง The Antipodes ที่เราทำ มีตัวละครนึงที่เขามัวแต่หมกมุ่นกับการเดินทางไปดินแดน Antipodes เพราะเขาอ่านหนังสือของนักเดินเรือมาแล้วนักเดินเรือบรรยายว่าคนในเมืองนั้นมีรูปร่างหน้าตาประหลาด ซึ่งพอมาดู ๆ แล้วช่วงนั้นก็เริ่มมีการเดินเรือสำรวจโลก แล้วพอคนขาวไปเจอคนท้องถิ่นในดินแดนอื่นก็มาบรรยายว่าคนเหล่านั้นหน้าตาประลาดอะไรประมาณนั้น (อันนี้คือการตีความจากการค้นข้อมูลเราเอง อาจไม่ถูกทั้งหมดนะ555)


    วิชานี้สนุกมากสำหรับเรา ตั้งใจว่าเทอมหน้าจะลงตัวต่อด้วย อยากเรียนการละครหลังเรอเนสซองส์-ยุคปัจจุบัน!!



    Princ Acting


    ยกให้เป็นวิชาที่เหนือความคาดหมายมากกก ต้องบอกก่อนว่าเราคิดว่าเราคงเป็นนักแสดงไม่ได้ เราต้องทำไม่ได้แน่ๆ เพราะงั้นเราเลยกังวลวิชานี้มาก เราไม่เคยแสดงต่อหน้าใครเลย (นอกจากเล่นละครสั้นภาษาญี่ปุ่นตอนม.5)


    พอมาเรียนวิชานี้คาบแรกครู Breakout ให้เราไปอยู่กับเพื่อนในคลาส40นาที (ถ้าจำไม่ผิด) ใน 40 นาทีนี้ให้คุยกัน 20นาทีแรกให้เราถามข้อมูลของเพื่อน ชื่ออะไร เรียนคณะอะร เอกอะไร ปีไหน ชอบอะไรเป็นพิเศษไหม อารมณ์เหมือนนั่งทำความรู้จักกันแบบไฟลต์บังคับว่าเธอต้องคุยกันนะ 5555 ถามอะไรก็ได้ แต่บางคำถามถ้าเพื่อนไม่อยากตอบก็สามารถเลือกไม่ตอบได้ ก็คือให้เราได้ข้อมูลของเพื่อนมาให้เยอะที่สุด 20นาทีหลังเพื่อนจะเป็นฝ่ายถามเรา ถามอะไรก็ได้เช่นกัน แล้วพอครบ 40 นาทีครูจะให้เรามาบรรยายว่าเพื่อนเป็นคนยังไง ไม่ต้องบรรยายาวเลย สั้น ๆ ก็ได้ แต่พยายามให้เห็นชัดว่าเราได้คุยกับเพื่อนแล้ว เราได้ทำความรู้จักเขาแล้ว


    ตรงนี้เราว่าเราต้องเปิดใจพอควร เปิดใจที่จะรับฟังเรื่องของเพื่อนและเปิดใจที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง  ดูเหมือนง่ายแต่คิดว่าสำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องยากก็ได้ นึกภาพดูว่ามาเจอกันวันแรกแล้วให้มาพูดเรื่องส่วนตัวกับคนไม่รู้จัก บางคนอาจจะไม่สบายใจที่จะเล่าก็ได้ (แต่เราไม่มีปัญหานั้น 5555 เรารู้สึกว่าเราเป็นคนพร้อมที่จะเล่าอะไรให้คนอื่นฟังมากพอควรถ้าเขาเป็นคนถาม/ขอให้เล่า เราก็พร้อมจะเล่า) 


    คาบต่อมาให้ทำ Exercise ให้ปิดตาแล้วเดินในห้องของตัวเอง เอามือสัมผัสสิ่งรอบตัว (ฝึกการใช้ประสาทสัมผัส) พอใช้มือสัมผัสแล้วครูก็ให้เราใช้อย่างอื่นที่ไม่ใช่มือ จาเป็นศอก แขน หัว หรืออะไรก็ได้ เสร็จแล้วให้มาแชร์ว่ารู้สึกยังไง ตรงนี้เราค้นพบว่าเรารู้จักห้องของตัวเองน้อยกว่าที่คิด เรารู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนแต่เราไม่สามารถเดินไปหามันได้อย่างมั่นใจ เราไม่รู้ว่าจากเตียงไปโต๊ะทำงานของเรามันห่างกันกี่ก้าว ไม่รู้ว่าจากโต๊ะไปชั่นหนังสือมันต้องเดินไปยังไง เราเดินชนขอบเตียง เตะขาโต๊ะไปด้วย5555 ทั้งที่ห้องไม่ได้ใหญ่เลยแต่เรารู้สึกเหมือนมันกว้างเหลือเกิน เราสังเกตอะไรในห้องเราน้อยกว่าที่คิดแฮะ


    Exercise ต่อมาครูจะให้เราลองเดินไปทั่วห้อง เดินแบบที่เดินในชีวิตประจำวัน นั่นคือระดับ 3 ทีนี้พอครูปรบมือแล้วบอกระดับถัดไป เราต้องเคลื่อนไหวตามที่ครูบอก ระดับ 4 คือเร็วขึ้น ระดับ 5 คือเร็วที่สุด ระดับ 2 คือช้ากว่าระดับปกติ และระดับ 1 คือช้าสุด ๆ และถ้าครูบอกว่าหยุดก็ให้หยุดเดิน

    ด้วยความที่ห้องเราก็ไม่ได้กว้าง พอต้องเดินเร็ว ๆ ก็คือชนนั่นชนนี่อีกแล้ว 55555 ต่อมาพอครูปรับระดับเราไปเรื่อย ๆ คราวนี้ครูบอกว่าพอครูบอกให้หยุด ทุกคนต้องหันไปเพ่งโฟกัสที่ไหนสักที่นึงในห้องและห้ามซ้ำกับครั้งก่อนที่เพิ่งมองไปด้วย (ถ้าครั้งแรกเรามองตรงแล้วครั้งต่อไปเราไม่ควรมองตรงอีก) ตอนแรกแค่ใช้สายตา ต่อมาครูให้ชี้มือไปด้วยว่าเรามองไปที่ไหน


    จาก Exercise นี้เรารู้เลยว่าเราเป็นคนเดินเร็วกว่าคนอื่น ระดับ 3 ของเราคือระดับ 4 ของเพื่อนหลาย ๆ คน และพอถึงระดับ 5 เราก็เคลื่อนไหวแทบไม่ต่างจากระดับ 4 เหมือนเราสุดได้แค่ระดับ 4 (ที่เป็นระดับ 5 ของคนอื่น) อะ วันนั้นเลยรู้ว่า “โอเค ที่มีคนบอกว่าเราเดินเร็วมันคือความจริง” 


    ต่อมาครูให้เราจินตนาการว่าเราตัวใหญ่ ถ้าเรารู้สึกตัวใหญ่เราจะทำยังไง แล้วถ้าเราตัวเล็ก เราจะทำยังไง คราวนี้ก็ยังมีระดับ 1 คือเล็กสุด 3 คือปกติ และ 5 คือใหญ่มาก ๆ ครูทำเหมือนเดิมเลย ปรบมือแล้วบอกให้เราเปลี่ยนระดับ แล้วที่แอดวานซ์กว่านั้นคือให้เอาอันที่เล่าไปข้างบน(เรื่องความเร็ว)กับเรื่องขนาดมารวมกัน เคลื่อนไหวแบบคนตัวเล็กด้วยความเร็วระดับ 1 เคลื่อนไหวแบบคนตัวใหญ่ด้วยความเร็วระดับ5 หรือใด ๆ แล้วแต่ครูจะบอก เป็น exercise ที่เหนื่อยมาก 555555 แล้วเราเรียนออนไลน์ด้วย เดินไม่ถนัด เคลื่อนไหวไม่ถนัดเลย เดินไปนิดเดียวหลุดออกจากจอ ครูมองไม่เห็นเราแล้ว 


    Exercise ต่อมาจะเป็น exercise ที่จะใช้ทำงานมิดเทอม ครูให้เราเลือกเพลงที่เป็นตัวเรามา 1 เพลง (ยังไม่บอกด้วยนะให้ทำอะไร แค่เลือกมา) ไม่ต้องเป็นเพลงที่มีความหมายก็ได้ แค่รู้สึกว่าเราชอบ ฟังบ่อย ๆ อะไรประมาณนี้ เราเลือก A Million Dreams ของ The Greatest Showman ไป เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เข้ามาในหัวเราตอนที่ครูบอก แถมความหมายมันเข้ากับเรา เราอินเพลงนี้มาก (ถึงแม้ครูจะบอกว่าไม่ต้องคิดเรื่องความหมายก็ได้ แต่เราก็เลือกจากความหมายมาส่วนนึง5555)  พอถึงคาบเรียนครูให้เราเคลื่อนไหวประกอบเพลงที่เลือกมา เคลื่อนไหวยังไงก็ได้ ตามใจเลย improvise มากกกก พอเสร็จครูก็ถามทุกคนว่ารู้สึกยังไง เราก็บอกว่าเรากังวลมาก เราไม่เคยเต้นหรือแสดงต่อหน้าใครเลย ยิ่งมันต้อง improvise พอควร (ไม่ได้เตรียมท่ามาก่อน) ด้วย สิ่งที่ครูพูดมาคือ “แต่ทำได้ดีเลยนะ ทั้งที่กังวลแท้ๆ ตอนที่แสดงอยู่เห็นอะไรเหรอ คิดอะไรอยู่เหรอ ถึงทำออกมาได้ดีทั้งที่บอกว่ากังวลน่ะ” 

    พอฟังแบบนั้นเราก็มาถามตัวเองเหมือนกัน 5555555 เราไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร เรารู้แค่ตอนนั้นเรากังวลมาก แต่มันก็ออกมาเหมือนกัน แต่ภาพที่เราเห็นตอนนั้นคือเราอยู่ในโลกของเรา เรากำลังเคลื่อนไหวตามความรู้สึกและจังหวะเพลง เราเป็นอิสระและไม่มีใครมองเราอยู่… เพราะแบบนั้นมันเลยเอาชนะความกังวลได้นิดนึงมั้ง


    ทีนี้ครูก็จับกลุ่มให้ทุกคน ให้เอาเพลงของทุกคนมารวมกันให้เหลือ 2นาทีครึ่ง เอาท่อนไหนมาแปะท่อนไหนก็ได้ แต่แอร์ไทม์(?)แต่ละคนต้องเท่ากัน และให้ทุกคนในทีมเลียนแบบเจ้าของเพลงให้เหมือนทุกอย่างทั้งท่าทางและอารมณ์ในเพลง ให้เหมือนกับเป็นเจ้าของเพลงมาเต้นเองอะ ตอนฟังคือร้องกรี๊ดในใจเลย เราได้อยู่กับเพื่อนที่นิสัยดีนะๆ (ทุกคนในคลาสน่ารักหมดเลยเอาจริง) ที่เรากรี๊ดเพราะเพลงของอีก 2 คนในทีมเราเป็นเพลงน่ารัก ใส ๆ อินเลิฟ เล่นหูเล่นตากับคนดู ส่วนเพลงของเราคือฉีกไปเลย อยู่กับตัวเอง สาวช่างฝันสุด ๆ โอ๊ย จะรอดไหมมม 


    พอลองมิกซ์เพลง+มาซ้อมด้วยกันแบบออนไลน์ก็พบว่าไม่เวิร์ก นัดเจอกันเถอะ สุดท้ายก็ไปนัดเจอกันแล้วสอนท่ากัน รู้สึกเป็นสาวนักเต้นขึ้นมาทันใด อีกนิดจะเดบิวต์แล้วค่ะ (หยอก) ช่วงนั้นเราฝึกหนักมาก เพื่อนในทีมสอนท่าเราจริงจังมาก ตอนนี้เราเลยรู้ว่าตัวเองเป็นคนขยับร่างกายครึ่งบนได้ดี เราขยับได้ตามใจเลย แต่ครึ่งล่างจะขยับช้ากว่า ขยับไม่ได้ดั่งใจ ตัวครึ่งล่างแข็งกว่าครึ่งบนอะ งานยากแล้วค่ะ เพราะเพลงของเพื่อนอีก 2 คนใช้ร่างกายทั้งตัว โอ๊ยยย สู้เขา!!

    ฝึกเกือบเดือนเลย ระหว่างนี้ก็ต้องแสดงให้ครูดูทุกวีค แล้วพอวีคสุดท้าย(วีคส่งงาน) ก็ผ่านมาได้แล้วครูก็ชมว่าเราทำได้ดีกว่าที่คิดมาก ตอนแรกตัวเราแข็งมาก อินเนอร์ไม่ได้ ไม่เล่นหูเล่นตา (เพราะหนูไม่เคยมีโมเมนต์เกี่ยวกับความรักเลยค่ะ TT) พอวีคส่งงานครูบอกว่าเราพัฒนาจากวีคแรกมาก วันนั้นดีใจมากจนคิดว่า “หรือความจริงเราก็เป็นนักแสดงได้นะ” 


    ป.ล. มาคุยกับเพื่อนในทีมว่าทำไมครูเลือกพวกเรามาอยู่ด้วยกัน ก็เดา ๆ กันว่าเพราะเพลงของเพื่อนอีก 2 คน สไตล์คล้ายกัน เนื้อหาเกี่วกับความรักเหมือนกัน พอแสดงมาบางทีมันเลยคล้าย ๆ กัน แยกยาก แต่ครูต้องการให้ 2 เพลงนี้ต่างกัน ส่วนเพลงของเรามันฉีกจาก 2 คนนี้ไปเลย ก็เลยอยากเห็นว่าพวกเราจะทำยังไงกับเพลงนึกที่โคตรต่าง กับอีก 2 เพลงที่มีความคล้ายกัน ทำยังไงให้ 3 คนนี้ไปด้วยกันได้ (เป็น combination ที่… ใช้พลังงานเยอะมากค่ะ เวิร์กกันหนักมาก) 


    พอหลังจากมิดเทอมเป็นช่วงที่ต้องทำงานกับจินตนาการแล้ว ครูให้เราเอาสำลีมา 1 แผ่น สำรวจสำลีแผ่นนี้ในทุกมิติ รูป รส(ถ้าจะลองชิม…) กลิ่น (แต่ไม่มีเสียงนะ 555 แต่ถ้าสามารถฟังเสียงสำลีได้ก็ย่อมทำได้เช่นกัน) เราลองใช้มือจับสำลี ลองลูบ ๆ  สักพักเราลองเอามาถูแก้ม เอาด้านที่เราใช้กันปกติ แล้วก็ลองเอาขอบสำลีถูหน้าบ้าง สักพักถูที่หลังมือ แขน ไล่ไปตามนิ้ว พอหมดเวลาครูจะให้เราเล่นกับสำลีทิพย์ ก็คือเราจะไม่ได้ถือสำลี แต่เราต้องจับมันให้เหมือนมีสำลีอยู่ในมือเราจริง ๆ เหมือนที่เราจับเมื่อกี้เลย แล้วก็ให้ลองไปจับอย่างอื่นใกล้ตัว พวกยาดม มือถือ หรืออะไรก็ได้ที่ใกล้เราที่สุดตอนนั้น ทำแบบเดียวกันเลย ฝึกการสัมผัสและใช้จินตนาการ (อันนี้คือ point หลัก ครูบอกว่าเราต้องเชื่อว่ามันมีอยู่จริงๆ ถ้าเราไม่เชื่อผู้ชมก็จะไม่เชื่อ เรามีหน้าที่เหมือนคนสื่อสาร ถ้าเราไม่รู้สึกมันก็จะเห็นภาพไม่ชัด)


    ต่อมาครูจับคู่ให้เราส่งของอะไรก็ได้ให้เพื่อน แต่ก่อนจะส่งเราต้องทำให้เพื่อนรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร ห้ามพูดเลยสักคำ ทำท่าให้เหมือนเราถือมันอยู่เท่านั้น จากนั้นส่งให้เพื่อน ถ้าเพื่อนรู้ว่ามันคืออะไรเพื่อนจะรับมาแล้วแสดง reaction กับมันต่อ แต่ถ้าเพื่อนไม่รู้เพื่อนจะไม่รับ ตอนแรกเราก็หยิบหนังสือ(ในจินตนาการ)มาเปิดอ่านแล้วส่งให้เพื่อน เพื่อนรู้ก็รับปอ่านต่อ แต่ต่อมาพอจะส่งหนูแฮมสเตอร์ให้ เพื่อนมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร เพื่อนเลยไม่รับ 55555 นั่งพยายามอยู่นานจนกว่าจะทำให้เพื่อนรู้ได้ว่ามันคือหนูแฮมสเตอร์ จบคลาสแล้วนั่งขำต่ออีก 5 นาที 


    ต่อมาครูให้เราจินตนาการตามสถานการณ์ ครูให้เลือกระหว่างเดินหลงป่าตอนกลางคืนแล้วเจอเสือ กับเดินในซอยเปลี่ยวที่มีข่าวฆาตกรรมตอนกลางคืน แล้วก็ให้มาแสดง 3 นาที (ก็คือเรื่องต้องเริ่มและจบใน3นาทีค่ะ555) เราเลือกซอยเปลี่ยวไป รู้สึกว่ายากมาก ปกติไม่เดินซอยเปลี่ยวตอนมืด ๆ คนเดียวด้วย ถึงเดินก็จะหาใครคุยด้วย แต่ครูไม่อยากให้มันมีบทสนทนาเยอะเกิน (ถ้าจะใช้บทสนทนา บทสนทนาต้องช่วยดำเนินเรื่องอะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าทำยังไงเราเลยไม่ใช้เลย5555) อีกอย่างที่ยากคือต้องจินตนาการว่ามัดมืดสนิทเลยทั้งที่ห้องเราตอนนั้นสว่างมากแต่ก็ต้องแสดงให้เหมือนเราอยู่ในที่มืด เราก็แสดงแบบที่เดินเข้าซอยมาช้า ๆ เจอศาลพระภูมิ เจอรถเก่า ๆ จอดอยู่ แล้วก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังมาข้างหลังเลยรีบวิ่ง สุดท้ายก็ออกจากซอยเปลี่ยวนั้นได้  ครูก็บอกว่าเราทำออกมาได้ดีเลย แต่ติดที่เรารีบตัดจบ ครูเลยไม่รู้ว่าหลังจากเราออกซอยมาเป็นไงต่อ ก็คือเรื่องของเรามันไม่จบดีใน 3 นาทีนั่นแหละ ฮื้อ


    และสุดท้าย งานไฟนอล ให้เลือกเรื่องที่เป็น “ที่สุด” มาเล่าและแสดง จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ เสียใจที่สุด โกรธที่สุด ดีใจที่สุด แต่เรื่องนั้นต้องเป็น “แผลเป็น” ไม่ใช่ “แผลสด” ก็คือเมื่อเราพูดถึงเรื่องนั้นแล้วเราต้องไม่สติแตก ไม่หลุดไป ต้องคุมตัวเองได้ (ขอใช้คำแบบนี้เพราะมันจะมีผลกับเรื่องถัดจากนี้) โดยเราต้องเป็นทั้งนักแสดงในเรื่อง เอาตัวเองย้อนไปวันนั้นและต้องเป็น Narrator ของเรื่องด้วย

     เราก็เลือกเรื่องที่เรากลัวที่สุดมา เหตุการณ์วันนั้นเราร้องไห้หนักมาก ร้องจนตัวสั่น (ขอเล่าแค่นี้พอค่ะ) วีคแรกที่ส่งงานเรารู้สึกว่าเราทำได้ดีเลย แต่พอวีคต่อมา พอซ้อมมาก ๆ เราไม่รู้สึกกับมันเท่าเดิมแล้ว… เราเล่นไม่ได้แบบเดิม เราเลยพยายามเค้นอารมณ์ตัวเองแล้วสุดท้ายมันก็ล้นออกมามากเกินจนครูบอกว่ามันดูออกเลยว่าเป็นการแสดง ไม่ใช่เรื่องจริง (ต่อให้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแต่ความรู้สึกที่เราถ่ายทอดออกมามันไม่จริง) ครูบอกเพิ่มว่าการแสดงน่ะ บางทีมันไม่ได้รู้สึกเท่ากันทุกวันหรอก บางวันเราอาจรู้สึกมาก บางวันเราอาจรู้สึกน้อยลงมา ถ้ารู้สึกเท่าไหนก็เล่นไปเท่านั้นพอ ไม่ต้องเค้น ไม่งั้นมันจะไม่จริง และพยายามให้นึกถึง sensation ให้คิดว่าวันนั้นเรารู้สึกยังไง (นึกถึงexercise สำลีทิพย์นั่นด้วย ทำงานคล้ายกันคือการจดจำ ผสมจินตนาการและดึงตัวเรากลับไปวันนั้น) วีคสุดท้ายเราเลยพยายามปรับ รู้สึกว่ามันยังมากเกินอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้เค้นอารมณ์ตัวเองแล้ว


    ทีนี้ เราพูดไปว่าเรื่องที่เป็นแผลเป็น–เรื่องที่เราเล่าแล้วไม่สติแตก คุมตัวเองได้ เราตีความว่ามันคือเรื่องที่เราไม่รู้สึกแย่อีกต่อไปแล้ว พูดไปอาจจะรู้สึกแย่แต่มันไม่ matter อีกต่อไปงี้ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะตอนท้ายคาบครูคุยกับเราส่วนตัว (เราอยู่เป็นคนสุดท้ายของคลาสพอดี) ครูถามว่าทำไมเราแสดงออกมาดูขำ ดูเป็นการ์ตูนเหรอ ทั้งที่เรื่องของเรามันดิ่งมาก ๆ เลยนะ แล้วครูก็พูดว่า “เราโอเคที่จะเล่าเรื่องนี้จริงๆ ไหม”  เราก็ตอบไปว่าใช่ เราโอเค ทีนี้ครูก็พูดว่าเหมือนเรายังไปไม่ถึง เหมือนเรายังไม่กล้าเอาตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น สังเกตว่าตอนที่เราแสดงเหตุการณ์วันนั้นแล้วพอมันถึงจุดที่ต้องดิ่งเรากลับสลับมาเป็น Narrator (ไม่เคยสังเกตเลย แต่พอครูพูดเราก็นึกได้ว่า จริงด้วย ทุกครั้งที่บทพาเราดิ่งเราก็สลับกลับมาเป็น Narrator ทุกที) ครูเลยลองถามเราว่าเราเห็นอะไร วันนั้นเกิดอะไรขึ้น อะไรทำให้เราพูดประโยคนี้ในบทของเรา พอเราเล่าให้ครูฟังเราเริ่มน้ำตาไหลออกมา ตอนนั้นเรารู้สึกว่า “นี่เราแพ้แล้วเหรอ เรื่องนี้มันยังเป็นแผลสดของเราเหรอ เรายังไม่มูฟออนเหรอเราเลยร้องไห้ออกมา” แต่พอเราร้องไห้ออกมาครูพูดประมาณว่า “นี่ไง ไปถึงแล้ว” (ประมาณนะ ไม่มั่นใจ แต่ประมาณว่านี่ไง เราดิ่งไปพร้อมกับเรื่องแล้ว) ก็คือ เราปิดกั้นตัวเองไม่ให้รู้สึกกับเรื่องวันนั้น สิ่งนี้ทำให้เราไปไม่ถึงอารมณ์และแสดงออกมาไม่ชัด สิ่งที่ครูต้องการคือเรารู้สึกถึงมัน เหมือนมันคือ here and now เหมือนเรากลับไปวันนั้น แต่เราเองที่มองว่ามันคือการที่เรามูฟออนจนเล่าได้โดยไม่ร้องไห้แล้ว และเรากลัวที่จะร้องไห้ต่อหน้าคนเราเลยไม่ยอมดิ่งไปกับมัน ทั้งที่มันไม่ผิดเลย ครูบอกว่าเราสามารถร้องไห้ได้ ก็ปล่อยไปเลย รู้สึกจริงกับมัน และถ้าร้องเสร็จแล้วเราเปลี่ยนโฟกัส เราพาตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ ไม่สติแตก ไม่ติดกับโมเมนต์ ณ ตอนนั้น นั่นแหละคือแผลเป็น ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องเมินเฉยกับมันแต่เป็นเรื่องที่เรารู้สึกกับมันจริง ๆ และพาตัวเองกลับมาได้ต่างหาก


    นั่นแหละ ทั้งหมดของวิชานี้55555 เรารู้สึกเราเปลี่ยนไปเลย เราคิดมาตลอดว่าเราทำไม่ได้แต่พอได้ลองทำเราก็เพิ่งรู้ว่าเราทำมันได้ดีกว่าที่คิดและเรากำลังพัฒนาไปเรื่อย ๆ ฮืออ เป็นวิชาที่เกินความคาดหมายจริง ๆ 

    แล้วก็ เรารู้สึกว่าเรารักตัวเอง(?)มากขึ้น ได้ทำความรู้จักตัวเอง(ทั้งกายและใจ) ที่ผ่านมาเรามองข้ามมันมาตลอดจนเรียนวิชานี้เราได้เรียนรู้อะไร ๆ เกี่ยวกับตัวเอง ค้นพบอะไรใหม่ ๆ และเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับตัวเองในฐานะมนุษย์คนนึง เราเหมือนเป็คนที่มีรอยบิ่น เต็มไปด้วยรอยร้าว ดูไม่สมบูรณ์แต่ถึงแบบนั้นเราก็รักตัวเราที่เป็นแบบนี้มาก ๆ เลย 


    แล้วก็เป็นวิชาที่ได้ยืนเส้นก่อนเรียนทุกคาบด้วย! ไม่ค่อยปวดหลังแล้วเดี๋ยวนี้ 5555 อารมณ์เหมือนโยคะ Every Wednesday we do yoga มาก ยืด ๆ เหยียด ๆ ตอนนี้ร่างกายยืดหยุ่นขึ้นมานิดนึงง


    Intro Dram Arts


    ครึ่งเทอมแรกเรียนคล้าย Drama Everyday ตอนเทอม 1 เลย แต่ครึ่งเทอมหลังเราต้องเอาสิ่งที่เรียนไปทำละครจริง ๆ เอาไปแสดงในงานแหวกม่านการละคร ครูให้จับกลุ่ม 10-11 คน แล้วแบ่งหน้าที่กัน ใครเขียนบท กำกับ ออกแบบฉาก คอสตูม เป็นนักแสดง เป็นคนทำซาวด์ ออกแบบแสงอะไรต่าง ๆ เอง (แต่ไม่ต้องกดแสงเองนะ เดี๋ยวมีคนจากอีกวิชาทำให้) ก็คือ เป็นวิชา Intro ที่ไม่ Intro เท่าไหร่ เป็น Intro ที่ไม่ได้เริ่มจาก 0 แต่ให้เราเริ่มจาก 50 แล้วพอจบเทอมจะกลายเป็น 100 ทันที 555555 ตอนแรกให้เขียนบทให้อาจารย์ตรวจ อาจารย์จะคอมเมนต์แล้วให้ไปแก้ วีคต่อ ๆ มาก็ส่งฉาก ส่งคอสตูม ส่งการแสดงอะไรต่าง ๆ ตามลำดับ 

    ตอนทำฉากก็คือทำกันเองนะ พ่นสี แปะนั่นนี่กันเองหมด รู้สึกเหมือนกลับไปตอนทำกีฬาสีสมัยม.ปลาย ต้องลองจริง ๆ 



    ตอนนี้ที่เราเขียนอยู่เรายังไม่ปิดเทอมเพราะยังมีเปเปอร์ต้องทำ+ละครที่เราทำก็ยังไม่เล่น เราเลยคิดว่าเดี๋ยวถ้าละครจบแล้วเราไม่เหนื่อยจนเกินไปจะมาเขียนเล่าอีกที วันนี้เลยเล่าแค่นี้ก่อน 5555



    Hist Art Arch (เจนเอด)


    เป็นเจนเอดตัวแรกของเรา ฮือออ ในที่สุดเราก็ลงเจนเอดติดกับเขา (เราเป็นพวกดื้อค่ะ 55555 เราจะเรียนแค่ตัวที่เราอยากเรียนเท่านั้น ที่ผ่านมาลงไปหลายตัวไม่ติดสักตัวเลยไม่เรียน รอเรียนตัวที่เราชอบจริง ๆ )

    เป็นวิชาที่จะพาเราไปดูงานศิลปะตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยันสมัยศตวรรษที่ 20 เลยย (แต่เราเรียนไม่ทันเลยจบที่ Post Impressionism)


    เป็นวิชาที่เรียนสบายนะ! เรียนสดมีคลิปเลคเชอร์ให้ มาเรียนทีหลังได้ แต่เราเรียนสดตลอดค่ะ เป็นวิชาเดียวที่ทำให้เราตื่นเช้ามาเรียนได้ มีครูสอน 3 ท่าน ช่วงก่อนประวัติศาสตร์จนถึงโรมันจะเป็นครูท่านนึง พอยุคกลางเป็นเป็นอีกท่าน ส่วนช่วงเรอเรสซองส์จนถึงสมัยใหม่จะเป็นอีกท่าน

    สนุกทั้งสามช่วงเลยยย ความรู้แน่นมากกก แถมมีเปเปอร์ 55555 เข้าไปคาบแรก ๆ ครูจะให้เราอ่านเปเปอร์ที่ครูเขียน เนื้อหาประมาณว่าเวลาเราพูดถึงศิลปะเราจะคิดถึงแต่ศิลปะตะวันตก ทั้งที่ศิลปะของดินแดนอื่นก็น่าสนใจ (ครูอธิบายเพิ่มด้วยว่าวิชานี้พูดถึงประวัติศาสตร์ศิลปะและสถาปัตยกรรม ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นของตะวันตกแต่เนื้อหาก็มีแต่ตะวันตก) ครูก็เลยให้พวกเราจับกลุ่มแล้วเลือกคำศัพท์เกี่ยวกับศิลปะที่อยู่ในลิสต์มา 1 คำแล้วเอามาเปรียบเทียบกับงานในแถบ SEA ค่ะ กลุ่มเราเลือก Lamassu เป็นรูปสลักที่หัวเป็นคน มีปีกแบบนกอินทรีย์ ตัวเป็นสิงโตหรือไม่ก็วัว รูปสลักนี้จะอยู่ตรงประตูทางเข้าเขตวังของกษัตริย์เมโสโปเตเมียค่ะ ซึ่งเราก็มองว่ามันคล้ายกับทวารบาลในวัดไทยเลย แล้วก็คล้ายยักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าวัดโพธิ์ด้วย! 


    พอจบงานนี้ก็จะเรียนต่อยาว ๆ มีสอบมิดเทอม ให้ดูงานแล้วบอกปีที่สร้าง+วิเคราะห์งานชิ้นนั้น พิมพ์จนปวดมือ สงสารแป้นพิมพ์มาก พอสอบเสร็จแล้วก็เรียนต่อ ครึ่งหลังมีเปเปอร์อีกชิ้น ให้เลือกรูปงานศิลปะที่ครูกำหนดในลิสต์มา 1 ชิ้นแล้วไปหางานอื่น ๆ มาเปรียบเทียบอีก 3 ชิ้น(ถ้าทำเดี่ยว แต่ถ้าทำเป็นกลุ่มต้องเลือก 10 ชิ้นค่ะ) แล้วก็สอบไฟนอล!! คราวนี้จำนวนข้อไม่เยอะเท่ามิดเทอม มีแค่ 5 ข้อ ให้เปรียบเทียบเรื่องแนวคิด เทคนิค ความหมายของภาพค่ะ ถ้าตั้งใจเรียนก็ทำได้แน่นอน! (แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าคะแนนตัวเองจะออกมาเป็นไง) 

    โดยรวมเราชอบวิชานี้มากกกก บางคนอาจจะเบื่อแต่เราเอนจอยนะ ตอนแรกคิดนานมากว่าลงดีไหม เห็นหลายคนบอกว่าโหดแต่อยากเรียนเลยลองลงดูแล้วก็ลงติด โอเค! ยังไงก็ต้องรอด!! พอมาเรียนจริง ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเลย อาจเพราะเราชอบด้วยส่วนนึง เราชอบเวลาอาจารย์เล่าเรื่องราวเบื้องหลังงานศิลปะชิ้นต่าง ๆ เล่าว่ามันมีที่มายังไง เล่าว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นแล้วมันเกี่ยวกับรูปพวกนี้ยังไง มีความสุขมากกก เราชอบฟังเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอะไรสักอย่างอยู่แล้วด้วย แล้วตอนที่เราเรียนวิชานี้มันก็ขนานไปกับวิชาประวัติศาสตร์การละครเหมือนกัน ก็คือได้เรียนทั้งศิลปะกรีก โรมัน ยุคกลาง ยุคเรอเนสซองส์ ไล่เลี่ยไปกับการละครยุคเดียวกันเลย 55555 จังหวะเป๊ะมาก เราเอาศิลปะในยุคกลางมาช่วยวิเคราะห์บทละครด้วนะ เพราะงานศิลปะยุคนั้นคือหลักฐานนึงที่ยืนยันความคิดของคนสมัยนั้นแล้วมันก็ไปโผล่ในบทละครที่เราทำล่ะ!


    ถือว่าเป็นการย้ายเอกที่ราบรื่น แรก ๆ ก็ทุลักทะเลแหละแต่ตอนนี้เริ่มจับทางได้แล้ว หวังว่าเทอมต่อ ๆ ไปก็จะรอดนะ !!! (ไม่รอดก็ต้องรอดเพราะชอบมาก ฉันจะไม่ทิ้งเธอ ฉันอยากเข้าเอกนี้มาตั้งแต่ม.5และฉันคลาดกับเอกนี้หลายครั้งมาก ตอนนี้ได้เรียนแล้ว ฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหนแล้ววว”)



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in