เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
FIC: STRANGEIRONhoramiji
[SF] Possibility X/14,000,605
  • Title: Possibility X/14,000,605
    Fandom: Marvel's The Avengers
    Event: Infinity War
    Pairing: Stephen Strange x Tony Stark
    Warning: เปิดเผยเนื้อหาใน Avengers: Infinity War ต้องดูหนังก่อนอ่านน้า <3
    Continuity: นี่เป็นภาคต่อของ [OS] Possibility จ้ะ

    .
    .

    "หวังว่าพวกเขาจะจดจำเจ้า..."

    ชายจนตรอกในซากเกราะนั่งตัวสั่นหวั่นหวาด
    ลมหายใจติดขัด กลิ่นเลือดข้นคาวคละคลุ้ง

    นัยน์เนตรคู่สวยสาดแสงแห่งความรวดร้าว
    อัญมณีทั้งสี่สะท้อนสีสันบาดตากลับมา

    เจิดจ้า...ย้อมโลกตรงหน้าจนโพลนขาว

    นี่ใช่ไหม วาระสุดท้ายของเขา
    ของโทนี่ สตาร์ค

    ตาย...

    ในหน้าที่ปกป้องจักรวาล อันล้มเหลว
    บนซากปรักหักพัง ณ ดวงดาวซอมซ่อ
    อย่างโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งผู้ใดเหลียวแล

    หรือ...ช่วยเหลือ

    เขาเอี้ยวตัวครั้งสุดท้าย
    จนได้เห็นจอมเวทย์ผุดลุกขึ้นนั่ง

    นั่งเฉย...มองเขา
    ไม่มีทางเลือก

    'ถ้าถึงคราวต้องเลือกระหว่างคุณหรือเด็กนั่น กับมณี ผมจะปกป้องมณี'
    '...'
    'ผมไม่ลังเลแน่ที่จะปล่อยพวกคุณตาย
    ทำไม่ได้ ชะตาของจักรวาลขึ้นกับมณี'


    เป็นคนรักษาคำพูดจนน่าตี
    แต่ก็ดีแล้ว... ดีแล้ว

    ชะตาของจักรวาลขึ้นอยู่กับมณีนั่น
    ซึ่งอยู่ในมือของคนที่ไว้ใจได้

    หน้าที่ของเขาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้

    และ...มันไม่เจ็บด้วยซ้ำ
    ไม่ทันได้เจ็บ

    คล้ายแสงสีขาวนั่นเพียงลามเลียเรือนร่างของเขา แค่คืบคลานเข้ากลืนกินและพาเขาล่องลอยสลายไป กลายเป็นละอองอนุภาคที่มองไม่เห็น หายไปจากมิติแห่งความรับรู้ หายไปจากจักรวาล หายไปอยู่ในมิติหนึ่งเดียวที่ยังถนอมเขาไว้ให้เหมือนมีตัวตนอยู่ได้...

    'ความทรงจำ'

    .
    .

    และความทรงจำนั้นหลอกหลอนสตีเว่นทุกขณะจิต

    ไม่มีคืนไหนจะนอนหลับได้สนิท หรือไม่สะดุ้งตื่นกลางดึกด้วยภาพฉากสุดท้ายของชีวิตโทนี่ สตาร์ค ตอนนั้นมันสมเหตุสมผลทุกอย่าง เป็นย่างก้าวที่เขาคิดคำนวณด้วยตรรกะพื้นฐานแล้วอย่างดี อย่างไรมณีแห่งเวลาก็เป็นหน้าที่สูงสุดของเขา ชีวิตคนคนเดียวแลกกับโอกาสช่วยคนครึ่งจักรวาล คิดกี่ตลบก็ไม่มีทางเลือกอื่นจะเหมาะสม

    แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
    ไม่มีอะไรคุ้มค่ากับชีวิตที่เขาปล่อยให้ตาย

    ธานอสได้มณีแห่งจิตใจไปก่อน
    และวกกลับมาตามล่าเขา

    "อึก..."

    ร่างจอมเวทย์ในกำมือธานอสหายใจกระตุก
    สิ้นลม ถูกปล่อยให้ร่วงโรยตามแรงโน้มถ่วง

    ...หล่นลงเป็นยอดพีระมิดของซากอุ่นๆ ที่ทับถมกันจนสูงเป็นพะเนินของเหล่าผู้ปกป้องโลกกลุ่มสุดท้าย ดวงตาของหว่องยังเปิดค้างคล้ายคนเหม่อมองท้องฟ้า หากในแววตากลับสิ้นไร้ซึ่งประกายชีวิต 

    ถัดลงมาจากหว่องเป็นร่างของสตีฟ โรเจอร์ส โล่แตก...เลือดกลบปาก นาตาชา โรมานอฟคอหักและตาค้างไม่ต่างจากหว่อง บรูซ แบนเนอร์...คลินท์ บาร์ตัน... และอีกหลายร่างใต้นั้นไม่อาจบ่งบอกได้ว่าเป็นใคร หรือเคย...เป็นใคร

    มือยักษ์สีม่วงประทับลงบนศีรษะเขา
    ลูบไปมาเบาๆ ราวกับจะปลอบโยน

    "ชู่ว... ถ้าเจ้าให้มณีข้าตั้งแต่ตอนนั้น ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้..."

    สตีเว่น สเตรนจ์ก็อดคิดไม่ได้เช่นกัน

    เขายอมสละชีวิตโทนี่ เพื่อให้ทุกคนมาตายเพิ่มอย่างนั้นหรือ? การตายของชายคนนั้นช่างสูญเปล่าสิ้นดี และคนทำให้มันสูญเปล่าก็คือเขา เลือกเดินหมากผิดก้าวเดียวก็ล้มทั้งกระดาน แม้ยังเหลือตาให้เดินอีกหลายก้าว แต่มันก็กลายเป็นเกมที่เขาไม่อาจเอาชนะไปแล้ว

    ปราการด่านสุดท้ายเพิ่งพังทลายลงตรงหน้า
    ปราการมนุษย์ผู้สละชีวิตตัวเองคนแล้วคนเล่า

    "ส่งมณีมาซะ อย่าให้ข้าต้องบังคับเอาจากศพของเจ้าเลย..."

    มือเรียวยาวจำใจยื่นออกมา

    'นายมันห่วย สเตรนจ์'

    จำใจสลายมิติกระจกที่กักมณีสีมรกตทิ้งไป

    'เป็นพ่อมดประสาอะไร'

    เจ้าตัวปรากฏกายขึ้นหลังเสียงกระซิบแว่วดังในโสตประสาท โทนี่ —ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพียงจินตนาการของเขา— นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ ทำหน้ายียวนกวนประสาท จ้อไม่หยุด

    "จะยื้อไว้ทำไม นายคนเดียวทำอะไรไม่ได้แล้ว สตีเว่น ให้ตายสิ ปล่อยมือซะ ปล่อยมณีไป นายทำดีที่สุดแล้ว — แน่ละมันไม่ดีพอหรอก — แต่อย่างนายก็ทำได้แค่นี้แหละ ที่เหลือปล่อยมันไปเถอะ นายแพ้แล้ว เราแพ้แล้ว"

    ธานอสไม่เร่งรัด
    รู้ว่ายังไงก็ต้องได้มัน

    มือเล็กยื่นมาแตะมือเรียวเบาๆ 

    "ไม่เป็นไร เฮ้...ไม่เป็นไรน่า"

    น้ำเสียงนั้นอ่อนลง คล้ายคนพูดยิ้มอยู่น้อยๆ

    "นายไม่ต้องเหนื่อยแล้วไง ไม่ต้องแบกโลกทั้งใบอีกแล้ว มีคนแบกง่อยๆ แบบนายโลกคงเบื่อแย่แล้วละ พอเถอะ..."

    โทนี่ยิ้มยียวน ตบบ่าผู้ปกป้องคนสุดท้าย
    สตีเว่นถอนหายใจ ยอมปล่อยมณีในที่สุด

    มรกตเม็ดงามลอยคว้างเข้าสู่มือใหญ่ยักษ์
    ชะตาของทั้งจักรวาลกำลังจะพลิกผัน

    แต่สิ่งเดียวที่เขาอยากทำในตอนนี้...

    "ผมขอโทษ..."

    คือพูดคำนั้น โดยที่คนฟังยังสามารถได้ยิน
    ขอโทษที่ตอนนั้นใจร้าย ไม่ยอมช่วยคุณ

    ภาพหลอนโทนี่ไม่พูดอะไร

    เพียงพยักหน้าน้อยๆ 
    เกยคางไว้บนเข่า

    พยักเพยิดไปยังท่อนขาทั้งสองของเขาที่หัก

    "...จะไม่เป็นไรใช่ไหม?"

    สตีเว่นมองตาม มอง...สาเหตุที่ตนหนีไปไหนไม่ได้อีก และยักไหล่

    โครม!!!

    ลำแสงสีรุ้งดั่งอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงกลางเมือง ความหวังสุดท้ายเดินอาดๆ เข้าหาร่างสีม่วงผู้สวมถุงมือเหล็กอันเพียบพร้อมไปด้วยมณีทั้งหก แต่ไม่ว่าธอร์จะหยุดธานอสได้ก่อน หรือธานอสจะดีดนิ้วกวาดล้างประชากรครึ่งจักรวาลได้ก่อน ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

    แม้หลังจากนี้เขายังมีชีวิตอยู่
    ก็ไม่มีอะไรจะลบเลือนความเจ็บปวดนี้ได้

    ความรู้สึกผิดที่แผดเผาหัวใจดวงนี้

    "ผม...เสียใจ" สตีเว่นกระซิบ

    ทันทีที่เอื้อมมือเรียวยาวออกไป
    คนในจินตนาการก็เลือนรางจางหาย

    ไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
    กำหมัดแน่น ข้อนิ้วโพลนขาว สั่นเทา

    ทุกอย่างเป็นความผิดเขา
    ทุกอย่าง...โดยเฉพาะโทนี่

    ผมเสียใจจริงๆ


    ___________________________________________

    "เดี๋ยวก่อน"

    มือยักษ์กำลังง้างหมัดสังหารชะงักงัน
    ร่างสูงตระหง่านผิวกายสีม่วงมองหาต้นเสียง

    เจ้าพ่อมด

    "ไว้ชีวิตเขา..."

    สุ้มเสียงทุ้มต่ำเจรจาต่อรอง
    จำยอม ร้องขอ "...แล้วฉันจะให้มณี"

    ธานอสเปลี่ยนสีหน้า "อย่าลูกไม้ล่ะ"

    สตีเว่นส่ายหน้าช้าเชื่อง จนใจ จนปัญญา
    โทนี่คอพับคออ่อน มองเขา "อย่า..."

    ไหนว่าจะเลือกมณีเหนือเขา ไม่ว่าเกิดอะไร
    ตกลงกันแล้ว ทำไมมากลับคำแบบนี้...?

    ไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบความเห็นของอีกฝ่าย
    ไม่มีเสียงทุ้มลึกเปล่งวาจาอธิบายใดๆ

    เพียงดวงตาข้างหนึ่งเท่านั้น...ขยิบ

    โทนี่เอนหลังพิงซากปรักหักพังอย่างเหนื่อยอ่อน มือเปรอะเลือดยกขึ้นลูบหน้า กุมค้างไว้แบบนั้น คล้ายคนปลงตกกับโชคชะตา ทว่าความจริงเขาแค่กำลังปกปิดใบหน้าเปื้อนยิ้มกลายๆ ที่เริ่มหุบไม่ไหวเท่านั้น

    ไอ้พ่อมดจอมเจ้าเล่ห์เอ๊ย!

    มรกตเม็ดงามลอยข้ามหัวชายในซากเกราะไปถึงมือใหญ่ยักษ์ที่จ้องจะตะครุบ นิ้วหยาบกร้านด้านหนาสีหม่นแตะดูเพียงแวบเดียวเท่านั้นก็สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าของขุมพลังด้านใน

    ธานอสตวัดนัยน์ตาดุดันมองสตีเว่น
    เจ้าตัวทำหน้าตกใจ "เดี๋ยว! สงสัยจะหยิบผิด"

    ไหล่โทนี่เริ่มสั่น ข้างหนึ่ง...ตามด้วยอีกข้าง
    อาการสั่นเทาลุกลามไปทั่วร่างอันบอบช้ำ

    มณีอีกเม็ดพุ่งเข้าใส่ธานอส
    ทิ้งเก่า คว้าใหม่ แต่ก็ยังไม่ใช่

    อีกเม็ด อีกเม็ด และอีกเม็ด

    ไอ้มันม่วงอวกาศเริ่มคำรามในลำคอ

    "นายกำลังฆ่าฉัน สเตรนจ์!"

    โทนี่ทนไม่ไหว ระเบิดหัวเราะจนเจ็บแผล
    ยกมือกุมชายโครงไว้แทบไม่ทัน

    เจ้าของมนตร์ลวงตาพรายยิ้มมุมปาก

    วาดมือเรียวยาวในอากาศ
    หว่านมณีนับร้อยลอยวนทั่วตัวศัตรู

    "อยากได้เม็ดไหนเลือกเอา"

    ผ้าคลุมสีชาดโบกสะบัดพาร่างสูงโปร่งลอยตัวขึ้นอีกครั้ง เจ้าวัตถุวิเศษเคลื่อนไหวอย่างเร็วสุดแล้วในชีวิต — หรือการมีอยู่ หรือตั้งแต่มันถูกถักทอขึ้นมา — แต่ก็ยังไม่ไวกว่าธานอสที่ปัดเศษภาพลวงตาสีเขียวนับไม่ถ้วนเหล่านั้นทิ้งไปด้วยการกำมือเพียงครั้ง 

    และอีกครั้ง...เพื่อให้มณีสีอะเมทิสต์สาดแสง
    พุ่งตรงเข้าใส่มนุษย์ในซากชุดเกราะพังๆ

    "ไม่!"

    ลำแสงสีม่วงส่องสว่างสาดวาบทะลุร่างเล็ก

    ไม่ทัน...

    เสียงกรีดร้องของโทนี่ดังจริงๆ เพียงห้วนสั้น
    หากยังสะท้อนก้องอยู่นานกว่านั้นในหัวเขา

    ผ้าคลุมหย่อนร่างผู้สวมใส่ลงกับพื้น
    นุ่มนวล แผ่วเบา ราวจะปลอบโยน

    แต่ความรู้สึกของสตีเว่นถูกบดขยี้ไปแล้ว
    ป่นเป็นผุยผง ไม่ต่างจากเศษธุลีที่เคยเป็นโทนี่

    "บอกแล้วไง...อย่า - ลูก - ไม้"

    เสียงแหบห้าวเตือนความจำจอมเวทย์หนุ่ม
    ผู้ได้ยินประโยคนั้นเพียงผะแผ่วแว่วเบา

    ด้วยสมาธิเริ่มไม่อยู่กับเนื้อตัว

    หมับ!

    ถุงมือเหล็กพุ่งเข้าคว้าศีรษะของสเตรนจ์
    บีบแรง จนมันรวดร้าว ราวกำลังจะแตก

    แสงสีม่วงเปล่งรัศมีจากหลังมือนั้นอีกครั้ง

    "ส่งมณีให้ข้า..."

    และเขาทานแรงของวัตถุทรงพลังนั้นไม่อยู่
    สลายมิติกระจก ส่งมณีในความคุ้มกันให้

    ปิ้ว!

    กระสุนสตาร์ลอร์ดพลาดธานอสไปเสี้ยวจิต
    มันเดินทางข้ามประตูมิติหายไป

    ไว้ชีวิตเขา จมเขาไว้ในความพ่ายแพ้ ท่อนขาเรียวยาวไร้เรี่ยวแรงฉุดทั้งร่างทรุดลงตรงข้างรอยไหม้...บริเวณที่โทนี่เคยนั่งอยู่

    "นี่เราเพิ่งแพ้งั้นเหรอ!?"
    "..."

    สตีเว่นไม่ได้ตอบ
    แทบไม่ได้ยินคำถาม

    เขาไม่ควรเอาชีวิตโทนี่มาเสี่ยงให้สูญเปล่า
    เขาควรจะฟังคำเตือนของมันแต่แรก

    "เฮ้! คนอื่นล่ะ? ไอ้เกราะเหล็กล่ะ? นายเห็..."

    ไม่ว่าสตาร์ลอร์ดพล่ามอะไรต่อจากนั้น เขาไม่ได้ฟัง เสียงเดียวที่ยังก้องชัดในโสตสัมผัสคือมุกตลกสุดท้ายของคนเพิ่งระเบิดหัวเราะไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

    'นายกำลังฆ่าฉัน สเตรนจ์'

    รู้อะไรไหม โทนี่? 
    นั่นน่ะ...

    ไม่ตลกที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยได้ยินมาเลย


    ___________________________________________

    "เดี๋ยวก่อน"

    มือยักษ์กำลังง้างหมัดสังหารชะงักงัน
    ร่างสูงตระหง่านผิวกายสีม่วงมองหาต้นเสียง

    เจ้าพ่อมด

    "ไว้ชีวิตเขา..."

    สุ้มเสียงทุ้มต่ำเจรจาต่อรอง
    จำยอม ร้องขอ "...แล้วฉันจะให้มณี"

    ธานอสเปลี่ยนสีหน้า "อย่าลูกไม้ล่ะ"

    สตีเว่นส่ายหน้าช้าเชื่อง จนใจ จนปัญญา
    โทนี่คอพับคออ่อน มองเขา "อย่า..."

    ใครกันที่บอกว่ายังไงก็จะเลือกมณี
    คนปากเก่ง เก่งแต่ปากหรือไง ให้ตายสิ!

    สตีเว่น สเตรนจ์หลบตาเขา ทอดถอนใจ
    มือเรียวยกสูง คลายออก เรียกมณีให้ปรากฏ

    ดวงแก้วมรกตลอยละล่องระเรื่อยเอื่อย

    นัยน์ตาคู่สวยได้แต่ฉายแววเจ็บปวดขณะมองตาม ไม่เข้าใจความคิดพ่อมดผู้สาบานจะปกป้องมณีแห่งเวลาเลยสักนิด ทว่าเสี้ยววินาทีที่เกือบถอนสายตาเพราะทำใจแล้ว มณีกลับเร่งความเร็วขึ้น พุ่งเลยผ่านศรีษะโล้นเลี่ยนอุดมรอยบากสีม่วงนั่นไป

    มันสบถ ทะยานตัวตาม

    รู้ตัวอีกที วงแหวนสีเปลวไฟก็วาบขึ้นตรงหน้า
    สเตรนจ์ถามเสียงร้อนรน "ลุกไหวไหม"

    ผงกศีรษะ พยุงร่างตนผ่านเข้าประตู
    ทรุดร่างลงทันควันในก้าวต่อมา

    ประตูมิติปิดลงรวดเร็ว เขากระเสือกกระสนดิ้นรนพลิกร่างหงายขึ้น ยกมือฉีดอนุภาคนาโนอัดเข้าปิดปากแผล ห้ามเลือด เผยอปากหอบหายใจราวเพิ่งวิ่งกลับจากนรกขุมสุดท้าย โลหิตหยุดหลั่ง อาการเหมือนจะทรงตัว กวาดตามองโดยรอบพบว่าตนอยู่ในยานอวกาศขนาดเล็ก มีที่นั่งสำหรับคนแค่หนึ่งหรือสอง

    คงไม่ใช่ของพวกสตาร์ลอร์ด
    อาจเป็นของสาวผิวฟ้านั่น

    "คุณขับไอ้นี่ได้หรือเปล่า"

    สตีเว่น สเตรนจ์ปรากฏตัวขึ้นให้หลังไม่กี่วินาที สอดแขนยาวเข้าประคองร่างเล็กขึ้นนั่งบนเบาะนักบิน เจ้าตัวกัดฟันคำรามด้วยความเจ็บ พยายามเค้นเสียงตอบ

    "ไม่น่าถาม"
    "แปลว่าเป็น?"
    "เป็นก็บ้าแล้ว หน้าฉันเหมือนอะไร เอเลี่ยนตัวฟ้าหรือไง"

    บ่นพึมพำเสียงแกว่ง แต่ก็เริ่มกวาดสายตาศึกษาสำรวจแผงควบคุมตรงหน้าอย่างว่องไว กดนั่น ปรับนี่ โยกสวิตช์ตรงนั้นตรงนี้ กระทั่งเครื่องยนต์คำรามครืนผะแผ่ว และยานเริ่มลอยขึ้น

    "พวกนั้นล่ะ?"
    "มณีไม่อยู่กับพวกเขา มันไม่ฆ่าใครหรอก"

    สีหน้าโทนี่ดูเบาใจไปเปลาะหนึ่ง
    อีโม ไม่เอาอ่าว แต่คงฝากพีทไว้ได้ชั่วคราว

    "บอกไว้ก่อนนะว่าอ่านภาษาต่างดาวไม่ออก จะไปโผล่ดาวไหนก็ไม่รู้..."
    สตีเว่นยักไหล่ "แค่ไกลพอก็ใช้ได้"

    ไกล...พอจะซ่อนมณีได้อีกสักพัก

    "ทำไมต้องฉัน สเตรนจ์ นายคิดสั้น หรือคิดไม่ทัน หรือฉันมันอยู่ใกล้เลยคว้าติดมือมา"

    ทำไมไม่เลือกคนอื่น
    พวกต่างดาวที่ขับยานได้ง่ายๆ?

    สตีเว่นไม่ได้ตอบในทันที ไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งที่ว่าง กลับคุกเข่าลงตรงข้างตัวเขา สำรวจบาดแผลด้วยนัยน์ตาคมคายคู่นั้น ก่อนคลื่นเสียงนวลนุ่มจะค่อยๆ ลอยมาปะทะกระดูกค้อน ทั่ง โกลนในหูเขา

    "คุณเพิ่งพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นภัยกับมันได้จริงๆ โทนี่ ป่านนี้มันกาหัวคุณแล้ว..."

    เกือบลืมไปเลยว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างในชุดเกราะของเขาถล่มมันยับจนโหนกแก้มไอติมเผือกนั่นตกเลือดหยดหนึ่ง —ตั้งหนึ่งหยด

    แต่นั่นไม่ได้ตอบคำถามเขาตรงๆ อยู่ดี

    ถึงเป็นงั้นจริง นายจะแคร์ทำไม?
    เราไม่ทันรู้จักกันดีด้วยซ้ำ

    พ่อมดหนุ่มเสื้อคลุมแดงเริ่มร่ายเวทย์รักษาแผลให้ บ่นงึมงำว่าเขาปฐมพยาบาลไม่เรียบร้อย

    "คุณปิดแผลไม่สนิทสมบูรณ์ และช้าเอาการ ไม่รู้ว่าฝุ่นละอองบนดาวนั่นมีเชื้อโรคอะไรร้ายแรงบ้าง..."
    "ขออภัยแล้วกัน มัวแต่นั่งตกใจที่นายยกมณีให้มัน แล้วก็ตั้งตัวไม่ทันต้องรีบโดดเข้าประตูโดราเอมอนทั้งเดี้ยงๆ จนเลือดไหลออกไปพร้อมสติที่จะใช้ปิดแผลให้เนี้ยบเท่าแพทย์มืออาชีพ"

    สตีเว่นเหลือบมองคนมีแรงจ้อ แม้จะบาดเจ็บ
    กลืนยิ้มลงคอ กระแอม "มณีจริงยังอยู่ที่ผม"
    "พวกพ่อมด" โทนี่หัวเราะหึ "ถามหน่อย เคยดวลกับคนที่คุณก็รู้ว่าใครหรือเปล่า"
    "สมัยเรียนนับไหม รู้จักตอนยังชื่อทอม"
    "ตอนนั้นนายชนะใช่ไหม มันถึงขี่โดนัทยักษ์ลงตามมาล้างแค้นนายถึงบนโลก"

    แผลของโทนี่ปิดสนิทด้วยเวทย์มนตร์ —อย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยนึกฝัน— และทำให้เขาหัวเราะน้อยๆ ได้โดยไม่เจ็บ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแอบหลุดยิ้มให้กับมุกของเขาแวบหนึ่ง

    หมอเวทย์นั่งพื้นต่อไปอย่างนั้น "ยังต้องระวังอาการติดเชื้ออยู่นะ หาดาวลงได้หรือยัง"

    โทนี่ทุ่มสมาธิให้การโมเมเอาว่ายานของเอเลี่ยนต้องมีเทคโนโลยีโดดข้ามดาวด้วยความเร็วเหนือแสงเหมือนในหนัง —ท่าทางพาร์คเกอร์จะเผยแพร่วิธีคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้มาให้เขาไม่รู้ตัว— และไม่นานเขาก็สุ่มกดจนเจอ ใช้ไปหลายครั้ง เท่าที่คิดว่ายานและพวกเขาจะทนรับไหว ไม่แหลกสลายไปเสียก่อน

    "สตีวี่..."
    "ขอที...อย่าเรียกแบบนั้น"
    โทนี่ไม่สนใจประเด็นที่ว่า "นายต้อง...เป็นคน...เอายานลงแล้วละ"

    แต่ละพยางค์พ่นออกมายากเย็นนัก

    "เป็นอะไรไป โทนี่ ตอบผม..."

    สเตรนจ์แตะแก้มคนที่จู่ๆ ก็คอพับคออ่อนเกือบทิ่มหัวลงกับแผงควบคุมยาน ประคองใบหน้าซึ่งซีดเผือดลงในชั่วพริบตาขึ้น ตบเบาๆ ให้รู้สึกตัว

    "โทนี่?"

    เสียงทุ้มเรียกซ้ำๆ
    แต่เขาได้ยินแค่ครั้งแรก

    ก่อนโลกทั้งใบจะวูบดับลง
    มืดมนดุจผืนอวกาศด้านนอก

    "โทนี่..."


    .
    .

    จำไม่ได้ว่ายานลงยังไง

    หรือมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่พอจำได้ว่ารู้สึกตัวก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง ดูท่าพ่อหมอเวทย์จะมีความรู้ทางการแพทย์แผนมนุษย์ทั่วไปในขั้นสูงทีเดียว เพราะภาพที่ม่านสติอันเลือนรางของเขาตื่นมาเห็นคืออีกฝ่ายกำลังผ่าตัดแผลซึ่งร่ายคาถาปิดไปแล้วนั่นให้เปิดออกใหม่ ทำความสะอาดหรือ? เขาติดเชื้อจากดาวเกิดไอติมเผือกมาจริงด้วยสินะ?

    ฟังดูแย่ที่ตื่นมารับความเจ็บปวดจากมีดหมอ
    แต่ครั้งนี้แย่กว่า เขาฟื้นขึ้นมาไม่เจอใคร

    "..."

    ...ในห้องสภาพซอมซ่อขนาดเล็กกว่าอ่างอาบน้ำที่บ้าน มีเตียงเดียวซึ่งรองรับขนาดตัวของเขาได้พอดีเป๊ะไม่ขาดไม่เกินสักมิลลิเมตร โต๊ะโคมไฟข้างเตียง เก้าอี้ตัวหนึ่ง พื้นที่ว่างพอให้หมาคอร์กี้เดินสะบัดตูดเล่น และ...หมดแค่นั้น

    โทนี่ไอโขลก มือไม้ชืดเย็น
    เผลอขยับเคลื่อนไหวไม่ระวัง

    ตุบ!

    ลืมไป เตียงมันพอดีตัวยิ่งกว่าชุดเกราะนาโน!

    ลั่นคำสบถสาบาน จนได้รู้ว่าลำคอตนผ่าวแห้งแทบเป็นผุยผง ตะเกียกตะกายเป็นแมลงสาบพยายามพลิกตัวอยู่พักใหญ่ ใครบางคนก็เปิดประตูเข้ามา รีบประคองเขาขึ้นจากพื้น

    "ไม่ต้องสละเตียงให้ผมก็ได้ ซึ้งน้ำใจจริงๆ..."

    โทนี่เบ้ปากใส่เจ้าของอ้อมแขนที่ช้อนตัวเขาแนบอก และบรรจงวางลงบนฟูกอีกครั้ง เพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายท่อนบนไม่มีเสื้อสวมใส่ก็ตอนมือไม้อุ่นๆ ของสตีเว่นแตะเนื้อเพื่อประคอง อีกฝ่ายคงตัดมันออกไปตั้งแต่ตอนจัดการแผลให้

    "ฉันหนาว...นี่มันปกติหรือเปล่า"

    สตีเว่นขมวดคิ้วใส่ "ข้างนอก 98.6 องศา ได้" ดึงเก้าอี้มานั่ง "เกรงว่าไข้คุณยังไม่ลดน่ะสิ"

    หลังมือเรียวสวยทาบลงกลางหน้าผาก
    โทนี่เหลือบมองเจ้าของมือเล็กน้อย

    มือเบาจัง

    "แย่..." เป็นดังคาด "ผมยังหายาให้คุณไม่ได้"
    "แถมที่นี่ก็เหม็นเป็นบ้า"
    "ต้องโทษที่คุณทิ้งยานให้โหม่งลงดาวสลัม"
    "อย่างน้อยหาอะไรให้ใส่กันหนาวได้ไหม"
    "เอเลี่ยนที่นี่ไม่ได้ใส่อะไรเหมือนเรา"
    โทนี่กลอกตา "งั้นเสื้อฉันล่ะ อย่าบอกว่าทิ้ง"
    "ผมเอาไปหลอกขาย ได้เงินค่าห้องรูหนูนี่มา"

    สตีเว่นกล่าว มือเรียวเหวี่ยงปกผ้าคลุมออกจากคอ ผืนความพลิ้วไหวสีแดงลอยคว้างเป็นอิสระ เรื่อยห่างออกจากเตียง เหมือนรู้ว่าจะถูกสั่งให้ทำอะไร

    เจ้าของเพยิดคางบุ้ยใบ้ไปทางคนเป็นไข้
    เจ้าผ้าคลุมวิเศษส่ายดุ๊กดิ๊ก ถอยกรูดติดผนัง

    สเตรนจ์กระแอม บอกเสียงขรึม "ช่วยหน่อย"
    ผ้าคลุมลู่ลงไปกองกับพื้น ปกสองข้างสลด

    "อย่ามาดราม่า" เจ้านายเริ่มดุ
    โทนี่กลอกตา "นายเอาเสื้อที่ใส่อยู่มาให้ฉัน แล้วสวมหมอนั่นแทนแล้วกัน..."

    ฟังแบบนั้น น้องผ้าคลุมพุ่งเข้ารัดร่างเขาทันที

    "แน่นไปแล้...ว"
    "ทำตัวดีๆ หน่อย" เสียงทุ้มปรามนุ่มนวล

    เจ้าผ้าคลุมจึงคลายแรงลง คงสภาพเพียงผ้าห่มอุ่นๆ ผืนหนึ่งคลุมร่างโทนี่เอาไว้พอดีตัว หมายถึง...ปิดได้ตั้งแต่เท้าจรดหัวจริงๆ

    "ยังไม่ตาย...ขอบใจ"

    มันยอมเคลื่อนปกลงมากองอยู่ใต้คางคนป่วย และนิ่งไปกลายเป็นเหมือนผ้าธรรมดาในที่สุด

    "เลี้ยงยากเนอะ"
    "เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยง โทนี่"
    "ก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น" หลับตาลงอีกครั้ง "แล้วยังไง คิดจะหลบอยู่ที่นี่ หรือไปไหนต่อ"
    "สำคัญตอนนี้ คุณต้องรีบหายซะก่อน แล้วค่อยหาทางกลับโลก"
    "จูงไอ้บ้านั่นกลับไปถล่มบ้านอีก? จะบ้ารึไง"
    "เรื่องนั้นไว้ถกกันทีหลัง คุณต้องพักผ่อน" สตีเว่นใช้น้ำเสียงนุ่มนวล ชวนคนฟังให้โอนอ่อน

    เขาลากเก้าอี้กลับไปนั่งถัดจากโต๊ะโคมไฟ

    "ผมอยู่นี่ มีอะไรก็เรียก"
    "จะนั่งหลับแบบนั้นจริงดิ"

    ท่าจะจริง...นั่งนิ่งเหมือนคนทำสมาธิ

    "สรุปว่านายเคยเป็นหมอ?"
    "อืม"
    "แล้วมาเป็นพ่อมดได้ไง อะไรดลใจ"
    "โทนี่..." เสียงนั้นเข้มขึ้น
    "คือยังไง จริงๆ คุณแอบชื่นชมผมมานานแล้วใช่ไหม ไอติมรสของผมก็เคยกินนี่นะ"
    ถอนหายใจ ลืมตามอง "นอนได้แล้ว"
    "ฉันเบื่อนี่"
    "เปล่า คุณไม่ได้เบื่อ" อดีตนายแพทย์สวน
    "ฉั—"
    "คุณแค่ดื้อ" 

    คนป่วยล่อกแล่ก
    เถียงไม่ได้ด้วยสิ

    สเตรนจ์ปิดเปลือกตาลงตามเดิม "แก่แล้วดื้อไม่น่ารักหรอก เชื่อเถอะ"
    "ก็นายบอก อยากได้อะไรให้เรียก"
    "แล้วจะเอาอะไร"
    "ขยับมาใกล้ๆ ได้ไหม เจ็บคอ ไม่มีเสียง" 
    "คุณจะพบว่าอาการเจ็บคอหายไปอย่างน่าประหลาดแค่คุณไม่พูด โทนี่"

    แต่คนพูดมากก็ยัง...

    "ประตูโดราเอมอนของนายพาเรากลับโลกไม่ได้ใช่ไหม...ไม่ได้แน่ๆ เพราะไม่งั้นนายคงไม่ต้องให้ฉันขับยานนั่นมา"
    "น่าจะว่าง่ายให้ได้สักครึ่งที่ฉลาด"
    "ไปได้ไกลแค่ไหน"
    "ตราบเท่าที่อยู่บนดาวดวงเดียวกัน"
    "เอาโต๊ะบ้านี่ออกไปได้ไหม เห็นแล้วหงุดหงิด"

    เพราะจากมุมมองคนที่นอนอยู่ โคมไฟบดบังใบหน้าหล่อเหลาของคนนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเสียมิด เขาไม่ชอบเลยที่มองไม่เห็นหน้าคู่สนทนา ในอกมันโหวงสั่น ประหวั่นพรั่นพรึงบอกไม่ถูก

    กลัว...ถ้าต้องตื่นมาพบตัวเองอยู่คนเดียวอีก

    "สตีเว่น"

    เอ่ยเรียกเสียงอ่อน
    อีกคนลืมตา เหล่มอง

    "คิดว่าป่วยแล้วจะตามใจทุกอย่างเหรอ"
    "ก่อนฟื้นฉันฝันไม่ดีเลย"
    "คุณโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ..."
    "มันน่ากลัวมาก"
    "...ที่จะมาร้องขอนอนกับพ่อแม่ เวลาฝันร้าย"
    "ฉันฝันว่านายหายไป..."

    เสียงโทนี่แผ่วลงทุกขณะ

    "ทิ้งฉันไว้คนเดียว"
    "..."

    ยอมย้ายโต๊ะหัวเตียงออก 
    ขยับเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆ 

    กระซิบ "ผมอยู่ตรงนี้..."
    "..."
    "...หลับได้หรือยัง"

    โทนี่ยอมหลับตาลง "อย่าไปไหนนะ"

    ไม่ตอบ นั่งหลับตาเนิ่นนาน ราวกำลังชั่งใจ
    พลันหนึ่งนิ้วเรียววางแตะลงข้างแก้มอุ่น 

    บอกใบ้ให้รู้...ยังอยู่ข้างๆ แม้ยามหลับใหล

    "..."

    คนป่วยยกมือเล็กขึ้นกำไว้
    เหมือนเด็กกำนิ้วผู้ใหญ่

    ปากไม่ดี แต่...ใจดีแฮะ

    .
    .

    สะดุ้งตื่นตอนใกล้รุ่งสาง

    ทีแรก คิดว่าคนหลับปุ๋ยปล่อยนิ้วเขาแล้ว
    แต่เปล่า เตียงโล่งว่างไร้วี่แววคนเคยนอน

    "โทนี่?"

    สตีเว่น สเตรนจ์ผุดลุกจากเก้าอี้ ก้าวฉับๆ กระชากประตูเปิดออกไปยังระเบียงด้านนอก ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นร่างเล็กยืนมองท้องฟ้า เส้นแสงสีชมพูระเรื่อเริ่มจับขอบนภา บรรจงถักทอห้วงเวลา แปรเปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวันอย่างไม่เร่งรีบ

    "ไม่เห็นบอกเลยว่าเราอยู่บนสลัมลอยฟ้า"

    ทัศนียภาพทั่วทั้งเมืองเป็นตึกรูปร่างประหลาดสูงเสียดฟ้าเรียงสลับซับซ้อน ประชากรหลายเผ่าพันธุ์ยัดเยียดเบียดกันอยู่ในพื้นที่เหล่านั้น ไม่ต่างอะไรจากชุมชนแออัดหลายแห่งบนโลก ชั้นที่พวกเขาอยู่นั้นต่ำกว่าเพียงดาดฟ้า เกือบแตะหมู่เมฆ

    โทนี่ละสายตาจากทิวทัศน์กลับมามองเขา
    นัยน์ตาหวานทอประกายบางอย่างแวบหนึ่ง

    "คุณโอเคหรือเปล่า..."
    "สบายดี ไม่มีไข้แล้ว ไม่หนาวแล้ว สดชื่นขึ้นเยอะ แผลก็หายสนิท นายนี่เก่งจริงๆ"

    ไม่หนาวแล้ว...?

    ยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ
    อีกฝ่ายไม่ได้สวมเสื้อ หรือแม้แต่...

    "ผ้าคลุมไปไหน โทนี่"
    "สตีวี่..."

    ล่าสุดที่เรียกเขาแบบนั้น
    คือตอนเจ้าตัวกำลังแย่

    "หนีไ...ป" 

    น้ำเสียงอู้อี้ราวเส้นเสียงถูกบดขยี้จนเยินยับ ท่าทางกระเสือกกระสนของอีกฝ่ายยิ่งฟ้องชัดว่าบางสิ่ง...หรือบางคนที่มองไม่เห็นบีบคออยู่ สตีเว่นสะบัดมือไม้ร่ายเวทย์มนตร์ ผลักไปข้างหน้า

    คาถาย่อยยับดับสลายก่อนถึงตัวโทนี่
    คลื่นเสียงแหบห้าวสะท้อนกลับมา

    "หาผ้าคลุมอยู่หรือ"

    ขอบม่านสีเลือดเคลื่อนคล้อยจากขวาไปซ้าย
    ไล่เปลี่ยนภาพลวงตา คืนกลับความเป็นจริง

    ภาพจริง...โทนี่อยู่ในกำมือของธานอส

    มือยักษ์รั้งพันผ้าคลุมวิเศษของเขาไว้รอบคอคนตัวเล็ก มณีสีอำพันตกอยู่ในควบคุมของถุงมือเหล็กนั่นแล้ว ขวากหนามสุดท้ายที่ยังขวางกั้นหนทางสู่จุดจบของสรรพชีวิตครึ่งจักรวาล...คือมณีแห่งเวลาในความคุ้มครองของสตีเว่น

    "เจ้าก็เห็น แม้แต่ดาวที่เจ้าสุ่มลงมาก็มีปัญหาเดียวกันกับทั้งจักรวาล...ปัญหาปากท้องเพราะทรัพยากรจำกัดและประชากรส่วนเกิน"
    "แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของแกที่จะตัดสินใจ"
    "เราจะถกกันเรื่องนี้ก่อน หรือปล่อยให้สตาร์คหมดลมหายใจก่อนดี"

    สเตรนจ์ขบกรามแน่นเป็นสัน มองคนที่บัดนี้ถูกปลดเปลื้องจากผ้ารัดคอ คว้าศีรษะยกลอย ยื่นออกไปนอกระเบียง

    เป็นอีกครั้งที่เขาต้องเลือก
    และเขาไม่เคยแน่ใจ

    ไม่เหมือนโทนี่ที่พยายามส่ายหน้า
    เหมือนวันก่อน...

    ธานอสเปลี่ยนสีหน้า 'อย่าลูกไม้ล่ะ'
    สตีเว่นส่ายหน้าช้าเชื่อง จนใจ จนปัญญา
    โทนี่คอพับคออ่อน มองเขา 'อย่า...'


    อีกฝ่ายพร้อมแลกชีวิตเพื่อปกป้องมณี
    แต่เขาต้องการปกป้องทั้งสองอย่าง

    และผลลัพธ์ก็ยังย้อนกลับมาทำร้ายกัน

    "ก็ได้..." ธานอสพึมพำ

    ใช้นิ้วงัดแงะสิ่งที่ฝังกลางอกโทนี่

    "อย่า!"

    เตาปฏิกรณ์กระชากตัวออกไป

    เฮือก—

    ริมฝีปากของโทนี่เผยอร้อง
    แต่กลับเล็ดลอดเป็นเพียงลม

    แสงสีฟ้าอ่อนกระตุกซ้ำๆ ก่อนวูบดับ
    โลหิตหนืดข้นย้อยหยดลงบนพื้น

    "เอามณีไป...แล้วปล่อยเขา"

    สตีเว่นจนตรอก ยอมแพ้
    คลายมือ เรียกมณีสีมรกต

    มันลอยคว้างเข้าสู่มือใหญ่โดยละม่อม

    "ทีนี้..." ธานอสยกยิ้ม "ข้าปล่อยละนะ"

    จอมเวทย์เบิกตากว้าง
    เมื่อเดาเจตนามันออก

    "ไม่!"

    แต่ร่างเล็กก็ร่วงหล่นลงไปแล้ว

    หล่นลงไป...โดยไร้เครื่องสร้างอนุภาคนาโนที่จะก่อร่างชุดเกราะช่วยร่อน หล่นลงไป...จากความสูงแทบเทียมหมู่เมฆบนฟ้า หล่นลงไป...อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะอีกคนไม่มีผ้าคลุมจะสะบัดตามลงไป ไม่มีทางร่ายเวทย์มนตร์กลใดรองรับ ด้วยถูกมือยักษ์กักตัวไว้

    "ราคาที่เจ้าต้องชดใช้ ฐานทำข้าเสียเวลา"

    มันเอ่ยถ้อยคำสุดท้ายทิ้งไว้เพื่อตอกย้ำ

    ปล่อยผ้าคลุมวิเศษเป็นอิสระ
    มณีสีฟ้าเปล่งแสง พามันข้ามมิติไป

    สตีเว่นยืนคว้าง เจ้าผ้าคลุมโรยตัวลงห่ม
    พาเขาลอยเรื่อยร่วงโรยสู่พื้นดินเบื้องล่าง

    "..."

    เขาแค่ต้องการปกป้องทั้งสองสิ่ง
    ทำผิดอะไร จึงต้องสูญเสียทั้งหมดไป

    ร่างของโทนี่ดูราวกับงานศิลปะที่ย้อมละเลงด้วยเลือด แน่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว หมดลมหายใจ ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งข้างกายอันไร้ซึ่งวิญญาณ ต้องสะกดกลั้นความขมขื่นถมกลืนลงคอ ห้วงอารมณ์หมองหม่นรัดรึงตรึงขั้วหัวใจ ห้วงความคิดหนึ่งยังแอบกังวลวุ่นวาย

    ว่าในนิทรายาวนานชั่วนิรันดร์ที่อีกฝ่ายต้องเผชิญนั้น...เจ้าตัวจะเหงาไหม?

    นิ้วเรียวเอื้อมแตะแก้มเปื้อนเลือดเบาๆ
    ไออุ่นเจือจางยังคงแผ่ซ่านให้สัมผัส

    "หลับให้สบาย...ผมอยู่ตรงนี้"


    ___________________________________________

    "เดี๋ยวก่อน"

    มือยักษ์กำลังง้างหมัดสังหารชะงักงัน
    ร่างสูงตระหง่านผิวกายสีม่วงมองหาต้นเสียง

    เจ้าพ่อมด

    "ไว้ชีวิตเขา..."

    สุ้มเสียงทุ้มต่ำเจรจาต่อรอง
    จำยอม ร้องขอ "...แล้วฉันจะให้มณี"

    ธานอสเปลี่ยนสีหน้า "อย่าลูกไม้ล่ะ"

    สตีเว่นส่ายหน้าช้าเชื่อง จนใจ จนปัญญา
    โทนี่คอพับคออ่อน มองเขา "อย่า..."

    ไหนเล่าที่ประกาศกร้าวยืนกรานจะเลือกมณี
    คิดอะไรของนายอยู่กันแน่ สเตรนจ์?

    มรกตเลอค่าเคลื่อนคล้อยลอยจากเหนือฝ่ามือเรียวยาว โทนี่มองตาม หมดคำพูด จำใจละสายตาจากภาพอันน่าผิดหวัง ก้มลงฉีดอนุภาคนาโนปิดบาดแผลฉกรรจ์ให้ตัวเอง เงยหน้าอีกครั้ง มณีเกือบถึงมือของธานอสแล้ว...

    แต่ประตูมิติวงเล็กเปิดขึ้นใกล้มณี
    และมือหนึ่งฉวยคว้ามันไปได้ก่อน

    โทนี่หันขวับ กลับมาพบประตูเวทย์อีกวงถูกผลักผ่านร่างตนไป พริบตาถัดมา พบตัวเองในยานอวกาศลำเล็ก ไม่น่าบรรจุเจ้าพวกสตาร์ลอร์ดได้หมด อาจเป็นของแม่สาวตัวฟ้า? เขาไม่รู้ และมันไม่สำคัญเท่ากับการหาวิธีขับให้ได้ในตอนนี้

    "คุณขับมันได้ไหม"
    "เดี๋ยวก็ได้"

    ไม่ทันขาดคำ เครื่องลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว
    เจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง

    แต่เขาเปิดปากก่อน "อย่างน้อยหยิบพาร์คเกอร์ติดมือมาอีกคนไม่ได้รึไง"

    ว่าตามตรง เขาไม่ไว้ใจพวกเพี้ยนนั่นเท่าไร

    "ไม่มีเวลา ต้องหยิบทั้งคุณทั้งมณีติดๆ กันก็มือเป็นระวิงแล้ว เดี๋ยวค่อยหาทางติดต่อพวกนั้นทีหลัง"
    "ทำไมไม่หยิบแค่มณีล่ะถ้างั้น"
    "ผมต้องการคุณ"

    โทนี่หันขวับ
    สตีเว่นกระแอม 

    "...มาขับยานให้" 
    "แน่ละ"

    ความเงียบงันครอบครองห้องโดยสาร จอมเวทย์คนเก่งหย่อนร่างลงบนเบาะข้างนักบิน เอนศีรษะไปข้างหลัง หลับตา ก่อนพึมพำถามคนที่ยังง่วนกับการศึกษายานต่างดาว

    "แผลคุณเป็นไง..."
    "ไม่เป็นไร" เหล่มองแวบหนึ่ง "นายล่ะ"

    เขาหมายถึงรอยเลือดเหนือคิ้วขวา
    ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งนึกได้ตอนนั้นว่ามี

    วาดมือไม้ฉายแสงสว่างวาบครู่เดียว แผลบริเวณนั้นก็จางหายไป หลังมือเรียวปาดไล้คราบโลหิตทิ้ง บางส่วนที่เริ่มแห้งกรังไม่ได้เลือนลบออกไปด้วย

    "มือเป็นอะไร"
    "มือผมไม่ได้บาดเจ็บอะไร"
    "ไม่ ฉันหมายถึง รอยแผลเป็นพวกนั้น..."

    อดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็น...เส้นตะเข็บเย็บซึ่งพาดผ่ากลางแต่ละนิ้ว เป็นแนวยาวตลอดหลังมือเรียวสวยนั่น

    "ไม่ใช่เรื่องของคุณ ขับไปเถอะ"
    "นั่นสินะ ฉันก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้นหรอก แค่ตามันไว แล้วปากก็—"
    "มาก"
    "...ว่าง" จบคำได้ช้ากว่าคนพูดสวนเสี้ยวเดียว "สรุปว่าไปโดนอะไรมา สยองชะมัด"
    สตีเว่นถอนหายใจ "แค่อุบัติเหตุ"

    ลืมตา กางมือตัวเองออกดู "อุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล"
    "หมายถึง...กลายมาเป็นพ่อมดน่ะนะ?"
    "จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด" เสียงทุ้มกล่าว "และผมคือจอมเวทย์สูงสุด เหมือนจะพูดไปแล้ว"
    "นายพูดแล้ว เฮ้...คิดว่ามาไกลพอหรือยัง"
    "ต้องไปให้ไกลที่สุดก่อน"
    "นั่นแหละประเด็น" โทนี่พึมพำ "เหมือนเชื้อเพลิงเราจะหมด"

    มือเล็กผายนำสายตาอีกคนให้ทอดมอง
    ดวงดาวตรงหน้ามีชีวิตชีวา ดูเป็นแหล่งสัญจร

    "มีเวลาแค่ไหนก่อนจะหมด"
    "ไม่มี"

    สตีเว่นย่นคิ้วหนัก
    โทนี่ฉีกยิ้มประชดชีวิต

    "ใช่...ต้องให้นายช่วยเอาลงจอดเหมือนตอนขี่โดนัทยักษ์นั่นอีกรอบแล้วละ"

    .
    .

    ดาวที่พวกเขาร่อนลงมาเป็นเมืองท่า

    ผู้คนมากมาย —ซึ่งต่างดูไม่เหมือนชาวโลก— พลุกพล่านสัญจรไปมาตลอดเวลา เศษเหล็กจากยานที่ลงจอดผิดวิธีโดยสิ้นเชิงขายได้เป็นเงินพอค่าห้องโรงแรมเล็กๆ ห้องหนึ่ง พวกเขาเปลี่ยนใจไม่หาทางติดต่อกับพวกสตาร์ลอร์ดด้วยไม่รู้จะไว้ใจใครแถวนี้ได้หรือไม่ และเสาะหาหนทางกลับโลกแทน

    'มีคนจะผ่านไปแถวแกแล็กซี่นั้น แต่เขาจะออกเดินทางเช้ามืดพรุ่งนี้ ถ้าจะไปก็นอนรอ'

    เจ้าของโรงแรมซึ่งหน้าตาคล้ายหมีอวกาศที่มีขนแผงคอสีส้มกล่าวไว้ 

    'แวะไปถามดูก่อนก็ได้ เขาอยู่ซอยลึกสุด โซนตะวันตกในตลาดมืดโน่น'

    โทนี่รู้สึกอยากตบหน้าตัวเองชั่วโมงละหลายครั้งเพราะไม่แน่ใจว่ายังนอนฝันอยู่หรือเปล่า ตั้งแต่เรื่องธานอสมาจนถึงการท่องอวกาศและขับยานอย่างมั่วนิ่มนี่ ทุกอย่างที่ประสบพบเจอทำให้เขารู้สึกตัวหดเล็กลงเหลือเศษหนึ่งส่วนล้านล้านล้านไมครอน แม้แต่กองทัพชิทอรี่ที่เขาเคยได้เบิกเนตรเห็นครั้งศึกนิวยอร์กก็คงเป็นเพียงเสี้ยวมุมหนึ่งของจักรวาลที่มนุษย์โลกรู้จัก

    "คุณ"

    เรียกพร้อมโอบไหล่เล็กเข้าหาตัว
    เพราะกลัวจะไปเหยียบเท้าใครเข้า

    "ใจลอยไปถึงไหน"
    "..."

    โทนี่ไม่ได้ตอบอะไร ใจครึ่งหนึ่งยังลอยไปในทิศทางเดิม อีกครึ่งถูกฉุดรั้งให้กลับมาสนคนข้างกาย มือนั้นปล่อยหัวไหล่ของเขา และกลับไปไพล่หลัง โลกแวดล้อมค่อยๆ แทรกซึมกลับเข้ามาในความรับรู้อีกครั้ง พวกเขาเดินอยู่กลางตลาด... กวาดตามองสิ่งแปลกใหม่รอบกาย และสะดุดเข้ากับร้านข้างทางที่อยู่ไกลออกไปไม่กี่ก้าว

    ขายไอศกรีม...?

    โทนี่ใช้ความเร็วสายตาค้นหาเหยื่อ เล็งเป้า แสร้งชนไหล่ ขอโทษขอโพย และแยกทางกับเอเลี่ยนสาวที่ตนเดินชน 

    โดยมีถุงเงินของเธอติดมือมาด้วย

    หยุดฝีเท้าลงหน้าร้านขนมหวานที่ตนเล็งไว้ หมุนครึ่งตัวกลับไปขยิบตาให้สตีเว่น ฝ่ายนั้นส่งสายตาดุๆ ตอบกลับมา แต่ดูระอาจนขี้เกียจจะว่าอะไร และก้าวไวๆ มาสมทบ

    "ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีไอติม"

    โทนี่ชวนคุยระหว่างหย่อนเหรียญเงินใส่มือคนขาย รับไอศกรีมถ้วยเล็ก ตักคำแรก และ...เอาช้อนจ่อปากสตีเว่นก่อน

    "ไม่เป็นไร ขอบคุณ"
    "ลองดู เผื่อจะอร่อยกว่ารสสตาร์ค..."

    ย่นคิ้ว เหล่ไอศกรีมหวานเย็นในถ้วย
    มองหน้าคนป้อน "มีอะไรผมจะได้ตายก่อนสิ"

    แต่ก็ยอมลิ้มชิมรสของหวานต่างดาว
    เปลี่ยนสีหน้าเร็วจนคนมองเกือบหัวเราะ

    "เป็นไง"
    "เหมือนกินหมากฝรั่งโดนเหยียบ"
    โทนี่กลั้นขำไม่ไหว "ต้องโตมาแบบไหนถึงได้เคยกินทั้งชอล์ก ทั้งหมากฝรั่งโดนเหยียบ"

    เจ้าตัวโยนของหวานรสชาติไม่ได้เรื่องทิ้งไปทั้งที่ตนยังไม่ได้แตะสักนิด ยิ่งยืนยันว่าได้ใช้อีกคนเป็นหนูลองยา หรือยิ่งกว่านั้น อาจจะแค่อยากแกล้งพ่อจอมเวทย์แต่แรกก็เป็นได้

    ซึ่ง...มันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าตัวหัวเราะ
    แค่ไอศกรีมรสชาติแย่ในปาก...อาจจะคุ้มอยู่

    "ไอ้คนที่เราจะไปหาชื่ออะไรนะ อ้อ ช่างเถอะ ฉันไม่แคร์อยู่ดี ฉันไม่เคยคิดแม้แต่วินาทีเดียวด้วยซ้ำว่าเราควรกลับโลกให้มันตามไปถล่ม"
    "ไม่ใช่ 'เรา'..." สตีเว่นแก้เสียงขรึม
    "หมายความว่ายังไงไม่ใช่เรา...นายไม่ได้— ไม่มีทาง..." โทนี่ขมวดคิ้ว "นายคงไม่—"
    "ถูกแล้ว" พยักหน้ายืนยันความคิด "เราจะแยกกัน คุณต้องกลับโลก"
    "นายปกป้องมณีคนเดียวไม่ไหวหรอก"
    "มีคุณเพิ่มอีกคนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไร"

    โทนี่ผลักอกคนตรงหน้าให้หยุด ฟัง
    นัยน์ตาคู่สวยสาดประกายความเจ็บปวด

    "รวมกันเราอยู่ แยกกันมีแต่จะแพ้ เชื่อเถอะ ฉันผ่านมาหมดแล้ว"
    "คุณหมายถึงสตีฟ โรเจอร์ส"
    "ฉันหมายถึงทุกสถานการณ์"

    ...รวมทั้งเรื่องสตีฟ โรเจอร์ส

    แม้ปากจะโต้ตอบได้ไว
    หากร่างกายกลับชาไปชั่วขณะ

    "เดินต่อเถอะ เรากำลังขวางทาง"

    เสียงทุ้มกระซิบ สาวเท้าเข้าใกล้จนประชิด แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมขยับไปไหน มือเรียวยาวต้องคว้าข้อแขนเล็กให้เจ้าตัวเดินตาม หากเมื่อได้สติ โทนี่กลับเป็นฝ่ายลากสตีเว่นเข้าไปคุยในตรอกซอกเล็กๆ ข้างทาง

    "คุยกันให้รู้เรื่องก่อน"

    คนตัวเล็กยืนกอดอก "คิดจะบอกกันเมื่อไร กะยัดฉันลงกระสวยอวกาศแล้วชิ่งหนีไปเลยงั้นสิ"
    "ผมหนีไปคนเดียวยังไงก็คล่องตัวกว่า"
    "นายกำลังว่าฉันเป็นตัวถ่วง ทั้งที่—"
    "ผมไม่ได้มองคุณเป็นตัวถ่วง"

    สตีเว่นสวนทันควัน "แต่มีคุณไปด้วยมันเสี่ยงกว่ามาก คุณก็เห็น เราเพิ่งผ่านจุดนั้นกันมา หรือไม่ใช่?"
    "..."
    "ผมไม่รู้ว่าเราจะโชคดีได้อย่างนั้นอีกไหม ครั้งนี้ธานอสไม่ออมมือแน่"
    "นายจะบอกว่า นายกลัวมันจะใช้ชีวิตฉันต่อรองกับนายเพื่อแลกมณีอีกครั้งงั้นสิ..."

    โทนี่ทวนความคิดของอีกฝ่าย
    ไม่แน่ใจนักว่าถูกต้องหรือไม่

    แต่...

    พิจารณาจากการที่พวกเขามาถึงตรงนี้ได้
    ก็แปลว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใจร้ายเหมือนปาก

    'ถ้าถึงคราวต้องเลือกระหว่างคุณหรือเด็กนั่น กับมณี ผมจะปกป้องมณี'
    '...'
    'ผมไม่ลังเลแน่ที่จะปล่อยพวกคุณตาย
    ทำไม่ได้ ชะตาของจักรวาลขึ้นกับมณี'


    ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
    ไอ้คนใจร้ายไม่จริง

    "ผมปล่อยให้คุณตายเพื่อมณีไม่ได้"
    สตีเว่นกระซิบ "มันไม่ถูกต้อง..."

    นัยน์เนตรสีอ่อนหนักแน่นกับคำสารภาพ
    สบมองแล้วหัวใจแทบยวบไหวลงไปกอง

    โทนี่เสหน้าหลบ บ่นพึมพำ "ให้ตายสิ..."
    "คุณเสนอให้เราบุกไปหามัน ผมก็ยอมตามแล้ว คราวนี้ฟังผมบ้างได้ไหม"
    "อย่า..." โทนี่สวน "อย่ามาใช้ไม้นี้ คิดยังไงการปล่อยนายไปคนเดียวก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี สุดขอบจักรวาลแล้วยังไงต่อ ถ้ามันได้ตัวนายโดยไม่มีใครคอยช่วยเลยล่ะ"
    "มันจะ—"
    "ถ้าจะหนีก็ต้องไปด้วยกัน ถ้าจะกลับโลกก็ต้องกลับด้วยกัน เข้าใจรึเปล่า"

    โทนี่ยืนกราน ยกนิ้วจิ้มอกกว้าง
    สตีเว่นถอนหายใจ พยักหน้ารับ

    อีกฝ่ายหมุนตัวกลับ ออกจากตรอก
    คนข้างหลังสะบัดผ้าคลุม พลางบ่น

    "ดื้อชะมัด..."

    โทนี่ไม่ได้หันมา แต่ยังโต้ตอบ

    "รู้ใช่ไหมว่าฉันได้ยินน่ะ"

    .
    .

    ดูเหมือนว่าไม่มีใครคิดจะเข้านอน

    เป็นธรรมดาของโทนี่อยู่แล้วที่จะนอนไม่หลับเวลาถูกรุมเร้าด้วยความเครียดและกังวล ส่วนอีกคนนั้นเขาก็ไม่อาจตรัสรู้ได้เหมือนกันว่าออกไปแรดที่ไหนอีกในเวลาดึกดื่นป่านนี้ โทนี่พยายามเคลียร์สมองให้โล่ง ไม่คิดอะไร แต่ยิ่งกลายเป็นกระตุ้นความคิดให้ลุกลามไม่สิ้นสุด ห่วงทั้งเจ้าเด็กพาร์คเกอร์ที่ต้องติดอยู่กับพวกเพี้ยนอวกาศ ห่วงทั้งมณีที่ยังอยู่กับวิชั่น และมณีที่อยู่กับพ่อจอมเวทย์

    '...สตาร์ค...'

    หืม?

    "...คุณสตาร์ค"


    ท่อนขาสัมผัสได้เล็กน้อยว่าฟูกนอนบริเวณเคียงใกล้ยวบลงไป โทนี่ลืมตาโพลง พลิกร่างจากท่าตะแคงมาอีกฝั่ง ใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงมีพลังในการฉุดกระชากตัวเขาขึ้นนั่ง รวดเร็วจนรู้สึกเวียนหัว

    "พาร์คเกอร์..."

    เจ้าเด็กตรงหน้าส่งยิ้มให้

    "นายมาได้ไง"
    "ผมมาหาคุณไงฮะ คุณสตาร์ค"
    "นั่นไม่ใช่ที่ฉันถาม" โทนี่ลูบหน้า "คนอื่นล่ะ"

    หนุ่มน้อยในชุดไอ้แมงมุมเงียบไป

    "ว่าไง?"
    "ผมต้องให้คุณช่วย..."

    เสียงเล็กๆ นั้นเครือสั่น
    เจ้าเด็กนี่กำลังร้องไห้?

    "นี่ อย่าร้อง มีปัญหาอะไร..."

    ไม่ตอบ พึมพำคำเดิมซ้ำ

    "ผมต้องให้คุณช่วย"

    ช่วย...

    ช่วยอะไร...?

    ...

    "หลับหรือยัง..."

    เฮือก!

    เสียงทักพร้อมสัมผัสตรงข้อเท้าทำเขาสะดุ้ง
    เตียงยวบลงเบาๆ เมื่ออีกคนทิ้งตัวลงนั่ง

    โทนี่พลิกร่างกลับมามอง "...สเตรนจ์"
    "ขวัญอ่อนอะไรขนาดนั้น"
    เจ้าตัวย่นคิ้ว นวดขมับ "แค่...นอนคิดอะไรเพลินๆ อยู่ แล้วเผลอวูบหลับ และ..."
    "..."
    "...ฝันเห็นพาร์คเกอร์"

    สตีเว่นเลิกคิ้ว ฟังน้ำเสียงเหม่อลอยโดยไม่ขัด
    โทนี่ลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ด้วยความสับสน

    "เหมือนจริงมากเลย เขานั่งตรงที่นายนั่งอยู่ แล้วก็เริ่มร้องไห้ และ..."

    ถ้อยคำที่เหลือถูกกลืนลงคอพร้อมก้อนสะอื้น
    มือเล็กกุมหน้าตัวเองเอาไว้ ลาดไหล่เทิ้มสั่น

    เพียงมือเรียวยาวเอื้อมไปแตะเพื่อปลอบโยน
    อีกคนก็ฝังใบหน้าลงตรงอ้อมอกอุ่นโดยพลัน

    กระซิบเสียงพร่า...หวาดหวั่น

    "ถ้าเขาเป็นอะไรไป มันจะเป็นความผิดฉัน..."

    ผิดตั้งแต่ลากเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่สองปีก่อน บันดาลใจให้เด็กนั่นอยากเป็นเหมือนเขาแม้ไม่ได้เจตนา และปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดมาจนถึงจุดที่อาจไม่มีทางย้อนกลับ

    ความผิดเขาทั้งหมด

    ชู่ว...

    ได้แค่ปลอบ ได้แค่กอดไว้ ไม่อาจพูดอะไร
    ได้เพียงรับฟัง และอยู่เคียงข้าง แค่นั้น

    แต่แค่นั้น...โทนี่ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว

    จึงได้รีบผละออก เมื่อน้ำตาเลือนหาย
    "โทษที..." พึมพำเสียงเบา
    รีบเปลี่ยนเรื่อง "นายปลุกฉัน...มีอะไร"
    "อ้อ ใช่..."

    สตีเว่นชูถุงกระดาษใบเล็กขึ้น

    "ผมเห็นคุณนอนกระสับกระส่าย ก็เลย...ไปหาซื้อนี่"
    "..."
    "ช่วยให้หลับสบาย"

    อดีตนายแพทย์แกะยาใส่มือโทนี่
    ลุกขึ้น "เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้"
    "..."

    กลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมน้ำหนึ่งแก้ว
    โทนี่โยนยาลงคอ รับน้ำมาดื่ม 

    ตาหรี่ลง ครุ่นคิด แปลกใจ

    "ก่อนหน้านี้ ก่อนนายจะออกไป ฉันเห็นนายนอนนิ่ง คิดว่าหลับไปแล้วซะอีก..."

    ยังสังเกต...ยังรับรู้ได้ยังไงว่าเขานอนไม่หลับ?

    สตีเว่นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่
    "ผมถอดจิต..."
    "ถอดจิตได้ด้วย?"
    "...มาเฝ้าไว้เผื่อเกิดอะไร"
    "นี่ทำอะไร..."
    "ทำไมชอบพูดขัด..."
    "...ไม่ได้บ้าง"
    "...ตลอดเลย"

    พวกเขาเงียบลงพร้อมกัน
    หลุดหัวเราะน้อยๆ พร้อมกัน

    เสียงหัวเราะค่อยๆ จางหาย
    ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไร

    แค่ซึมซับกันและกันในความเงียบเท่านั้น
    รับรู้ รับฟัง และสัมผัส...เสียงของหัวใจ

    "..."

    สตีเว่นจรดปลายนิ้วเรียวสวยลงไป ณ ใจกลางแสงสีฟ้าซึ่งฉายส่องจากอกของโทนี่ เคาะเบาๆ เชิงหยอกเย้า "...เอาไว้ทำอะไร?"

    "นี่เหรอ..." ก้มมองอกตน แตะนิ้วลงเกลี่ยไล้ปลายมุมสามเหลี่ยมจากสุดขอบมาถึงกึ่งกลาง ชนเข้ากับนิ้วอุ่นละมุนของอีกฝ่าย

    "สร้างอนุภาคนาโน...ที่จะกลายเป็นเกราะ..."

    โทนี่จับมือเรียวยาวเอาไว้ พาปลายมือนั้นลากไล้ระไปตามแนวอก หัวไหล่ และท่อนแขนของตน ส่งผลให้เนื้อเกราะอัจฉริยะไล่ก่อร่างสร้างตัวไปตามเส้นทางมือของสตีเว่น

    จอมเวทย์เลื่อนนิ้วไปจนจรดปลายนิ้วที่ยาวที่สุดของเจ้าตัว เกราะแขนลุกลามตามไปจนสุดทาง

    "หรือ..."

    ใบมีดสองคมเด้งตัวออกจากเกราะหลังมือ

    "...อาวุธ"

    ม่านพลังงานสีเหลืองส้มโปร่งแสงครอบมือเรียวเอาไว้ได้ทัน ก่อนมีดจะเฉือนผิวหนังไป 

    สตีเว่นเอามือออกห่าง โทนี่โปรยยิ้มแวบหนึ่ง

    "นายก็มีโล่ป้องตัวเองเหมือนกัน"

    ลดมือข้างที่ใช้ร่ายเวทย์กะทันหันลง
    "และป้องกันอย่างอื่น..."

    มืออีกข้างยังเลื่อนต่อไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโทนี่ ระเริงเล่นกับอนุภาคนาโนที่ติดตามเคลื่อนไหวไปสร้างเกราะกำบังบนเรือนร่างนั้นทุกส่วน ไม่ให้เขาแตะตัวอีกฝ่ายได้โดยตรง

    "...เช่นอะไร"

    ถามเสียงเบา
    หายใจแรง

    ไม่รู้ด้วยซ้ำ,
    มืออบอุ่นข้างนั้น...แตะปลายคางตนได้ยังไง

    เหตุใดไม่ปล่อยชุดเกราะให้ลามขึ้นมา?

    และปลายคางของอีกคนที่จ่อจดอยู่ใกล้ๆ
    ก็ไว้หนวดเคราทรงเดียวกัน...จนรู้สึกแปลกๆ

    คล้ายกำลังมองตัวเองในกระจก

    "สิ่งนี้"

    มือเรียวอัญเชิญมณีสีมรกตให้แสดงตน
    นัยน์ตาหวานเหลือบมองมันเพียงเสี้ยวจิต

    "ยังไง..."

    โทนี่แทบไม่ขยับริมฝีปากขณะเอ่ยถาม
    เพื่อไม่ให้ชนกับกลีบปากอีกคู่ที่อยู่แทบชิดกัน

    "มิติกระจก..."

    ม่านพลังโปร่งใสรอบๆ ตัวมณีเริ่มปริร้าว
    ก่อนสลายไปคล้ายกระจกแตกกลางอากาศ

    มรกตเม็ดงามโรยตัวลงบนฝ่ามือเรียวสวย
    เรียวปากอบอุ่นทิ้งสัมผัสลงบนกลีบปากสีสด

    เขาควรได้ลิ้มรสความหวานนานกว่านั้น
    แต่...

    เฮือก

    ...กลับสำลักโลหิตสีคล้ำออกมาเบาๆ

    "...?"

    ท...ทำไม...?

    สตีเว่นพยายามขุดค้น...มองหา
    หากนัยน์ตาคู่นั้นเย็นชาไร้คำตอบ

    ปลายมีดนาโนถดตัวกลับเข้าหลังถุงมือเกราะ โทนี่เลื่อนมือนั้นขึ้นจากหน้าท้องแกร่ง จรดวางกลางตำแหน่งหัวใจ และแทงซ้ำ รอยเลือดซึมซ่านพล่านกระจายจากอกซ้ายไปเป็นวงกว้าง สตีเว่น สเตรนจ์ถูกผลักให้นอนรอความตายในพื้นที่ว่างบนเตียงอีกฝั่ง

    มือเล็กเก็บเอามณีสีมรกตไปจากมืออีกคน

    "อย่าโกรธสตาร์คเลย..."

    เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากความว่างเปล่า
    กะพริบตาเพียงครั้ง ร่างหนึ่งก็ปรากฏ

    พีเทอร์...?


    ร่างเล็กเพรียวลมเดินเข้ามาหาโทนี่
    ลูบศีรษะคนแก่กว่าด้วยความเอ็นดู

    รับมณีแห่งเวลาไปไว้ในมือ

    ไม่จริงน่า—

    "จริงสิ..."

    นั่นไม่ใช่เสียงของเด็กไฮสกูล
    เสียงแหบต่ำแบบนั้น...

    "ธานอส..."

    ม่านลวงตาสีเลือดเคลื่อนผ่านโลกแวดล้อมไป
    ร่างเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ใหญ่ไททัน

    มือของมันยังกุมศีรษะเล็กๆ ของโทนี่เอาไว้
    ก้มลงกระซิบ "ตื่นขึ้นมา ลูกรัก..."

    สีหน้าของโทนี่เริ่มแปรเปลี่ยน
    เหมือนคนเพิ่งตื่นจากความฝัน

    "ลืมตาดูซิว่าเจ้าทำอะไรลงไป"

    สเตรนจ์...นอนจมกองเลือด...?
    เกิดอะไรขึ้น!?

    "โทนี่..."

    เกิดอะไร...

    ...

    .

    '...สตาร์ค...'

    หืม?

    '...คุณสตาร์ค'

    ท่อนขาสัมผัสได้เล็กน้อยว่าฟูกนอนบริเวณเคียงใกล้ยวบลงไป โทนี่ลืมตาโพลง พลิกร่างจากท่าตะแคงมาอีกฝั่ง ใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงมีพลังในการฉุดกระชากตัวเขาขึ้นนั่ง รวดเร็วจนรู้สึกเวียนหัว

    'พาร์คเกอร์...'

    เจ้าเด็กตรงหน้าส่งยิ้มให้

    'นายมาได้ไง'
    'ผมมาหาคุณไงฮะ คุณสตาร์ค'
    'นั่นไม่ใช่ที่ฉันถาม' โทนี่ลูบหน้า 'คนอื่นล่ะ'

    หนุ่มน้อยในชุดไอ้แมงมุมเงียบไป

    'ว่าไง?'
    'ผมต้องให้คุณช่วย...' เสียงเล็กๆ นั้นเครือสั่น
    'นี่ อย่าร้อง มีปัญหาอะไร...'

    ไม่ตอบ พึมพำคำเดิมซ้ำ
    'ผมต้องให้คุณช่วย'

    ช่วย...ช่วยอะไร?

    โทนี่ขยับเข้าไปหา
    มองนัยน์ตารื้นน้ำแล้วใจไม่ดี

    พีเทอร์เอื้อมมือซ้ายออกมา
    แตะลงตรงอกซ้ายของเขา

    ไม่ได้สังเกตมาก่อนเลย...ว่าเด็กหนุ่มสวมถุงมือเหล็กเอาไว้ โทนี่เบิกตากว้าง มองมณีทั้งห้าเม็ดที่เรียวตัวอยู่บนเครื่องมือควบคุมนั่น สีม่วง... สีฟ้า... สีแดง... สีส้ม... 

    และ...สีเหลือง?

    สีเหลืองอำพัน เม็ดเดียวเท่านั้น...ส่องประกาย

    มณีแห่งจิตใจ

    ไม่นะ!

    'ช่วย...เอามณีแห่งเวลามาให้ข้าที'

    .

    ...

    "ไม่จริง...ไม่..."

    พึมพำทั้งรู้อยู่แก่ใจ

    เขาเป็นคนทำ
    เขาฆ่าสเตรนจ์

    สังหารผู้ถือครองมณีดวงสุดท้าย
    ส่งให้กับยักษ์อวกาศผู้บ้าคลั่ง

    "โทนี่...มองผม..."

    สตีเว่นใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเค้นถ้อยคำ
    ห้วนสั้น แผ่วเบา แทบมีแต่ลมพรูออกมา

    "คุณไม่ได้ทำ..."

    ไม่จริงสักหน่อย

    "...นั่นไม่ใช่คุณ"

    ทำไมต้องโกหก
    ทำไมต้องใจดีกับคนที่ฆ่านายด้วย?

    เป็นบ้าอะไรของนาย


    จอมเวทย์เงียบไป คงเพราะเสียงหัวใจได้หยุดเต้น โทนี่สิ้นไร้เรี่ยวแรงจะยืนหยัดต่อสู้กับความเป็นจริง ทรุดตัวลงตรงนั้น ให้ร่างสูงตระหง่านราวหินผาสีซีดหม่นที่ยืนค้ำอยู่ย่อตัวตามลงมา

    มือใหญ่หยาบกร้านประทับลงบนศีรษะ

    "อย่าเสียใจไปเลย..."
    "เปล่า"

    โทนี่พึมพำ "ฉันโกรธต่างหาก!"

    ฟึบ!
    อึก!

    เขายกถุงมือเกราะซึ่งกลายเป็นปืนใหญ่ขึ้นจ่อหัวใจอีกฝ่าย แต่ไม่ไวกว่าเจ้าของถุงมือที่ใช้พลังจากมณีแห่งอวกาศรั้งเขาไว้ ไม่ให้ยิงลำแสงไปถึงตัว

    "เจ้าไม่ควรรนหาที่..."

    เมื่อครึ่งหนึ่งของจักรวาลอันตรธานหาย
    เจ้าอาจรอดอยู่เฝ้าดูก็ได้

    ถ้าไม่ทำอะไรโง่ๆ เช่นนี้

    "ไม่ควรเลย...สตาร์ค"

    ธานอสพุ่งมือเปล่าเข้าคว้าศีรษะเล็ก
    บีบอย่างรุนแรงเพียงครั้ง...สั้นๆ

    แต่ด้วยกำลังมหาศาล...กะโหลกนั้นแตก

    ห้วงประตูมิติสีฟ้าอึมครึมซึมซับร่างธานอสเข้าไปเมื่อมันกำมือ ร่างเล็กสิ้นไร้ลมหายใจร่วงหล่นลงกับพื้น เลือดซึมทั้งในและนอกกะโหลก พลันนั้น...ร่างบนเตียงที่เหมือนจะสิ้นชีวาวายไปก่อน กลับลืมตาขึ้นได้อีก...เป็นครั้งสุดท้าย

    มองคนที่นอนนิ่งจมกองเลือดตัวเอง
    ด้วยความสงสาร...ระคนปวดใจ

    'ถ้ามันได้ตัวนายโดยไม่มีใครคอยช่วยเลยล่ะ'

    'ถ้าจะหนีก็ต้องไปด้วยกัน...'


    บอกแล้วไง...อยู่ด้วยกันมันไม่ช่วยอะไร
    มีแต่จะพากันไปตายเปล่าๆ

    แต่คุณก็คือคุณแหละ...โทนี่
    บอกให้กลับบ้านก็ไม่ไป

    ดื้อชะมัดเลย


    ___________________________________________

    "เดี๋ยวก่อน"

    มือยักษ์กำลังง้างหมัดสังหารชะงักงัน
    ร่างสูงตระหง่านผิวกายสีม่วงมองหาต้นเสียง

    เจ้าพ่อมด

    "ไว้ชีวิตเขา..."

    สุ้มเสียงทุ้มต่ำเจรจาต่อรอง
    จำยอม ร้องขอ "...แล้วฉันจะให้มณี"

    ธานอสเปลี่ยนสีหน้า "อย่าลูกไม้ล่ะ"

    สตีเว่นส่ายหน้าช้าเชื่อง จนใจ จนปัญญา
    โทนี่คอพับคออ่อน มองเขา "อย่า..."

    ใครกันที่บอกจะปล่อยให้เขาตาย
    ใครกันที่บอกว่ามณีสำคัญกว่า

    ทำไมถึงกลับคำ...สเตรนจ์?

    สตีเว่น สเตรนจ์หลบตาเขา ทอดถอนใจ
    มือเรียวยกสูง คลายออก เรียกมณีให้ปรากฏ

    ดวงแก้วมรกตลอยละล่องระเรื่อยเอื่อย

    ทิ้งตัวลงบนฝ่ามือของยักษ์ไททัน
    ถูกประดับลงบนถุงมือเหล็กทรงพลัง

    "ขาดอีกแค่หนึ่ง"

    มันยิ้ม

    ปิ้ว!

    กระสุนจากปืนของสตาร์ลอร์ดพลาดเป้า
    ร่างธานอสวูบหายไปในห้วงประตูอวกาศ

    "นี่เราเพิ่งแพ้งั้นเหรอ!?"

    ไม่มีใครสนใจตอบคำถามนั้น

    โทนี่ยกถุงมือเกราะขึ้นฉีดอนุภาคนาโนเข้าปิดปากแผลฉกรรจ์ตรงชายโครงของตน ก่อนทอดมองจอมเวทย์ปากดีด้วยสายตาเจ็บปวด ผิดหวัง...

    ไม่เข้าใจ

    "ทำอย่างนั้นทำไม?"

    ไร้ซึ่งคำตอบจากปากสตีเว่น
    มีเพียงสายตาซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้อะไร

    รู้อะไรที่คนอื่นไม่รู้

    .
    .

    ประตูมิติวาดวาบขึ้นกลางถนน
    คนเดินตากฝนเร่งฝีเท้า กอดอก

    "ขี้โกงอีกแล้ว..."

    ไม่สำคัญว่าจะหนีไปไหน
    อีกฝ่ายตามตัวเขาได้ไวกว่าเงา

    "บอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ทำงั้น..."

    เพราะแบบนี้ถึงได้มีกฎประหลาดๆ ระหว่างพวกเขา: ถ้าทะเลาะกันขึ้นมา สตีเว่นห้ามใช้ประตูมิติเดินหนี และกลับกันก็ห้ามใช้สำหรับตามหาโทนี่ ในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นคนโกรธด้วย ไม่เช่นนั้น การหลบหน้าของเขาก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย สร้างความหงุดหงิดใจเป็นที่สุด

    "ผมรู้โทนี่ แต่..."

    สตีเว่นกางร่มเร่งฝีเท้าตาม ไม่นานก็ทันโทนี่
    แน่ละ อีกฝ่ายขาสั้นนิดเดียว จะหนีไปไหนพ้น

    "...ฝนมันตกขนาดนี้ จะปล่อยให้คุณเดินเปียกอยู่ได้ยังไง ใครจะรู้ว่าคุณจะหายงอนผมเมื่อไร"
    "ไม่ได้งอน...โกรธ"
    "...เป็นปอดบวมตายก่อนพอดี"
    "เกลียดนาย..."

    เกลียดน้ำเสียงอ่อนโยนห่วงใยนั่น
    เกลียดความอบอุ่นในสายตาที่มองกัน

    จอมเวทย์ลอบยิ้ม "อันนั้นผมก็รู้ ไม่ต้องย้ำบ่อยก็ได้ พ่อคนงี่เง่า"
    "งี่เง่าแล้วยังจะตามมาทำไม"
    "ถือร่มหน่อย..."

    อะไรของเขาวะ

    "เร็ว..."

    โทนี่ยังมึนงง แต่ก็รับร่มมาถือไว้
    ต้องยืดมือขึ้น เพื่อไม่ให้คนสูงกว่าเปียก

    สตีเว่นล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อโค้ท
    ผ้าขนหนูผืนหนึ่งติดมือกลับออกมา

    "..."

    กางมันออก บรรจงซับความเปียกชื้นจากเรือนผมของคนตัวเล็กกว่าอย่างนุ่มนวล 

    "จำเป็นต้องเดี๋ยวนี้เลยหรือไง"
    "ไม่รีบเช็ดเดี๋ยวไม่สบาย ไม่สบายแล้วไม่มีแรงงอนผมนะ บอกไว้ก่อน คุณก็น่าจะรู้ตัวเองว่า..."
    "ไม่ต้องพูดแล้—"
    "...ไม่สบายทีไร อ้อนเก่งทุกที"

    ปากไวยังไงก็ห้ามไม่ทัน
    เถียงไปยังไงก็แพ้

    อาจเพราะอยากยอม
    แค่อาจจะหรอกนะ

    "ฝนหยุดแล้ว..." โทนี่หุบร่ม

    มืออันแสนอ่อนโยนหยุดเช็ดผมให้เขา

    มองคนจะเริ่มวาดประตูเวทย์กลับบ้าน
    รีบปราม "เดินกลับก็ได้..."

    เดินกลับด้วยกัน?
    สตีเว่นลดมือลง

    "ยังไม่ได้หายโกรธ อย่าได้เข้าใจผิดแม้แต่วินาทีเดียว ก็แค่..."
    "เริ่มจะไม่สบายขึ้นมาแล้ว ว่างั้น?"
    "อือฮึ..."

    ไม่สบายก็ต้องอยากให้หมอดูแล 
    ผิดตรงไหน?



    .
    .


    "กลับไปใส่ชุดจอมเวทย์แห่งเทือกเขาหิมาลัยของนายเลยนะ นังผ้าคลุมล่ะไปไหน มาห่อพ่อตัวดีเดี๋ยวนี้ หล่อเกินหน้าเกินตาไปแล้ว..."

    ปล่อยมือจากหูกระต่ายของอีกคน
    ยื่นไปจัดให้ตรงอีกนิด และปล่อยถาวร

    สตีเว่นไม่ได้สนใจสาวๆ ในงานที่จ้องมองเขา
    กลับส่งสายตาเอ็นดูปนขบขันให้คนข้างกาย

    "นี่คุณอิจฉาหรือว่า...หวง?"

    โทนี่กลอกตา กัดริมฝีปาก "สองอย่าง"
    "รู้สึกเป็นเกียรติจัง"
    "แล้วดูนั่นสิ แย่งซีนยิ่งกว่าอะไรดี ชักจะเด่นดังขึ้นทุกวัน"

    คนตัวเล็กเพยิดคางไปยังหนุ่มน้อยบนพรมแดงด้านหน้า ซึ่งกำลังโพสท่าให้บรรดานักข่าวกระหน่ำกำลังนิ้วสาดแฟลชถ่ายรูปรัวเร็ว ตั้งแต่ทั้งโลกรู้ว่าสไปเดอร์แมนตัวจริงเป็นหนุ่มน้อยวัยใสหน้าตาน่าเอ็นดู คนก็ยิ่งรักยิ่งหลงเจ้าหนูพาร์คเกอร์กันเข้าไปใหญ่

    "ทั้งโลกรักลูกเรามันไม่ดีหรือไง"
    "ก็ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องนั้น แค่หมั่นไส้เฉยๆ เข้าใจอารมณ์มะ ทุกคนแบบพีทน่ารักงั้นพีทดีงี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจทำข่าวโทนี่ สตาร์คแล้ว ก็รู้สึกเหงาแปลกๆ บ้าง ของมันเคยมี"

    สตีเว่นหลุดขำในลำคอพรืดหนึ่ง

    "อะไร"
    จอมเวทย์ในสูททักซิโด้ส่ายหน้า 
    "อะ - ไร"
    "อยากได้ซีนคืนจากลูกไหม โทนี่"

    นัยน์ตาสีอ่อนแสนเจ้าเล่ห์นั่นดูไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่เศษเสี้ยว แต่ดูเหมือนโทนี่จะรู้ตัวช้าไปวินาทีเดียว

    "ไม่ ไม่ต้อ— อือ..."

    ไม่ทัน...

    สตีเว่น สเตรนจ์น่ะ นอกจากปากไว แล้วยัง 'ปากไว' ทำไมไม่จำ!

    แม้หลับตาแต่แสงแฟลชรอบกายยังสาดแฉลบแวบเข้ามาให้ปวดเปลือกตาเล่น กล้องทุกตัวในงานหันกลับมาทางพวกเขา เสียงชัตเตอร์ระรัวเร็วจนหูแทบดับตับแทบไหม้ พีทได้แต่ยืนเอาสองมือปิดปากด้วยตกใจปนเคอะเขินกับภาพที่เห็น

    พ่อบุญธรรมทั้งสองยืนจูบกันกลางพรมแดงงานกาล่าการกุศล

    สตีเว่นถอนริมฝีปาก "ได้ข่าวสมใจแล้วนะ"
    โทนี่เป็นใบ้กะทันหัน เดินหนีไปโดยพลัน

    สมใจบ้าอะไร ไม่ได้ขอร้องเลยเหอะ!


    .
    .

    "แล้วก็ไม่เคยคิดจะรักษามือตัวเองอีกเลยเหรอ?"

    พึมพำ ไม่เชิงถาม เพียงแค่เปรยเรื่อยเปื่อยกับลมหายใจตัวเองระหว่างไล้ปลายนิ้วเล็กไปตามรอยตะเข็บเย็บบนหลังมืออีกฝ่าย สตีเว่นลืมตา มองคนไม่ยอมหลับยอมนอนในอ้อมแขนที่กำลังเล่นกับนิ้วเรียวสวยของเขา ใช้มืออีกข้างวนเวียนสัมผัสหัวไหล่ซึ่งเปลือยพ้นเสื้อกล้ามเจ้าตัวเบาๆ 

    "คุณคิดจะประดิษฐ์เทคโนโลยีอะไรที่รักษามือผมให้เหมือนเดิมบ้างไหมล่ะ"
    "ถึงฉันคิดได้นายก็ไม่ใช้อยู่ดี จะคิดทำไมให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ"
    "ก็นั่นไง มันไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของผมอีกแล้ว ผมคงไม่กลับไปเป็นศัลยแพทย์อีก จะต้องรักษาไปทำไม เท่าที่ผมต้องใช้ในตอนนี้ก็แค่เพื่อ..."

    สตีเว่นพลิกตัวขึ้นนอนตะแคง ทอดเงาค้ำร่างเล็ก บรรจงไล้ปลายมือสัมผัสโครงหน้าของโทนี่...แผ่วเบา

    "...สัมผัสคุณ"

    คนข้างใต้จับมือนั้นไว้ "รู้ไหมว่านอกจากมือ อย่างอื่นก็ใช้ได้ มีประสิทธิภาพกว่าด้วยซ้ำ บางทีน่ะ..."

    "เหรอ..." สตีเว่นยิ้ม เล่นตัว "เช่นอะไรล่ะ"
    "ก็อย่างเช่น..." 

    โทนี่พลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมอกกว้าง
    ก้มลงประทับจุมพิตบนริมฝีปากหยักสวย

    มือเรียวยาวเริ่มปีนป่ายเลิกชายเสื้อกล้ามของคนบนตัวขึ้นทีละนิด ขณะที่มือเล็กรีบร้อนร่อนไวกว่า ปลดกระดุมเสื้อนอนร่างสูงลงไปถึงเม็ดสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว โทนี่ลากไล้กลีบปากอ่อนนุ่มชุ่มชื้นผ่านคางยาวๆ ลำคอขาว แผงอกกว้าง และหน้าท้องกำยำได้สัดส่วน และ...

    ชะงักกะทันหัน

    "ได้ยินไหม..."

    สตีเว่นพยักหน้า
    เสียงฟ้าร้อง

    "ฟรายเดย์ ล็อคประ—"

    ติ๊ง

    ประตูห้องนอนเปิดออกก่อนสั่งจบด้วยซ้ำ
    ไม่น่าจัดห้องนอนเด็กนั่นไว้ใกล้ขนาดนี้เลย!

    สเตรนจ์รีบติดกระดุมเสื้อตนอย่างรวดเร็ว
    ต่อหน้าสายตาใสซื่อของเด็กหนุ่มนั่นละ

    "พีท เลิกย่องเข้าห้องนอนพวกป๊าตอนฟ้าร้องสักที ไม่ใช่เด็กๆ แล้—"
    "ป๊าหมอก็พูดแบบนั้นกับป๋าประจำ แต่ก็เห็นยอมให้ทุกที"
    "นี่จะสื่ออะไรเนี่ย"

    พีทกระโดดลงกลางเตียง 

    "แปลว่าพวกป๊ะป๋าก็ดุผม แต่ก็ยอมให้นอนด้วยทุกทีเหมือนกันไง"
    สตีเว่นถอนหายใจ "ดูเอาแล้วกันลูกใคร" 
    "เพิ่งรับมาเลี้ยงไม่กี่ปี คลอดก็ไม่ได้คลอด อย่ามาโยนความผิด"
    "นี่ขนาดไม่กี่ปีนะ..."
    "เงียบไปเลย"
    "นี่ผมมาทำให้หงุดหงิดกันรึเปล่า หรือว่าผมมาขัดจังหวะอะไรอะ"

    พีเทอร์มองพ่อซ้ายพ่อขวาสลับกัน

    "เปล่า"
    "ไม่"
    "ไม่มีอะไร"
    "จะนอนอยู่แล้ว"
    "ปิดไฟซะ พีท ดึกแล้ว"

    พิรุธขนาดนี้...มีอะไรแน่ๆ

    "แล้วนี่เป็นครั้งสุดท้ายนะที่จะให้นอนด้วย จะยี่สิบอยู่แล้ว หัดโตสักที"
    "ค้าบ แม่—"
    "ยังอีก"

    พีทปิดปากตัวเองในทันใด 
    ซุกตัวลงใต้ผ้าห่มจนมันปิดจมูก

    และต่อให้พ่อทั้งสองจะดุ ปากร้าย เข้มงวดยังไง

    เมื่อเขาสะดุ้งเพราะฟ้าคำรามอีกกี่ครั้ง
    ก็เป็นสองคนนี้ที่กอดเขาไว้จากทั้งสองฝั่ง

    คอยปกป้องเด็กที่ไม่อยากโตคนนี้ไม่ห่างอยู่ดี

    ___________________________________________


    "สเตรนจ์ เป็นอะไรรึเปล่า?"

    เท้าสาวเข้าใกล้ด้วยเป็นห่วง แขนในชุดเกราะเอื้อมรับร่างคนที่ร่วงลงมาจากอากาศโดยอัตโนมัติ
    "นายกลับมาแล้ว นี่โอเคใช่ไหม?"
    "ผมเร่งเวลาไปดูมิติคู่ขนาน ว่าผลลัพธ์การต่อสู้จะออกมาทางไหนได้บ้าง"
    "แล้วเห็นมากี่ทาง" ใครสักคนถาม
    "สิบสี่ล้านหกร้อยห้า"

    โทนี่มองสตีเว่น

    "โอกาสชนะของเรามีเท่าไร"
    "หนึ่ง..."

    เสียงทุ้มที่เอ่ยแฝงไปด้วยอารมณ์นับร้อยพัน
    โทนี่ไม่เข้าใจในตอนนั้น...ไม่มีใครเข้าใจ

    ไม่มีหนทางไหนไปได้สวยหากเขาไม่ยอมให้มณีแก่ธานอสและโทนี่ต้องตายก่อน

    ชะตาของจักรวาลอาจขึ้นอยู่กับมณี
    แต่โอกาสชนะของพวกเขาขึ้นอยู่กับโทนี่

    เพราะฉะนั้น...ผมจะขอร้องคุณ แม้คุณไม่รู้

    ได้โปรดโกรธผม จนกว่าคุณจะเข้าใจ
    แต่จงเชื่อในตัวผม ต่อให้คุณไม่เข้าใจ

    ขอเพียงความเชื่อใจเท่านั้น...ได้โปรด


    .
    .

    .

    "เดี๋ยวก่อน"

    มือยักษ์กำลังง้างหมัดสังหารชะงักงัน
    ร่างสูงตระหง่านผิวกายสีม่วงมองหาต้นเสียง

    เจ้าพ่อมด

    "ไว้ชีวิตเขา..."

    สุ้มเสียงทุ้มต่ำเจรจาต่อรอง
    จำยอม ร้องขอ "...แล้วฉันจะให้มณี"

    ธานอสเปลี่ยนสีหน้า "อย่าลูกไม้ล่ะ"

    สตีเว่นส่ายหน้าช้าเชื่อง จนใจ จนปัญญา
    โทนี่คอพับคออ่อน มองเขา "อย่า..."

    สตีเว่น สเตรนจ์หลบสายตา ทอดถอนใจ
    มือเรียวยกสูง คลายออก เรียกมณีให้ปรากฏ

    ดวงแก้วมรกตลอยละล่องระเรื่อยเอื่อย

    ทิ้งตัวลงบนฝ่ามือของยักษ์ไททัน
    ถูกประดับลงบนถุงมือเหล็กทรงพลัง

    "ขาดอีกแค่หนึ่ง"

    มันยิ้ม

    ปิ้ว!

    กระสุนจากปืนของสตาร์ลอร์ดพลาดเป้า
    ร่างธานอสวูบหายไปในห้วงประตูอวกาศ

    "นี่เราเพิ่งแพ้งั้นเหรอ!?"

    ไม่มีใครสนใจตอบคำถามนั้น

    โทนี่ยกถุงมือเกราะขึ้นฉีดอนุภาคนาโนเข้าปิดปากแผลฉกรรจ์ตรงชายโครงของตน ก่อนทอดมองจอมเวทย์ปากดีด้วยสายตาเจ็บปวด ผิดหวัง...

    ไม่เข้าใจ

    "ทำอย่างนั้นทำไม?"

    สตีเว่นนิ่งไปอึดใจ ก่อนตอบ

    "ผมหิว"

    นั่นไม่ใช่สิ่งที่คิดจะพูดออกไป

    แต่การอธิบายตรงๆ คงยิ่งยากกว่าเล่นมุกตลกที่ไม่ขำกลบเกลื่อนไปแบบนั้น

    "นายไม่ได้เพิ่งเมินคำถามฉันและบ่นกับสายลมแสงแดดเรื่อยเปื่อยใช่ไหม บอกฉันทีว่าไม่ใช่ แล้วจะไม่ถือโทษ—"
    "ผมตอบคำถามคุณอยู่ โทนี่" เสียงทุ้มลึกอธิบายราบเรียบ 

    "แค่คิดไว้ว่าคุณอาจตอบแทนด้วยการเลี้ยงข้าวผมสักมื้อ ดินเนอร์หรูใต้แสงเทียนก็ยิ่งดี"
    "นั่นสินะ" โทนี่พึมพำ เกือบประชด "แม้แต่พ่อมดก็ยังต้องกิน"

    อีกฝ่ายขยับตัว เปลี่ยนท่านั่ง
    ครวญฮึมฮัมในลำคอ

    "โอเคหรือเปล่า" สตีเว่นเหลือบมองแผลตรงสีข้างเจ้าตัว ซึ่งปฐมพยาบาลไว้เพียงลวกๆ
    โทนี่นิ่ง รู้ตัวช้าไปเสี้ยวจิต ก้มมอง "นี่เหรอ?"

    จอมเวทย์พยักหน้า
    ผมช่อเล็กร่วงปรกตกลงมา

    รู้สึกได้ว่านัยน์ตาหวานมองตามความพลิ้วไหวน้อยๆ นั้น เขายังคงรอคำตอบแต่อีกคนก็ยังเงียบงัน มือเล็กยกแตะปากแผล สภาพเปื้อนเปรอะของมันอัญเชิญมือเรียวยาวให้เอื้อมไปปัดออกทันควัน กีดกันหนทางเข้าสู่ร่างกายคนเจ็บของเหล่าเชื้อโรค

    "..." โทนี่มองค้อน แต่ไม่ว่าอะไร 
    เผยอเรียวปากตอบคำถาม "ไม่น่าหนักใจเท่าอนาคตของทั้งจักรวาลในตอนนี้หรอก"

    เป็นเขาเองบ้างที่เงียบไป

    "ทำอย่างนั้นทำไม..."
    "คุณถามผมสองรอบแล้ว"
    "และฉันก็ยังไม่ได้คำตอบดีๆ เลยสักรอบเดียว..."

    ช่วยชีวิตคุณไว้ทำไมงั้นหรือ?

    ทั้งที่ประกาศกร้าวไว้เองแท้ๆ จะเลือกมณีนั่น
    ทั้งที่เหมือนสัญญาไว้แล้ว จะไม่ช่วยชีวิตกัน

    "ทำไมไม่เลิกถามไปซะล่ะ"

    เพราะหมากกระดานนี้กว้างใหญ่เกินจะสรุปบอกได้สั้นๆ? เพราะบางครั้งเราต้องยอมแพ้ศึกเพื่อชนะสงคราม? เพราะสัญชาตญาณคนเป็นหมอต้องช่วยชีวิตคน มิใช่ปล่อยให้ตายไปต่อหน้า? อาจเป็นได้ทุกอย่าง อย่างละนิดละหน่อยผสมรวมผสานกันจนบีบบังคับให้เขาไม่มีทางเลือก 

    แต่เอาเข้าจริงเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
    หากเป็นคนอื่น...จะยอมง่ายดายเท่านี้รึเปล่า

    ทำไมต้องโทนี่?

    เพราะความเป็นไปได้ทั้งหมดที่เขาเห็น...หรือ? เพราะไม่ว่าพยายามดิ้นรนหาหนทางเอาชนะยังไงก็ต้องแพ้อยู่ดี...รึเปล่า? เพราะกว่าสิบสี่ล้านหกร้อยสี่หนทาง ไม่ว่าใจแข็งปล่อยให้โทนี่ตายเพื่อรักษามณี หรือพยายามปกป้องทั้งสองสิ่งเอาไว้ ผลลัพธ์ก็ออกมาโหดร้ายรุนแรงเท่าๆ กัน คือโทนี่ตาย และทุกคนพ่ายแพ้...ใช่ไหม

    เพราะโทนี่คือกุญแจ...?

    กุญแจแห่งชัยชนะของจักรวาล...เหนือธานอส
    กุญแจแห่งอนาคตอันสวยงามของพวกเขา

    หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ สั้นๆ

    เขาเห็นมา 'พอแล้ว'

    ภาพในโลกอนาคตคู่ขนานที่ไปเจอมันเกินพอ
    เขาทนเห็นโทนี่ตายไม่ได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว

    "รู้อะไรไหม ช่างหัวมันเถอะ"
    "กำลังจะแนะนำอย่างนั้น" ตอบกลับรวดเร็ว
    "ว่าแต่ ไอ้ความเป็นไปได้หนึ่งในสิบสี่ล้านนั่นน่ะ—"
    "สิบสี่ล้านหกร้อยห้า" สตีเว่นแก้
    "เออ" โทนี่กลอกตา "เราชนะแล้วยังไง โลกสงบสุข ฉันกับเพ็พเพอร์มีลูกด้วยกัน ฉันกลายเป็นป๊ะป๋าที่มีความสุขที่สุดในโลกอะไรงี้รึเปล่า นายเห็นอะไร"
    "คุณไม่ได้มีลูกกับเพ็พเพอร์"
    "งั้นก็แย่มาก แล้วเห็นอะไร"
    "คุณจะยังได้เป็นพ่อคนอยู่ดี" สเตรนจ์กระแอมเบาๆ "ผมก็เหมือนกัน"
    "เยี่ยม ลูกๆ เราไปโรงเรียนเดียวกันไหมล่ะ"

    พยายามเก็บสีหน้า แต่มุมปากก็ยังเปื้อนยิ้ม
    แผ่วบาง เลือนราง จางหายไปรวดเร็ว

    "อะไร"
    "เปล่า"
    "อะ-ไร"
    "เราเลี้ยงเด็กคนนั้นด้วยกัน และเขาจะกลายเป็นฮีโร่ที่ทุกคนรักที่สุด"
    "นายหมายถึง—" 
    "พีท ใช่"
    "แล้ว ด้วยกัน? อะไรคือ 'ด้วยกัน'?"
    "คุณกับผม...ก็นั่นแหละ ผมหมายถึง เรา..."

    เขาวาดมือไปทั่วเหมือนจะร่ายมนตรา
    ความสัมพันธ์พวกเขาในอนาคตซับซ้อนจริงๆ

    โทนี่มองอย่างไม่เชื่อ "นี่มันเริ่มน่ากลัวขึ้นทีละนิดแล้วนะ"
    "ผมรู้" สตีเว่นยักไหล่ "แต่มันสวยงาม...จนผมเองก็อยากเชื่อหมดใจ โทนี่"

    ถ้ามันอาจมีแค่หนึ่งความเป็นไปได้เท่านั้น แค่หนทางเดียวที่จักรวาลจะรอดพ้นภัย ทุกคนกลับมามีความสุข พวกเรามีความสุข และมันเป็นหนทางเดียวที่เราได้อยู่ด้วยกัน...

    ผมก็เลือกจะเชื่อแบบนั้น

    และผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะกลายมาเป็นภาพความจริงของเรา

    โลกของเรา...ชีวิตของเรา

    "อย่าทำเสียงแบบนั้นใส่ฉัน"

    เขาเผลอทำเสียง...

    "...แบบไหน?"
    "ก็แบบนั้นน่ะ แบบนั้น"
    ถอนหายใจผะแผ่ว "โทนี่ นั่นคุณไม่ได้พยายามอธิบายเลย ผมจะไปเข้าใจได้ยังไง"

    แต่ความจริงลึกๆ ข้างในเขา 'อาจ' แอบรู้ตัว
    เผลอไป...ใช้เสียงที่เขาในอนาคตใช้กับโทนี่

    "เรียกสตาร์คเถอะ ขอละ"

    ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ สตีเว่นทำแค่มอง
    จ้องมอง...คนที่อาจกลายเป็นคนรักของตน

    หากว่าเราไปถึงวันนั้น...
    หากว่า 'คุณ' ไปถึง


    "แล้ว...กว่าจะถึงวันนั้น ต้องแลกมาด้วยอะไร"
    "..."

    เป็นอีกครั้งที่สตีเว่นอมพะนำ เสียงทุ้มลึกชวนฝันนั้นไม่ได้ไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาอย่างที่อีกฝ่ายอยากได้ยิน แต่โทนี่รู้สึกถึงคำตอบกลายๆ ในดวงตาอันเฉิดฉายคมคายนั่น ขณะเจ้าตัวทำได้เพียงกระซิบกับตนเองอยู่ในใจ

    ทุกอย่าง...

    แทบทุกคน

    ความเงียบงันทรมานใจคนเก่งนัก
    โทนี่ทนไม่ไหว ทลายมันลง

    "ถามไกลไปนึกไม่ทันหรือไง งั้นเอาใกล้ๆ นี่ก็ได้ อีกสองสามนาทีจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นรู้ไหม พ่อหมอ"
    "รู้"
    "อะไ—"

    จูบ
    นั่นแหละสิ่งที่เกิดขึ้น

    ตั้งแต่เห็นภาพโอกาสนั้น ก็อดคิดไม่ได้เลย
    ความรู้สึกจริงๆ จะเป็นยังไง...?

    สตีเว่น สเตรนจ์จู่โจมยิ่งกว่าสายฟ้า ไม่เผื่อเวลาให้ตั้งตัว ริมฝีปากอบอุ่นรุกหนักไม่ออมชอม แต่ยังแฝงความทะนุถนอมที่หลอมละลายหัวใจให้ไหวยวบลงง่ายดาย

    ริมฝีปากเป็นอิสระ นัยน์ตาหวานจ้องค้าง

    อัญมณีสีเข้มทอประกายงดงามยิ่งกว่าอินฟินิตี้ สโตนเม็ดใดๆ ในความคิดของสตีเว่น

    "ทำอย่างนั้นทำไม"
    "คุณถามผมด้วยคำนั้นรอบที่สามแล้วนะ"
    "และนายก็ยังไม่เคยตอบดีๆ สักครั้ง!"
    "ผมไม่ได้พูดก็จริง แต่สาธิตแล้วไง"
    "เดี๋ยวนะ สาธิต?"
    "ใช่ และตอนนี้แหละที่มันจะเกิดขึ้นจริง"

    เขาขโมยจูบโทนี่ สตาร์คเป็นครั้งที่สอง

    หรือต้องนับว่าเป็นจูบจริงๆ ครั้งแรก? เพราะครั้งก่อนหน้านั้นเขาเพียงแค่สาธิตเพื่อตอบคำถามถึงอนาคต? เขาไม่สนใจ รู้แต่ว่ามันให้ความรู้สึกที่ดีกว่าแค่มองผ่านมิติคู่ขนานแห่งความเป็นไปได้หลายเท่าตัว

    "อือ..."

    บรรดานิ้วเรียวยาวรองรับท้ายทอยทุยไว้อย่างนุ่มนวล ให้โทนี่รู้สึกราวกำลังหนุนปุยเมฆ ยิ่งอีกฝ่ายแหงนคอด้วยเผลอไผล เขายิ่งรุกไล่ล่วงล้ำลึกเข้าไปในโพรงปากนุ่ม จังหวะของสตีเว่นเนิบช้า อ้อยอิ่งทิ้งความละเมียดละไมให้โรยตัวลงมา เพียงไม่นานคนแอบอิงพิงอ้อมแขนแกร่งไม่รู้ตัวก็เผลอใจ

    ทว่าคนเริ่มก่อนกลับเป็นฝ่ายหยุด
    ปลายนิ้วสวยจรดปรามคนติดลมไว้

    รสชาติหอมหวานยังติดตรึงทั่วริมฝีปาก

    "ให้ตายสิ" โทนี่สบถเบาๆ "นายมาทำตัวแปลกๆ แบบนี้ทำไม สเตรนจ์"

    "เพราะ..." เกริ่นด้วยเสียงลึกต่ำในลำคอ

    "ผมอยากให้คุณใจเย็น ผ่อนคลาย และ..."
    "จูบของนายไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอย่างว่านั่นเลย"

    ถ้าอย่างนั้นคุณรู้สึกแบบไหนกัน?
    คลั่งไคล้...ใจเต้นแรงเหมือนผมรึเปล่า?


    "ชู่ววว..."

    สตีเว่นปรามให้เงียบ โทนี่ก็เงียบ
    ฟัง "และรู้สึกดีที่สุด ก่อนจะต้องรับมือกับเรื่องราวต่อจากนี้ โทนี่"
    "นายหมายถึงอะไร"

    อีกครั้ง...ไม่มีคำตอบตรงๆ จะให้

    "แค่...จำไว้อย่าง จำไว้ว่าความเป็นไปได้หนึ่งเดียวนั้น เราลงเอยกันยังไง..."

    ช่วงชีวิตอันแสนงดงาม
    ที่ผมแอบกาลเวลามาเล่า

    โปรดจำเอาไว้

    และเชื่อในวันนั้น
    ...เชื่อในตัวผมได้ไหม?

    "เพื่อให้คุณยังมีหวังต่อไป...โทนี่"

    แม้จะต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย
    แม้ว่าผมต้องหายไป

    แม้เกือบทุกคนจะหายไป

    แต่คุณต้องสู้ต่อ
    เพื่อวันนั้น

    "สตีเว่น..."

    คนตัวเล็กกว่าเรียก ใจไม่ดีนัก บอกได้เลยจากน้ำเสียง เจ้าตัวค่อยๆ ผุดลุกขึ้นยืน สายตากวาดไกวไปรอบบริเวณอย่างหวาดระแวง ภาพตรงหน้าแตกตัวเป็นเหลี่ยมมุมเหมือนกระจก ก่อนสลายรูปร่างร่วงกราวเกลื่อนอากาศ โทนี่มองเห็นทุกคน ทุกคนกลับมามองเห็นโทนี่

    สตีเว่น สเตรนจ์ยังคงนั่งอยู่จุดเดิมหลังถอนทำลายมิติกระจก 

    ความรู้สึกวูบโหวงที่อาจเรียกได้ว่าลางสังหรณ์คืบคลานเข้าสั่นหัวใจโทนี่

    "บางอย่างกำลังเกิดขึ้น..."

    ทุกอย่างหลังจากนั้นชวนสับสน แต่แจ่มชัด อยากลืม แต่กลับต้องจำ น้ำเสียงเครือสั่นหวาดกลัวของเจ้าแมงมุมน้อยผู้สัมผัสได้ถึงลางร้ายก่อนใครฉีกกระชากหัวใจโทนี่เป็นชิ้น น้ำหนักอ้อมกอดของพีทยังถ่วงความรู้สึกเจ้าตัวให้จมดิ่งอยู่แสนนาน แม้หลังจากเด็กหนุ่มแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านผงธุลี พวกเขาต่างทยอยล่องลอยหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน

    โทนี่สิ้นไร้เรี่ยวแรงทรุดตัวลงนั่ง มือเปื้อนเลือดกรังๆ เปรอะเศษดินที่รองรับน้ำหนักของพาร์คเกอร์เอาไว้ในนาทีสุดท้าย

    ใครก็ตามที่ปกป้องมณีดวงสุดท้ายไว้คงแพ้
    ทั้งจักรวาลแพ้

    สายตาเจ็บปวดอ้างว้างทั้งไม่เข้าใจทอดมองตัวเขาคนที่บอกว่าโอกาสชนะมีเพียงหนึ่ง

    โอกาสนั้นถูกเป่าปลิวไปแล้วงั้นหรือ?

    "โทนี่...ตอนนั้นมันไม่มีทางอื่น"

    เสียงสุดท้ายที่ยังพอเปล่งได้เอ่ยถ้อยคำนั้น

    และมันไม่มีทางใดดีกว่านี้...ผมขอโทษ
    เพื่อให้อนาคตยังเดินต่อ ผมจำต้องจากไป

    โดยรวดเร็ว ธุลีสีหม่นป่นเป็นริ้วสลาย

    แต่ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร
    ให้ความหวังจากผมโอบกอดคุณไว้

    แล้วคุณจะไม่เป็นไร

    เพราะสักวันผมจะมอบความรักนั้นให้กับคุณ

    แม้ดวงจิตของผมจะสลายไปอยู่ ณ ที่แห่งใด
    ผมก็ยังจะเฝ้าอธิษฐานให้ความรักนี้เป็นจริง

    ความรักที่ผมเลือกจะเชื่อ...ว่าสักวันมันจะเกิด

    ความรักของเรา









    FIN.









    Previous in the series: [OS] Possibility

    ___

    (มีปัญหากับ User เก่านิดหน่อย ย้ายมาจากที่นี่ คนแต่งเดียวกันจ้ะ)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in