"พี่รหัสคนอื่นเขาพาน้องไปร้านเหล้าครั้งแรก แต่กูพามึงไปม็อบครั้งแรกนะเว่ย"
"ปังมากพี่สาว"
เราตอบพี่รหัสไปแบบสบาย ๆ ปกติพี่รหัสเราเป็นพวกนินจา เรียนเสร็จกลับบ้านทันทีเพราะไม่ได้อยู่หอเหมือนคนส่วนใหญ่ แถมยังอยู่ในย่านที่รถโคตรติด แต่วันนี้มันยอมเตร็ดเตร่อยู่ในมหาลัยหลังเลิกเรียนแค่เพราะจะพาเราไปม็อบตอนเย็น
อาจเพราะเราเรียนในมหาลัยที่ขึ้นชื่อว่าตื่นตัวทางการเมืองที่สุด นักศึกษาทุกคนเลยรู้สึกว่าต้องไปร่วมชุมนุมเย็นวันนั้นเพื่อแสดงสปิริตให้สังคมรู้ว่าเรามีทัศนคติต่อสถานการณ์ในสังคมตอนนี้อย่างไร
เรียกว่าไปชุมนุมให้ผู้ใหญ่มันดูละกัน
พี่รหัสเรา (ต่อไปนี้จะเรียกมันว่ากุ้ง นามสมมุติ) ก็คงรู้สึกอย่างนั้น อาจด้วยความที่เพื่อนบิลด์ด้วย หรือด้วยความที่ในใจมันนิยมประชาธิปไตยอยู่แล้ว หรืออาจเพราะเราบอกมันว่าจะเลี้ยงข้าวย้อนหลังวันเกิด มันเลยจะลากเราไปกินข้าวแล้วพาไปม็อบต่อให้ได้
อิกุ้งมึง
หลังจากเลี้ยงข้าวมันเสร็จ กุ้งนัดเจอกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ก่อนจะไปยังจุดนัดชุมนุม ยิ่งคนเยอะยิ่งฮึกเหิม ยิ่งเล่นกันสนุก
"ทุกคนรีบเดินนะ เดี๋ยวกูจะไปขึ้นเวทีพูดไม่ทัน"
"หูย มึงเตรียมมาเหรอ"
"ใช่ กูจะบอกว่ากูมาปราศรัยในนามนางสาวกุ้ง อายุ 22 ปี บ้านอยู่เขต..."
"อ้าว กูไปจ้างมึงตอนไหนเอ่ย"
รุ่นพี่คนอื่นคุยกันสนุกสนาน แหย่กันว่าจะพูดงู้นงี้ต่าง ๆ นานา เราได้ยินเสียงพูดแตก ๆ กับเสียงเฮของคนดังมาเป็นระยะ พอถึงจุดนัดพบ เราต้องวัดไข้และล้างมือด้วยเจลก่อนเข้างานเพื่อเป็นการป้องกันโรคระบาด
เรานั่งลงพร้อมกับเสียงทักทายจากคนที่พูดด้านหน้าว่า "พี่น้องครับ!"
ก่อนวันชุมนุมหนึ่งวัน แม่เราโทรมาคุยหลังเลิกเรียน
"ตอนนี้อยู่ที่ไหนลูก"
"อยู่หอแล้ว"
"กินข้าวยัง"
"กินแล้วหม่าม้า กำลังจะอาบน้ำ"
"..."
"..."
"เออ ช่วงนี้เค้ามีไรก็อย่าไปกับเขานะ"
"..."
"รู้เรื่องไหมเนี่ย"
"..."
"น้อง"
"อะไร"
"หม่าม้าบอก รู้เรื่องเปล่า"
"รู้"
"อย่าไปนะ มันไม่ใช่เรื่องของเรา"
"มันจะไม่ใช่เรื่องของเราได้ไง"
"เออ นั่นแหละ เรามีหน้าที่เรียนหนังสือ ให้คนอื่นเขาจัดการไป"
"คนอื่นเขาก็ต้องเรียนหนังสือเหมือนกันอะ"
"เอออ สรุปไม่ไปนะ"
"..."
"ว่าไง"
"..."
"น้อง"
"..."
แล้วแม่ก็วางสายไปพร้อมเสียงถอนหายใจ
เราเข้าใจทั้งหมด เข้าใจความรู้สึกแม่ที่ต้องโทรมาดัก แต่เราก็เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมต้องดื้อเงียบใส่แม่
จุดร่วมของม็อบที่เคยเห็นมาจากหลาย ๆ ช่วงเหตุการณ์สำหรับเราก็คงจะเป็นไมค์
มันเป็นไมค์ที่ไม่ส่งใครให้ดูดีเลย ทุกคนที่จับไมค์พูดจะต้องเสียงแตก เสียงหลง เสียงหายกันไปหมด เอาง่าย ๆ ถ้าอเดลมาจับไมค์ม็อบก็คงร้องไม่เพราะ เข้าใจว่าคงเป็นเพราะพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง เครื่องเสียงของสภานักศึกษาไม่สามารถส่งไปได้ถึงทุกคน ทำให้เราที่นั่งด้านหลังได้รับสารขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง เพื่อน ๆ จากหลากหลายคณะสลับกันขึ้นมาแสดงความไม่พอใจต่อผู้นำประเทศ พร้อมสอดแทรก punchline เรียกเสียงเฮเป็นระยะ ปิดท้ายด้วยศิลปินท่านหนึ่งออกมาแสดงสดให้พวกเราได้ชมกััน การชุมนุมจบลงอย่างราบรื่น พร้อมคำชวนของผู้จัดที่ว่าครั้งหน้าเราจะเจอกันที่ราชดำเนิน
หลังจากเช็กโซเชียลมีเดียเราพบว่ามีความเห็นหลากหลายต่อการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษา บ้างก็สนับสนุน บ้างก็เย้ยหยันว่าเด็กอย่างเรามันจะไปรู้อะไร ร้ายไปกว่านั้นก็ไล่ให้ไปจองต้นไม้เตรียมโดนแขวนคอกันไว้คนละต้น
ใจร้ายกันเกินไปไหมวะ
ว่ากันตามตรงการมาม็อบไม่ได้ปลุกอารมณ์เราเท่าการคุยโทรศัพท์กับแม่เมื่อวาน เราโมโหจัด เราโมโหตัวเองที่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง โมโหแม่ที่เป็นห่วงเราจนพยายามผลักหน้าที่การเรียกร้องความยุติธรรมไปให้คนอื่น โมโหใครก็ตามที่ทำให้แม่คิดว่าการชุมนุมนักศึกษาในมหาลัยมันอันตราย โมโหที่รู้ว่าสิ่งที่แม่กลัวมันมีโอกาสเกิดขึ้นจริง โมโหสิ่งที่ทำให้เกิดการออกมาชุมนุมเรียกร้องตั้งแต่แรก ในสายตาคนโตกว่า การกระทำของพวกเราในวันนี้มันก็คงดูไร้เดียงสามากจริง ๆ แต่ถามหน่อยเถอะว่าจะให้อย่างไรกันดี ส่วยหัวด้วยความเหนื่อยใจแล้วปิดไฟนอนเหรอ ถ้าไม่เรียกร้องเราจะได้สิ่งที่ต้องการกันไหม ใครจะใจดียื่นสิ่งที่เราต้องการให้ฟรี ๆ หากไม่ผ่านการต่อสู้
แต่ก็เอาเถอะ ปล่อยให้เขามองว่าเราโง่เขลา ดื้อตาใส ไม่เข้าใจโลก ให้เขาดูถูกความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของเรา แล้วสักวันเราจะทำให้เขาเห็นว่าความมุ่งมั่นอย่างไร้เดียงสานี้ทำอะไรได้มากแค่ไหน
"ฮัลโหล"
"หม่าม้าว่าไง"
"กินข้าวยัง"
"กินแล้วจ้า"
"เข้าหอแล้วใช่ไหม"
"ช่าย เพิ่งถึงเลย"
"ไปทำไรมาบ้างวันนี้"
"..."
"..."
"..."
"พรุ่งนี้กลับบ้านใช่ไหมลูก"
"ใช่แล้ว"
"โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ"
"ได้ ๆ เดี๋ยวเจอกัน"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in