เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ชั้นหนังสือของปุ๊กโกะจังuminaka16
<รีวิว> เหรียญทองแดงปราบพิภพ
  • เขาหลุบตาลงมองเสวียนหมิ่นที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ กับนกสีดำที่ท่าทางสงบเสงี่ยม อยู่ดีๆ ก็เกิดนึกขึ้นมาว่า 'หากวันเวลาผ่านพ้นเช่นนี้เรื่อยไปก็ไม่เลว' ไม่ถึงกับเอะอะเกินไป และไม่เงียบเหงาเกินไปเช่นกัน ช่องว่างทั้งหมดที่มีล้วนถูกถมเต็มจนพอดีเป็นที่สุด

    หากเมื่อใดแสงตะวันยามเช้าสาดส่อง แล้วตรงหน้าล้วนเป็นเช่นนี้ทุกวัน ต่อให้ต้องอยู่ต่อไปเป็นร้อยปีก็ไม่มีทางเบื่อหน่าย...


    ช่างเป็นฉากหลังที่สวยงามเสียจริง = =' 


    ตำนานเทพมังกรผู้ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดจากท้องทะเล
    และมาพร้อมกับเมฆสายฟ้าอานุภาพรุนแรงน่าครั่นคร้าม
    ทว่ามังกรก็มีวันประสบเคราะห์ใหญ่ถึงคราววิบัติ
    ถูกทำร้ายจนเหลือเพียงแก่นวิญญาณที่รอวันกลับคืน...


    จู่ๆ ที่เมืองหนึ่งก็มีเหตุการณ์ประหลาด
    ข่าวลือเรื่องชายรูปร่างหน้าตาสยองราวกับภูตผี
    มักปรากฏตัวในยามค่ำคืนจนผู้คนหวาดผวา
    กระทั่งหลวงจีนผู้หนึ่งมาที่นี่พร้อมเหรียญทองแดง
    เรื่องราวอันแสนพิลึกพิลั่นก็บังเกิดขึ้นนับตั้งแต่นี้


    เหรียญทองแดงปราบพิภพ เรื่องนี้เป็นนิยายแนวแฟนตาซีจีนโบราณ โลกที่มีภูตผีวิญญาณ มีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ อาคม มนตร์คาถา ค่ายกล มีหลวงจีน และมีมังกร...

    เซวียเสียน เป็นมังกรซึ่งเป็นสัตว์เทพที่เกิดขึ้นจากฟ้าดิน มีอายุขัยยาวนานเป็นพันๆ ปี ปกติก็มีหน้าที่โปรยฝน เรียกฟ้าผ่า ดูแลสภาพอากาศของโลก แต่ถึงจะมีอายุยืนยาวแต่ก็มีวันที่เป็นคราวเคราะห์ มีทั้งเคราะห์เล็กและเคราะห์ใหญ่ วันหนึ่งราวครึ่งปีก่อน ในวันที่เซวียเสียนประสบเคราะห์ใหญ่ ถูกสายฟ้าฟาดใส่จนบาดเจ็บ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เซวียเสียนถูกใครบางคนเลาะเส้นเอ็นและกระดูกสันหลังบางส่วนไป ทำให้กลายเป็นอัมพาตท่อนล่าง ตั้งแต่เอวลงไปไม่มีความรู้สึก ไม่สามารถบังคับได้ หลังจากรู้สึกตัว เซวียเสียนก็ออกตามหากระดูกของตัวเอง แต่ก็ไม่มีเงื่อนงำใดๆ เซวียเสียนเดินทางไปยังเมืองหนิงหยาง เมืองที่เมื่อก่อนนี้ยามที่ประสบเคราะห์ หมอสกุลเจียงผู้หนึ่งได้ช่วยเหลือเขาไว้ แต่กลับมาคราวนี้กลับพบว่า ร้านหมอสกุลเจียงกลายเป็นซากไฟไหม้ ไม่มีคนเป็นเหลืออยู่อีก มีเพียงวิญญาณตนหนึ่งที่ยังยึดติดอยู่ที่นั่น เขาคือ เจียงซื่อหนิง บุตรชายของหมอสกุลเจียงคนนั้น เซวียเสียนเดินทางโดยการเข้าไปอยู่ในร่างตุ๊กตากระดาษแล้วอาศัยสายลมคอยเกาะติดคนอื่นไปเรื่อยๆ เมื่อพบกับเจียงซื่อหนิงก็เลยตัดกระดาษทำตุ๊กตาเสกร่างให้เขาอาศัยเช่นกัน

    เสวียนหมิ่น หลวงจีนหน้าตาเยาว์วัย ใบหน้าเย็นชา พูดน้อยถึงน้อยที่สุด ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทางสีหน้า เดินทางผ่านมาที่เมืองหนิงหยาง เด็กร้านอาหารผู้หนึ่งได้มาขอร้องให้เสวียนหมิ่นไปสะกดวิญญาณที่อดีตร้านหมอสกุลเจียงเนื่องจากเขาเห็นร่างที่เหมือนไม่ใช่มนุษย์เข้าไปที่นั่น เสวียนหมิ่นไปที่ร้านหมอสกุลเจียงแล้วแล้วเอาแผ่นทองแดนมาแซะตุ๊กตากระดาษสองตััวขึ้นมาจากขี้ตะไคร่ที่พื้นและจับโยนใส่ถุงผ้าข้างเอว ตั้งใจจะปราบในภายหลัง แต่เขากลับพบว่า หนึ่งในตุ๊กตากระดาษสองตัวนั้นช่างมีนิสัยซุกซนวุ่นวายเป็นที่สุด ถูกจับก็ไม่ได้สลดหรือสงบนิ่งเลยแม้แต่น้อย กลับยังโวยวายบ่นนู่นบ่นนี่ไม่หยุด และที่สำคัญก็คือไม่กลัวเขาเลย ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะเซวียเสียนเป็นมังกรที่นิสัยทะนงโอหัง ปกติก็ไม่เคยต้องกลัวใคร พอถูกจับมาก็ยังออกฤทธิ์ออกเดชไม่หยุด เสวียนหมิ่นคิดว่าเจ้าปีศาจนี่ช่างประหลาดเสียจริง แล้วก็เกิดความสนใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    จากน้้นเรื่องราวการเดินทางของหนึ่งพระ หนึ่งมังกร หนึ่งผี ก็เริ่มต้นขึ้น เสวียนหมิ่นนั้นความจำเสื่อม แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เจอกระดาษที่เขียนเอาไว้ว่า "หาคน" ซึ่งไม่รู้ว่าคนที่ต้องหาคือใคร ส่วนเซวียเสียนก็มีเป้าหมายคือการตามหากระดูกมังกร คนทั้งกลุ่มเริ่มต้นจากการเดินทางไปหานักทำนายตาบอดคนหนึ่ง พอได้เงื่อนงำก็สืบต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างที่เดินทางไป เซวียเสียนเริ่มได้กระดูกตัวเองคืนมาทีละชิ้น ในขณะที่ความทรงจำของเสวียนหมิ่นก็ค่อยๆ กลับมาทีละส่วน ซึ่งสุดท้ายแล้ว เมื่อความทรงจำกลับคืนมาทั้งหมด สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คืออะไร อันนี้ไม่เฉลย ต้องไปอ่านเอาเองค่ะ

    มาพูดถึงสิ่งที่เราชอบในเรื่องนี้กันเลยดีกว่า อันดับแรกที่ไม่พูดไม่ได้ก็คือคาแรกเตอร์ของพระ-นาย ที่แตกต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งขี้เล่นแสนซน คนหนึ่งนิ่งราวกับท่อนไม้ แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วกลับเข้ากันได้ดีเหลือเชื่อ เราเชื่อว่าไม่ว่าใครมาอ่านเรื่องนี้ก็ต้องชอบเซวียเสียน เจ้ามังกรที่ดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอนอยู่ในร่างตุ๊กตากระดาษ ตอนอยู่ในไข่มุกทองคำ หรือตอนหดร่างเป็นมังกือน้อยพันข้อมือเสวียนหมิ่นไว้ นักเขียนบรรยายพฤติกรรมของเซวียเสียนได้น่ารักน่าชังที่สุดค่ะ //อยากจิ้ม// ทั้งตอนที่ตุ๊กตากระดาษไปแปะบนไข่มุกทองคำแล้วกลิ้งไปกลิ้งมา หรือตอนมังกรน้อยพยายามงับนิ้วเสวียนหมิ่นยามที่ถูกขัดใจ หรือตอนที่เป็นมังกรตัวใหญ่แล้วไปพันรอบตัวเสวียนหมิ่นเพื่อระบายความร้อนในร่าง มันน่ารักทุกตรงเลยค่ะ เสวียนหมิ่นคือดาวข่มเซวียเสียนอย่างแท้จริง ไม่ว่าน้องจะอาละวาดยังไง ไต้ซือท่านเอาอยู่ น้องก็จะแบบ เออ ไม่ได้ยอมหรอกนะ แต่ขี้เกียจแล้ว อะไรงี้ 5555

    ส่วนเสวียนหมิ่น ถึงจะพูดน้อย เก็บความรู้สึกเก่ง แต่ตามใจเซวียเสียนตลอดเลย ถึงจะโดนน้องแกล้งจนอึ้งพูดไม่ออกอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ลงโทษน้องเลยค่ะ ออกแนวเอือมระอาซะมากกว่า เราชอบเวลาเซวียเสียนเมิน หลบหน้า หรือเกเร แล้วพอเปลี่ยนใจกลับมา เสวียนหมิ่นจะพูดแค่ว่า "ไม่ซนแล้ว?" "ไม่หลบหน้าแล้ว?" ให้น้องไปไม่ถูกทุกที //น่าร้ากกกก// แต่บางทีหลวงพี่ท่านก็ดุนิดๆ แต่ทั้งหมดก็เพื่องานไม่ก็เพื่อตัวน้องค่ะ เรียกว่าเสวียนหมิ่นจากที่ตอนแรกเก็บน้องมาเพราะคิดจะปราบ ก็กลายเป็นเหมือนพี่เลี้ยงดูแลเด็กไปซะงั้น หลวงพี่ไม่ค่อยพูด แต่ดูแลดีประหนึ่งญาติมิตร ไม่เชื่อไปลองอ่านดูค่า

    ความรักของคู่นี้ก็เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตร่วมกัน ดูแลช่วยเหลือกันนี่แหละ จากคนแปลกหน้ากลายเป็นความผูกพัน ถึงเซวียเสียนจะเรียกเสวียนหมิ่นว่า "ลาโง่" //ตอนแรกก็หมายความแบบนั้นจริงแหละ// พอตอนหลังรู้สึกดีด้วย แต่ก็เปลี่ยนคำเรียกไม่ทันแล้ว น่ารักตรงที่ตอนหลังเซวียเสียนไปเจอไต้ซืออีกคนก็เรียกลาโง่ไม่ได้แล้ว เพราะชื่อ "ลาโง่" กลายเป็นคำเรียกเฉพาะสำหรับเรียกเสวียนหมิ่นเท่านั้น //กุมใจ// เนื้อเรื่องจะบรรยายผ่านเซวียเสียนเป็นหลัก ดังนั้น เซวียเสียนคิดอะไรเราจะร่วมรับรู้ทั้งหมด แล้วน้องก็เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาซะด้วย อ่านตั้งแต่ต้นจนจบเราจะเห็นเลยว่าความคิดน้องค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย ค่อยๆ รู้สึกดีทีละนิดๆ ส่วนฝั่งเสวียนหมิ่นนั้น เขาคือ Mystery Box ค่ะทุกคน เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น มีคิดบ้างนิดหน่อย เซวียเสวียนไม่รู้ คนอ่านก็ไม่รู้ เสวียนหมิ่นเป็นแนวแสดงออกผ่านการกระทำ ดังนั้น เราคนอ่านก็ต้องนั่งเดาใจเขาค่ะ เอ๊ะ เขารักน้องมังกรรึยังน้อ แต่ความคลุมเครือนี้เป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้นะคะ อารมณ์อึดอัดๆ อยากรู้แต่ไม่อยากถาม อ่านแล้วลุ้นไปด้วยเลย

    ในการตามหากระดูกแต่ละท่อนก็เหมือนแบ่งเป็นแต่ละภาคย่อยๆ มีตัวละครที่ผ่านมาในบทนี้และผ่านไป และมีตัวละครที่ตอนหลังกลายมาเป็นแก๊งค์ร่วมเดินทางกับพระเอกนายเอก มีการทำลายค่ายกล การสะกดวิญญาณ การส่งวิญญาณสู่สุคติ ฉากบรรยายค่ายกลค่อนข้างละเอียด ซึ่งเราขอสารภาพว่าบางช่วงก็จินตนาการภาพไม่ออกค่ะ บวกกับสำนวนที่อ่านค่อนข้างยาก ใช้สำนวนแบบประหยัดคำ เช่น เขาเกลื่อนสีหน้า //กลบเกลื่อน// บ้านเก่าคร่ำหลังนั้น //คร่ำคร่า// คือไม่ใช้คำซ้อนเลย ตัดเรียบ และมีการใช้คำที่ไม่คุ้นเคยเยอะค่ะ ขนาดเราค่อนข้างมีคลังคำศัพท์ในหัวเยอะยังเจอบางคำไม่คุ้นเลย ก็เลยใช้เวลาอ่านนานมากกว่าปกติ ฉากการผจญภัยก็สนุกดี มีงงๆ บ้าง ส่วนฉากพระ-นายคุยกันนี่ดีทุกฉากเลย

    อีกอย่างที่ชอบมากก็คือการบรรยายความรู้สึกแบบที่ไม่บอกตรงๆ ว่า ชอบ รัก เสียใจ เศร้า แต่บรรยายผ่านสภาพดินฟ้าอากาศ ยิ่งฉากไคลแมกซ์นี่ทำเราน้ำตารื้นค่ะ ความเศร้าในระดับฟ้าถล่มดินทลาย อ่านไป อ่านไป รู้สึกตัวอีกทีคือเกือบสะอื้นแล้ว ถ้าเราจำไม่ผิด เรื่องสุดท้ายที่เราอ่านแล้วน้ำตารื้นก็เจ้ารอยอินทร์นู่นเลยค่ะ นานมาก ความรู้สึกรักก็เหมือนกัน อ่านจนจบเรื่องตัวละครไม่มีบอกรักกันเลย คิดถึงก็ไม่มี มีแต่คิดในใจนิดหน่อย แต่การกระทำ การมองตาก็รู้ใจ การตามใจ เอาอกเอาใจ การกระเซ้าเย้าแหย่ มันบอกคนทั้งโลกแล้วว่าพวกเขารักกันค่ะทู้กคนนน //มองบน// 

    สรุปก็คือเรื่องนี้มันดีมากๆ สำหรับคนที่ชอบสายอารมณ์ มาเลยค่ะ ดีสุดๆ โทนเรื่องซีเรียสสลับกับตลกโบ๊ะบ๊ะ การผจญภัยก็สนุกดี มีคติสอนใจ (ถ้าหาเจอ) ภาษาสวย อ่านยากนิดหน่อยแต่ไม่เป็นอุปสรรค คำผิดประปราย ใครอ่านแล้วไม่เอ็นดูน้องมังกรแสดงว่าคุณใจแข็งมาก เพราะน้องดุ๊กดิ๊กน่ารักมากค่ะ

    สำหรับเล่มพิเศษ เป็นเรื่องหลังจากเหตุการณ์ในเล่มหลัก ไม่ต้องอ่านก็ได้ แต่ถ้าอ่านก็จะมีเปิดเผยปมอดีตเล็กๆ นิดหน่อยค่ะ


    สำหรับคำผิดในเล่มนี้นั้น บอกตรงๆ ว่าเป็นเรื่องที่หาคำผิดเหนื่อยมาก เพราะอย่างที่บอกว่าสำนวนและคำไม่คุ้นเยอะ บางคำรู้สึกแปลกๆ แต่พอเปิดพจนานุกรมดูก็พบว่า คำนี้มันมีจริงแฮะ แค่เราไม่คุ้น อย่างไรก็ตาม ที่พิมพ์ผิด พิมพ์ตก พิมพ์เกิน ก็มีอยู่จริง อย่าง มหาสุมทร หน้า 71 หรือ เซวียนเสียน (หน้าไหนจำไม่ได้) หรือการใช้อักษรต่ำกับไม้จัตวา เช่น สกุลชวี๋ เม๋ย สำหรับรูปด้านล่างนี้มีบางเคสเราแปะตอนที่เจอคำว่า เท่าไหร่ (เท่าไร) เป็นไร (เป็นอย่างไร เป็นอะไร) ไว้ด้วย เพราะรู้สึกว่าภาษามันไม่เข้ากับโทนเรื่องค่ะ แต่หลังๆ เจอเยอะก็เลยไม่แปะแล้ว ดังนั้นรูปนี้ไม่ใช่เคสคำผิดทั้งหมดนะคะ เป็นแค่โดยประมาณ ห้ามนำไปอ้างอิงค่ะ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in