เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ชั้นหนังสือของปุ๊กโกะจังuminaka16
<รีวิว> ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน
  • เท็ตสึโกะตั้งใจว่าจะแกะเปลือกเม็ดแปะก๊วยให้ป๊าสักหน่อย จึงมองหาคีมสำหรับบีบเม็ดแปะก๊วยที่น่าจะหยิบออกมาจากในครัวแล้ว พลางก็นึกถึงคำว่า 'ร่วมเป็นร่วมตาย' ขึ้นมา เธอเคยมีประสบการณ์เรื่องของคาซึกิ ก็เลยพอเดาออกว่าคนเราเวลาที่ตายนั้นต้องมีการตระเตรียมอะไรบ้าง สำหรับป๊านั้น เธอก็อยากจะให้อยู่บ้านหลังนี้ไปจนวาระสุดท้าย แม้จะไม่เคยคุยเรื่องนี้กันก็จริงแต่ก็เริ่มรู้สึกว่าถ้าป๊าตายไปแล้ว เวลาเธอเห็นคีมบีบเม็ดแปะก๊วยก็คงจะเหงาขึ้นมาไม่น้อย พอลองคิดแบบนี้ สิ่งที่ดูเหมือนคีมหนีบทื่อมะลื่อก็กลายเป็นของล้ำค่าราวกับมรดกชิ้นสำคัญขึ้นมา เมื่อเธอใช้มรดกชิ้นนั้นบีบเปลือกแปะก๊วยไปทีละเม็ด ๆ เนื้อในนุ่ม ๆ ก็โผล่มาให้เห็นจากใต้เปลือกแข็งนั้น


    ตอนที่ได้เห็นโฆษณาหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก (ปกฉบับญี่ปุ่น รูปในโปสการ์ดสีน้ำเงินขาว พื้นขาว) จากเพจสำนักพิมพ์ซึ่งเพื่อนใน Facebook แชร์มา ก็รู้สึกสะดุดตาเข้ากับความมินิมัลของปกนิยายญี่ปุ่นจริงๆ ต่อมาเมื่อประกาศปกฉบับภาษาไทยก็คิดว่าน่ารักดี ชอบโทนสีที่ดูเหมือนขนมปังโฮลวีด แล้วก็สีของแกงกะหรี่ด้วย

    จากชื่อเรื่องก็พอจะเดาออกว่าเนื้อเรื่องน่าจะมาในแนวอบอุ่นหัวใจอีกแล้ว ยิ่งคำโปรยที่ว่าเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกันด้วยสายใยแห่งความตายและการค้นหาความหมายของชีวิต ก็พอจะเดาได้เลยว่าโทนเรื่องจะมาแนวไหน

    "ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน" เล่าเรื่องราวของผู้คนรอบตัวของ "คาซึกิ" ชายหนุ่มที่เสียชีวิตลงก่อนวัยอันควรด้วยโรคร้าย คาซึกิแต่งงานแล้วกับเท็ตสึโกะ ผู้ซึ่งกลายเป็นหม้าย ทั้งคู่ไม่มีลูก และแม่ของคาซึกิก็เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นแล้ว ทำให้ที่บ้านเหลืออยู่แค่เท็ตสึโกะและเร็นทาโร่ผู้เป็นพ่อสามี ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมา 9 ปีหลังจากที่คาซึกิไม่อยู่ ความสัมพันธ์ปกติดีเหมือนเมื่อก่อนยังไงยังงั้น ถึงแม้คนนอกอาจจะมองแปลก ๆ ที่ลูกสะใภ้กับพ่อสามีจะใช้ชีิวิตอยู่ด้วยกันแค่สองคน แต่เท็ตสึโกะไม่สนใจ

    เท็ตสึโกะมีแฟนใหม่เป็นชายหนุ่มที่ทำงานที่เดียวกัน (อิวาอิ) เขาขอเธอแต่งงาน แต่เท็ตสึโกะปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้เลิกกัน เป็นความสัมพันธ์อิหลักอิเหลื่อ งง ๆ ในขณะเดียวกัน โทราโอะ ญาติผู้น้องของคาซึกิผู้เห็นคาซึกิเป็นไอดอลก็เก็บรถคันเก่าของคาซึกิไว้ ไม่ยอมขาย ทั้ง ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายกับรถคันนี้มากมาย ส่วน โอดะ ทาคาระ แอร์โฮสเตสสาวข้างบ้านที่ลาออกจากงานมาอยู่เฉยๆ ก็กลายเป็นคนไม่ยิ้มไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

    เรื่องนี้เปิดเรื่องมาหลังจากที่คาซึกิตายไปหลายปีแล้ว แต่คนรอบ ๆ ตัวยังไม่สามารถ Move On ต่อไปได้ ด้วยมีความยึดติดกับอะไรบางอย่าง ทำให้ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ โดยที่ในใจยังมีกุญแจที่ไม่ได้ถูกปลดล็อกอยู่ จนในที่สุดจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้คนเหล่านี้หลุดพ้นจากสิ่งที่พันธนาการอยู่ โดยบางทีอาจจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย เราอ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นการปิ๊งในหัวแล้วก็บรรลุเลยอะไรแบบนั้น 

    การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างเรียบง่าย เล่าชีวิตประจำวันของตัวละคร เจาะลึกเข้าไปในความคิดของเหล่าตัวละครเราจะเห็นมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ  ซึ่งบางอย่างก็ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเกินกว่าที่คนอย่างเราจะเคยนึกถึง อย่างเรื่องคีบหนีบเม็ดแปะก๊วยนั่นก็ใช่ เราไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนช่างคิดแบบนี้เป็นส่วนใหญ่หรือไม่ แต่เท่าที่เคยอ่านมาไม่น้อยก็จะประมาณนี้แหล่ะ

    ด้วยธีมเรื่องนั้นดีอยู่แล้ว แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ เรากลับพบว่าเรื่องราวที่เล่ามานั้นค่อนข้างสะเปะสะปะ เนื้อหาข้างในแบ่งเป็นบทย่อยๆ โดยที่เรื่องราวส่วนใหญ่ไม่เชื่อมกันตาม Timeline แต่เล่ากลับไปกลับมา บางบทก็เนื้อหาทับซ้อนช่วงเวลากับบทอื่น บางบทก็ย้อนอดีต บางบทก็ไปข้างหน้า แล้วก็มีเรื่องราวของคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคาซึกิหลายคน ซึ่งถึงแม้คนเหล่านั้นจะมีสิ่งที่ยึดติดจนชีวิตชะงักงันเหมือนกัน แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันไม่มีพล็อตหลัก แต่เหมือนเล่าเรื่องคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนจบเรื่องก็เหมือนกับแค่จบตอนหนึ่ง จะเขียนเพิ่มหลังจากนี้อีกกี่ตอนก็ได้ ซึ่งบทแบบนี้เหมาะกับการนำไปสร้างซีรีส์ญี่ปุ่นมาก จบแบบมีต่อภาคสองได้สบายๆ

    อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยอินกับเรื่องราวนักคือการที่ตัวละครบางตัวมีบุคลิกไม่ธรรมชาติ อย่างคุณพ่อสามีและคุณอิวาอิที่ใจดีกับคนแปลกหน้าจนเกินไปมาก โดยเฉพาะคุณพ่อสามีในความรู้สึกเราคือเป็นคนที่พฤติกรรมแปลกประหลาดมาก เหมือนไม่น่าจะมีมนุษย์แบบนี้อยู่จริง (แต่อาจจะมีก็ได้) คนแบบนี้พบได้ง่ายในซีรีส์ญี่ปุ่นแต่ในชีวิตจริงน่าจะหายากพอดู ส่วนบทสนทนาก็เป็นสไตล์ญี่ปุ่นจ๋า การย้อนประโยคไปมา การใช้ประโยคประเภท "อะไรแบบนั้น" "อะไรนั่นน่ะ" "เวลาแบบนั้น" พออ่านต่อเนื่องไปนาน ๆ ก็เริ่มจะงงว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่อันนี้คงเป็นรูปประโยคที่คนญี่ปุ่นพูดกันเป็นปกติอยู่แล้วละ

    จุดสุดท้ายที่รู้สึกว่าน่าเสียดายก็คือชื่อเรื่อง ตอนเห็นชื่อเรื่องเรารู้สึกว่า ขนมปัง กับ แกงกะหรี่ จะต้องถูกวางเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายของเรื่องนี้ จะต้องเป็นสิ่งที่ถูกเปรียบเปรยกับอะไรสักอย่างที่ลึกซึ้ง แต่ในความเป็นจริงมันก็คือความหมายตรงตัวเลยค่ะ แถมสองสิ่งนี้ยังปรากฎในตอนสั้น ๆ กับตัวละครซึ่งเหมือนเป็นตัวประกอบที่แค่ผ่านมา (เราพยายามคิดว่าเด็กสาวที่ปรากฏตัวในบทนี้คือเท็ตสึโกะหรือไม่แต่ก็หาหลักฐานไม่เจอ อาจเป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่ให้ผู้อ่านเดาเอาเอง หรืออาจจะไม่เกี่ยวเลยจริง ๆ ก็ได้) 

    สรุปสั้น ๆ ก็คือเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งที่ยึดติดกับอะไรบางอย่างแล้วได้พบสิ่งที่ปลดล็อกหัวใจจนสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้ในที่สุดค่ะ

    ปล. เราชอบบันทึกจากผู้แปลมากค่ะ เขียนดีจังเลย :)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in