ฉันคิดว่าเวลาในฝันเดินช้ากว่าเวลาในความเป็นจริงมาก
เพราะใช้เวลาวันละ10ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อยไปกับการหลับ ใช้ชีวิตในห้วงนิทราอืดอาด ไร้กลางคืนกลางวัน นับอายุตัวเองครั้งสุดท้ายตอน 24 ปี เรียนจบหมาดๆ ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงไม่ทันตั้งตัว
อาจเพราะไม่ตั้งตัว พอนับจริงๆ จังๆ ปีนี้ฉันก็จะอายุ 27 แล้ว (ไวชะมัด)
และพอนึกจริงๆ จังๆ ฉันจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับช่วงเวลา 3 ปีนั้นบ้าง
ราวหลับสนิท เจ้าหญิงนิทราที่ถูกคำสาปให้หลับใหลในปราสาทไร้แสงตะวัน จำศีลตัวเองไว้ แต่ไม่ตาย
แปลกดีที่ยังไม่ตาย กึ่งๆ จะยินร้ายมากกว่ายินดี
แม้ไม่เห็นความแตกต่าง แต่ชีวิตในวัยย่าง 27 ไม่มีอะไรเหมือนตอน 24 มันเปลี่ยนทีละน้อย น้อยนิดเสียจนเราจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
เวลาน่ะร้ายกาจ มันลักลอบหยิบฉวยบางสิ่งไปจากเราพร้อมๆ กับยัดเยียดบางอย่างให้เราโดยไม่ถาม
ร่างกาย ความคิด ความฝัน ความตระหนักรู้ตัวแลกมากับการถูกความจริงบนโลกโหดร้ายกลืนกินตัวตนจนแหว่งวิ่น ไม่อาจหยิบกลับมาล้างหรือรีไซเคิลใหม่ ต้องทิ้งเท่านั้น
ฉันไม่ทันนับว่าฉันทิ้งอะไรไปกี่อย่าง... อย่านับเลย จะหงุดหงิดเสียเปล่าๆ
ฉันมักรู้ตัวว่าตัวเองพลาดอะไรไปก็ตอนที่มันพลาดไปแล้ว เป็นแบบนี้เสมอแหละ
เพราะฉันชอบเวลาที่ได้นอนหลับสนิท (ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ) หรือต่อให้ติดอยู่ในวังวนฝัน เชื่อเถอะ ฝันร้ายที่สุดยังสวยงามกว่าความเป็นจริงหลายเท่า
ยิ่งตื่นมาพบว่าโลกช่างฟอนเฟะ ชีวิตช่างหมองเศร้าก็ยิ่งไม่อยากลืมตา
บางวันฉันรู้สึกว่าแสงตะวันที่ใช้นิยามความโรแมนติกมาทั้งชีวิตกลับน่าเกลียดน่ากล้ว พระอาทิตย์ขึ้นและตกเร่งร้อนลวกไหม้เหล่าตุ๊กตาไขลานที่กำลังหนีตาย
บางวันฉันจึงหลับใหลลืมตื่น
แต่ฉันไม่อยากนึกย้อนนึกโกรธความสะเพร่าปล่อยตัวเองเปลืองเวลาในชีวิตเปื่อยเปล่าอีกแล้ว ไม่อยากเป็นเจ้าหญิงนิทราที่จำศีลในปราสาทซึมเซาไปวันๆ
ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงนิทรา ฉันเป็นเฟมินิสต์ที่ไม่คิดหวังพึ่งเจ้าชาย
นาฬิกาปลุกดังแล้ว ได้เวลาตื่นเสียที
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in