เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LONE & THE RESTAURANTstpilu
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน การตายสำหรับผม เป็นเรื่องที่น่ายินดี
  • * trigger warning *
    suicidal thought / depression
    เนื้อหามีการชี้นำเกี่ยวกับความตาย ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าและเยาวชนควรหลีกเลี่ยงในการอ่านนิยายสั้นเรื่องนี้

    (ทำจิตใจให้สงบก่อนอ่านและโปรดใช้วิจารณญาณ)



    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ,



    1&Twelve ชื่อร้านอาหารยามค่ำคืนที่ฟังหรูหราดูดี สวนทางกับราคาในเมนูอาหาร และบรรยากาศภายในร้านโดยสิ้นเชิง



    “เอาเหมือนเดิมใช่ไหม”



    “เหมือนเดิมครับ”



    “โอเค เบียร์ 2 กระป๋องนะ”



    “ครับ”



    สถานที่เดิมกับเบียร์กระป๋องประเทศไทยที่ยังคงรสชาติห่วยแตกเหมือนเดิม ผมใช้ชีวิตวนลูปไม่รู้ว่ามานานเท่าไหร่แล้ว รู้แค่ว่าผมค่อยๆชินไปกับมัน และได้สังเกตอะไรหลายๆอย่างเพิ่มขึ้นทุกวัน



    ร้านอาหารขนาดเล็กในซอยแคบๆแห่งนี้ รวบรวมผู้คนที่กำลังหลงทางจากการหาคำตอบในข้อคำถามเดียวกัน ที่นี่ไม่มีใครสนใจชีวิตของใคร ต่างคนต่างล้วนจมอยู่กับเรื่องของตัวเองกันทั้งนั้น



    “พี่คะ ซื้อไหมคะ”



    เด็กผู้หญิงสองคนเดินมาหยุดที่โต๊ะ พร้อมกับหยิบนมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่งขึ้นจากในกล่องเพื่อที่จะขายมันให้กับผม



    “ไม่ครับ”



    ผมปฏิเสธไปเหมือนทุกครั้ง ผมไม่อยากสงสาร เพราะผมก็รู้ว่าชีวิตของตัวเองไม่ได้ดีไปกว่าเด็กพวกนั้นเลย



    “นะคะพี่ วันนี้พวกหนูยังขายได้ไม่กี่กล่องเอง”



    “…”



    ผมเมินคำพูดนั้นและหันกลับมามองกระป๋องเบียร์เปล่าในมือ จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ได้สนใจเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นเรื่อยๆแต่อย่างไร



    และเสียงมันก็คงจะดังมาก จนถึงขนาดทำให้เจ้าของร้านต้องเดินออกมาดู



    “ถ้าหนูยังงอแงอยู่ลุงจะไม่ให้มาขายแล้วนะ หยุดร้องได้แล้ว บรรยากาศในร้านเสียหมดแล้ว”



    นั่นไม่ได้ทำให้เด็กๆหยุดร้องไห้ กลับกันกลายเป็นร้องหนักมากขึ้นซะอย่างนั้น



    “เอาเถอะ ตามใจเลย ทำอะไรก็ทำ”



    เขาตัดพ้อก่อนจะนั่งลงตรงข้ามผม



    “ว่าไงโลน เออ ว่าจะทักหลายรอบละ แฟนที่เคยมานั่งด้วยเป็นประจำไปไหนซะละ ผมเห็นคุณมาคนเดียวตั้งหลายวันแล้ว”



    “ตายแล้วครับ”



    “…”



    ไม่แปลกที่เขาจะเงียบ เพราะคำตอบของผมก็ไม่ได้น่าฟังซักเท่าไหร่นัก



    “แล้วเธอ.. ใช่คำตอบนั้นของคุณรึป่าว”



    ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป และหันกลับมาดื่มเบียร์ต่อพร้อมกับสังเกตผู้คนภายในร้านอย่างที่เคยไปพรางๆ บรรยากาศแสนน่าเบื่อที่ใครๆอาจมองว่าชวนง่วงนอน แต่ผมกลับหลงใหลการได้รับชมเรื่องราวชีวิตของผู้อื่นเป็นอย่างมาก เสมือนได้ดูหนังหลากหลายประเภทในเวลาเดียวกัน



    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ,



    4 มกราคม



    เป็นเวลานานกว่า3เดือนที่บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างเงียบสงบจนเกินไป และยิ่งช่วงนี้แทบจะไม่ค่อยมีคนเข้าร้านแล้ว นั่นมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นกระบองเพชรที่กำลังขาดน้ำมากขึ้นไปอีก



    “อยากดื่มนมเปรี้ยว”



    ผมบอกความต้องการให้กับบุคคลที่ชื่อว่าหว่อง ผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้



    “ฮ่าๆๆ อะไรเนี่ย ทุกทีก็เห็นปฏิเสธตลอดนี่นา”



    “น้องหายไปไหน”



    “น่าจะกลับไปหาคำตอบของตัวเองมั้ง”



    “ผมถามอะไรคุณหน่อยสิ”



    “ว่ามา”



    “แล้วคุณมีคำตอบของตัวเองรึยัง”



    เขาเงียบไปพักใหญ่ วันนี้ภายในร้านมีเพียงแค่ผมกับเขา นั่นเลยทำให้ความอึดอัดมันก่อตัวขึ้นหลังจากที่เกิดเดดแอร์มานาน



    “คุณรู้ไหมว่าทำไมทุกคนถึงได้เข้ามาหาคำตอบของตัวเองที่นี่”



    ผมส่ายหน้า ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบคำถามที่ผมถามไปข้างต้น และผมก็ไม่รู้คำตอบที่เขากำลังถามผมด้วยเช่นกัน



    “เพราะที่นี่เป็นเหมือนกระจก ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อยู่ในจุดเดียวกัน และทุกคนกำลังหาคำตอบเช่นเดียวกัน”



    “คือคุณจะหมายความว่าอะไร ผมไม่เข้าใจอยู่ดี”



    “ผมหมายความว่า ตราบใดที่เราสองคนยังอยู่ในร้านอาหารแห่งนี้ ถ้าคุณไม่รู้ ผมก็ยังคงไม่รู้เช่นเดียวกัน”



    ในหัวผมมีคำถามเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย ผมไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เขาคนนี้พูดเลยสักครั้ง แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากพ่นคำถามที่กำลังสงสัย ก็มีเสียงเล็กๆที่คุ้นเคยดังโผล่ขึ้นจากทางด้านหลัง



    “สวัสดีค่ะคุณลุง”



    หว่องพยักหน้าเป็นการรับไหว้ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้จะกลับมา



    “พี่คะ ซื้อไหมคะ”



    เดจาวู คำถามชวนน่ารำคาญที่เคยเกิดขึ้นเป็นประจำก่อนหน้านี้มันกลับมาอีกครั้ง



    “…”



    แต่แปลกที่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรขาดหายไป



    “แล้วน้องผู้หญิงอีกคนล่ะ”



    “ตายแล้วค่ะ”



    เป็นเสี้ยววินาทีที่ผมได้เห็นกระจกผ่านสายตาที่ว่างเปล่าของเด็กคนนั้น ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกติดลบของชีวิตเหมือนกับแก้วที่ไม่มีน้ำอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จู่ๆวันนึงมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นผุยผงจนไม่เหลืออะไรให้แตกสลายอีกต่อไป



    ว่างเปล่า..


    มันว่างเปล่ามาก



    “เหมือนกันเลยเนอะ”



    ผมว่าผมเริ่มเข้าใจประโยคที่หว่องพึ่งพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว



    “เหมือน แต่ก็ไม่เหมือน”



    ผมตอบไปแบบนั้น เพราะข้างในใจลึกๆผมรู้ดีว่าน้องต่างจากผมโดยสิ้นเชิง



    “แสดงว่าเธอไม่ใช่คำตอบของหนูใช่ไหม”



    “ค่ะ”



    น้องตอบคำถามหว่องด้วยสีหน้าเรียบเฉย



    “แล้วรู้คำตอบของเธอไหม”



    “รู้”



    “ยินดีรึป่าว”



    “ตอนแรกก็ไม่ แต่ตอนนี้ยินดีแล้วค่ะ”



    ใบหน้าน้องค่อยๆคลี่ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่โล่งใจและยินดีให้กับการตัดสินใจของน้องเธอหลังจากที่น้องของเธอได้รู้คำตอบนั้นของตัวเองแล้ว



    การเลือกที่จะตายเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว 
    แต่การห้ามไม่ให้ผู้อื่นตายเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวยิ่งกว่า



    ผมแหงนหน้าขึ้นอ่านป้ายขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ข้างๆรายการเมนูอาหาร นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้เหมือนกัน รู้แค่ว่าผมอ่านมันทุกเมื่อที่ได้มาที่ร้าน อ่านจนมันติดอยู่ข้างในหัวผม อ่านซ้ำไปซ้ำมาโดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ กลับกันผมยิ่งชอบประโยคนี้มากขึ้นทุกวันๆ



    “โลน คุณรู้ไหมว่าชื่อร้านของผมมาจากอะไร”



    “หนึ่งและสิบสองหรอ ผมไม่รู้ มันมาจากอะไรละ”



    “ฮ่าๆๆ คุณคงจะอ่านว่า one and twelve สิท่า”



    “ก็มันอ่านอย่างนี้ไม่ใช่หรอ ผมงง”



    “ถ้าอ่านแบบปกติมันก็ใช่ แต่ระดับผมแล้วมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก มันอ่านว่า 1812”



    “ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ ฮ่าๆๆ ว่าแต่ทำไมต้อง 1812 ละ”



    “มันเป็นวันเกิดของน้องสาวผม”



    “แล้วทำไมจู่ๆคุณถึงเล่าให้ผมฟัง”



    ลางสังหรณ์มันบอกกับผมว่าหว่องได้รู้คำตอบนั้นของตัวเองแล้ว



    “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงอนุญาตให้เด็กๆขายนมเปรี้ยวได้ ทั้งๆที่ร้านอาหารแถวนี้ไม่มีร้านไหนยอมให้เด็กเข้าไปขายเลยซักร้าน”



    “…”



    “ไม่ใช่เพราะผมสงสารเด็กพวกนั้นนะ แต่ผมเห็นตัวผมเองในเด็กทั้งสองคนนั้น มันทั้งมืดแปดด้านและไม่มีทางออก อยากตายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีสิ่งที่ต้องคอยแบกและรับผิดชอบอยู่ข้างหลัง”



    และใช่ ลางสังหรณ์ของผมถูกจริงๆด้วย



    “แต่ตอนนี้คุณไม่มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบแล้ว ผมพูดถูกไหม”



    “อื้อ วันที่ 18 ธันวาคมนี้ ผมจะปิดร้านแล้วนะ”



    ผมเข้าใจคำว่าปิดร้านในความหมายของเขาโดยทันที มันเป็นการปิดร้านเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้หลุดจากวงจร การตายทั้งเป็น



    “ผมยินดีกับคุณด้วยนะ”



    “แล้วคุณละ คิดว่าจะปิดร้านของตัวเองได้เมื่อไหร่”



    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”


    นั่นสิ
    คำตอบ ในการมีชีวิตอยู่ ของผม
    มันคืออะไรกันแน่นะ



    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ,



    18 ธันวาคม



    นั่นเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้คุยกับหว่อง และเป็นวันที่พวกผมคุยกันนานที่สุดเท่าที่เคยคุยกันมา



    ผมรู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น ผมเคารพการตัดสินใจของคุณหว่อง และหากวันปิดร้านของผมมาถึงเมื่อไหร่ ผมก็หวังว่าจะมีคนที่คอยยินดีและเคารพให้กับการตัดสินใจของผมด้วยเช่นกัน



    สำหรับผม



    การตายที่สามารถเลือกและกำหนดได้เอง 
    มันเป็นการตายที่ช่างน่ายินดี



    ผมเดินทางชีวิตแบบที่ไม่รู้คำตอบต่อไป ด้วยการหาร้านอาหารประจำร้านใหม่ที่จะสามารถนั่งดื่มเบียร์และสังเกตผู้คนไปพรางๆได้เหมือนอย่างที่เคยทำ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
pozonyah239 (@pozonyah239)
ชอบการสื่อนำเสนออารมณ์ บรรยากาศ ภายในเรื่องมากๆครับ ได้รับรู้มุมมองการมีชีวิตและทำให้นำกลับไปคิดตีความต่อ หลังอ่านจบได้ดีมากๆ
mayxtwo (@mayxtwo)
เป็นการแต่งที่เจ๋งมากเลยครับ มู้ดเรื่องดีมากมีการตีความหลาย ๆ อย่างภายในเรื่องที่น่าสนใจมากเลยครับ ภาษาเรียบเรียงดีอ่านง่ายสบายตาเป็นกำลังใจให้นะครับ
P'm (@fb5168376186543)
เราชอบมากค่ะ ทำให้มองมุมมองอีกแง่มุมหนึ่งที่ขัดต่อหลักความเชื่อ และศาสนา ผ่านตัวละคร ซึ่งการยอมรับการตัดสินใจจบชีวิตเป็นเหมือนเรื่องยากสำหรับคนรอบข้าง แต่สุดท้ายแล้ว เรามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเราเองหรือคนอื่น นั้นแหละคือคำตอบ
เป็นกำลังใจให้นะคะ