เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
FIC: STRANGEIRONhoramiji
[SF] Possibility 1,770,529 (again)
  • Title: Possibility 1,770,529 (again)
    Fandom: Marvel's The Avengers
    Event: Infinity War
    Pairing: Stephen Strange x Tony Stark
    Warning: เปิดเผยเนื้อหาใน Avengers: Infinity War ต้องดูหนังก่อนอ่านน้า <3
    Continuity: นี่เป็นภาคต่อของ [OS] Possibility และ 
    Theme Song: All out of Love - Air Supply (เชิญรับฟังประกอบเพื่ออรรถรส) 

    .
    .

    "คุณทำแบบนี้อีกแล้ว"

    คนฟังนั่งไขว่ห้าง ไหล่ตก ตาหลุบต่ำมองผ้าปูโต๊ะ ทุกรายละเอียดดูสมบูรณ์แบบเกินไปจนน่าหงุดหงิด เรียบเกินไป ประณีตเกินไป ขาวเกินไป... ไวเท่าความคิด ล้วงลงไปในแก้วไวน์ข้างมือ ตวัดเอาของเหลวสีเลือดติดนิ้วซนๆ ขึ้นมา วาดเส้นโค้งลงไปบนพื้นที่สะอาดสะอ้านของผืนผ้าบริเวณข้างจานอาหาร

    "โทนี่"

    เสียงดุๆ ดังขึ้นเล็กน้อย
    นิ้วมือนั้นหยุดชะงัก

    "โทษที ฉันทำ...อะไร?"
    "ขู่จะทิ้งผม"
    เจ้าตัวเม้มปาก "ฉันไม่ได้ขู่ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ การที่ฉันบอกว่าจะไม่มาหานายอีก มันแปลว่าฉันขู่อะไรนายได้ยังไง"
    "คุณรู้ว่าตัวเองหมายถึงอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณ—"
    "ทำตัวงี่เง่า?"
    ถอนหายใจ "...บอกจะทิ้งผม จะไม่มาที่นี่อีก ออกจากบ้านไปกลางดึก แต่สุดท้ายก็กลับมาขดตัวอยู่ข้างผมเหมือนเดิม เหมือนทุกเช้า หยุดทำตัวแบบนี้สักทีได้ไหม"

    อย่างอแง มันไม่ดี ไม่น่ารัก

    ปล่อยกระแสเสียงอันเคยคุ้นไหลรื่นผ่านหู
    จิ้มไวน์ จรดนิ้ว วาดเส้นโค้งอีกเส้น

    ประกับกับเส้นเก่า...กลายเป็นรูปหัวใจ

    "ถ้าคุณเห็นนี่เป็นเรื่องเล่นๆ ก็พอเถอะ"
    "..."
    "อย่ารักกันเลยดีกว่า"

    คนตัวเล็กเกือบหัวเราะ 
    แต่ยั้งไว้

    "รักเหรอ..."
    "..."
    "ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเราใช้คำนั้นได้หรือเปล่า"
    นัยน์ตาคมตวัดมอง "คุณหมายความว่ายังไง"
    "นายรู้ว่าฉันหมายความว่าไง สตีเว่น สเตรนจ์ ฉันขออะไรนายมากไปเหรอ ถามจริงๆ ที่ผ่านมาน่ะ..."

    ก็แค่อยากได้ยิน
    คำสั้นๆ คำเดียวเท่านั้น

    "..."

    บ่ายเบี่ยงตลอดมา เพราะคิดว่าไม่จำเป็น

    เพราะคิดว่าพูดแทนทุกคำ...ทุกความรู้สึกด้วยการกระทำหมดแล้ว ดูแลทุกอย่าง ยอมตามใจทั้งที่เกิดมาไม่เคยยอมให้ใคร แต่โทนี่ก็ยังต้องการจะฟังเพื่อยืนยัน ไม่ได้ดั่งใจก็กลับพาลขู่จะทิ้ง จะเลิกกัน เรียกร้องความสนใจ กลายเป็นเด็กไม่ยอมโตในร่างผู้ใหญ่ เขาไม่เคยเข้าใจ...

    ก็เหมือนผู้ชายที่ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงจึงอยากได้ช่อดอกไม้ในวันสำคัญต่างๆ

    สักวันมันต้องเหี่ยวแห้งโรยรา หมดค่า
    ได้ชื่นชิดเชยชมเพียงชั่วคราว คุ้มตรงไหน

    ทำไมต้องอยากได้ขนาดนั้น

    "ทำไมทั้งหมดที่ผมทำมันถึงยังไม่พอ"
    "ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายรู้สึกอย่างที่ทำ หมายความอย่างที่ฉันคิด?"
    "ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมกำลังบอกอยู่นี่ไง"
    "งั้นทำไมแค่พูดในสิ่งที่รู้สึกออกมามันถึงได้ยากนัก"

    ไม่เข้าใจ

    "เคยคิดไหมว่ามันอาจเป็นเพราะนายไม่ได้รู้สึกจริงๆ ก็ได้"
    "โทนี่—"
    "รู้อะไรไหม..."

    เอ่ยขัด ใช้นิ้วเปื้อนไวน์แตะริมฝีปาก
    เหลือเรื่องราวจะเอ่ยเพียงสั้นๆ

    "...นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันอาจเป็นครั้งสุดท้าย"
    "คุณไม่รู้เรื่องนั้น"
    "ใช่ และนายก็ไม่มีวันรู้เหมือนกัน..."

    โทนี่ขีดเขียนเส้นอีกเส้นลงบนโต๊ะ
    มันซิกแซกลงมา...ผ่ากลางรูปหัวใจ

    ลุกขึ้นยืน กลัดกระดุมเสื้อสูทกลับคืนรัง
    โยนผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะ พึมพำผะแผ่ว

    คล้ายไม่ต้องการให้อีกฝ่ายได้ยิน...

    หัวใจ...ที่แตกสลาย

    "ฉันมันโง่เองที่มาหลงรักคนอย่างนาย"

    โทนี่ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร
    ไม่รับฟังเสียงทุ้มที่เคยชอบนักหนา

    เดินจากไป

    ทิ้งสตีเว่นไว้ใต้ชายคาบ้านที่เคยอยู่ด้วยกัน
    แต่บ้านจะยังเป็นบ้านได้ยังไงหากไม่มีเรา?

    ตัวผมจะยังมีความหมายได้ยังไงหากไม่มีคุณ

    เขาไม่ได้กังวลขึ้นมาโดยพลันในตอนนั้น
    แต่ความรู้สึกค่อยๆ ซึมราวหยดไวน์เปื้อนผ้า

    "เยี่ยม..."

    เสียงทุ้มต่ำประชดประชันตัวเองในลำคอ เริ่มเก็บโต๊ะอาหารอย่างไม่รีบร้อน ไม่มีอะไรต้องทำอีกในคืนนี้ เขาฝากหว่องเฝ้าแซงทั่มเพื่อมาดินเนอร์ใต้แสงเทียนในโอกาสครบรอบปีที่คบกัน ไม่มีตำราใดต้องอ่าน ไม่มีธุระอื่น เท่าที่ต้องทำหลังจากนี้คือเข้านอน หลับฝัน และตื่นขึ้นมาเพื่อพบร่างเล็กๆ กลับมาซุกอ้อมอกซึมซับไออุ่นเหมือนทุกครั้ง เป็นสัญญาณว่าเลิกงอนไปเองโดยปริยายเหมือนทุกที

    มันง่ายดายอย่างนั้นจนชาชิน
    จนเขาเก่งรับมือกับการบอกลามากเกินไป

    สตีเว่น สเตรนจ์ไม่เคยคิด
    ไม่มีแม้แต่วูบหนึ่งที่เอะใจ

    ว่าตอนนั้น...

    อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ

    .
    .

    โทนี่ไม่กลับมา

    ราวเมฆหมอกขุ่นมัวบดบังความรู้สึก มันน่างุนงง พิศวง แปลกประหลาด สับสนจนเหมือนฝันร้ายเพียงตื่นหนึ่งด้วยซ้ำ เขาพลิกตัว หลับตา ก่อนลืมตาอีกครั้ง เผื่อจะปลุกตัวเองขึ้นมาพบความจริงได้ ความจริง...ที่คนตัวเล็กจะกลับมานอนเคียงข้างกัน

    ความจริงที่ได้แปรเปลี่ยนเป็นความฝัน
    ตอนนี้เขาได้แต่ฝันว่าเจ้าตัวจะยังอยู่

    ไม่อยากเชื่อ

    และลึกสุดใจยังคงหวัง...โทนี่จะกลับมา
    แค่ต้องรอเวลา...รออีกสักหน่อย

    ไม่เช้าก็สาย ไม่สายก็บ่าย หรือว่าเย็น
    ไม่เคยหนีไปไหนได้เกินวันสองวันหรอก

    "อย่าให้รู้ว่าไปแอบร้องไห้อยู่ที่ไหนนะ จะตีให้ตาย..."

    สตีเว่นบ่นพึมพำกับตนเอง ยันตัวขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ห้องนอนด้วยแววตาเหม่อลอย กลิ่นอายความทรงจำที่เคยมีในนี้รุนแรงกว่าทุกวัน ภาพรอยยิ้มแห่งความสุข แววตารักใคร่ รสจูบแสนหวาน เสียงพูดคุย ทะเลาะเบาะแว้ง เสียงลมหายใจ... ทุกอย่างสะท้อนก้องไปมาซ้ำๆ ถาโถมทะลักทลายจนน่าโมโห

    หยุดคิดสักที
    ให้ตายเถอะ
    เงียบนะ

    เขาสั่งตัวเอง 

    ถอนหายใจ เหยียดร่างสูงขึ้น เก็บที่นอนเหมือนทุกวัน แน่ละมันเป็นหน้าที่เขา 'ฉันสร้างบ้านให้เรา แล้วยังต้องคอยจัดเตียงหลังตื่นนอนอีกเหรอ' โทนี่เคยบ่นไว้อย่างนั้น แซวทั้งรู้ว่าต่อให้ไม่เอาเรื่องเงินมาอ้าง คนมีระเบียบในชีวิตมากกว่าอย่างเขาก็ต้องเป็นฝ่ายทำมันอยู่ดี ต่อให้รายนั้นมักจะตื่นทีหลังเป็นประจำ สตีเว่นก็ต้องมาตามจัดแจงให้

    โทนี่ตื่นไม่ค่อยเป็นเวลา ขึ้นกับว่านอนเมื่อไร

    พ่อมหาเศรษฐีมีแล็บส่วนตัวอยู่สองชั้นบนสุดของอาคารเอาไว้เป็นเหมือนสนามเด็กเล่น เพราะฉะนั้นดึกดื่นเที่ยงคืนโทนี่ก็ยังทดลองทำอะไรเสียงดังตึงตังพังทลายอยู่บ่อยๆ เขาไม่เคยว่าหากเจ้าตัวจะนอนดึก แต่เรื่องเสียงน่ะควรลดลงและเกรงใจเพื่อนบ้านบ้าง ต่อมาคนถูกดุจึงประชดประชันด้วยการติดกระจกกันเสียงทั้งชั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี

    "อย่าเพิ่ง..."

    เจ้าผ้าคลุมที่ลอยละล่องเข้าใกล้หยุดชะงัก
    ส่วนคอปกหงอยลงเพราะเจ้านายไม่ต้องการ

    ไม่ได้อยากให้มันเสียใจ...
    แต่ตอนนี้บ่าช่างหนักเกินกว่าจะรับอะไรเพิ่ม

    ผ้าคลุมน้อยกลอยใจเคลื่อนตัวออกห่าง และลอยผ่านหน้าต่างกลับแซงทั่มไป ใช่... 'บ้าน' ของพวกเขาสองคนอยู่ติดกับแซงทั่ม เพื่อให้เขาไปกลับระหว่างสองที่ได้ตลอดเวลา เป็นผลพวงหลังตกลงกันไม่ได้ เพราะไม่ว่ายังไงสตีเว่นก็ไม่ยอมย้ายไปอยู่บ้านโทนี่ หรือตึกอเวนเจอร์ส ด้วยติดภาระหน้าที่ในการคุ้มกันแซงทั่มแห่งนิวยอร์ก เจ้าตัวเคยเสนอทีเล่นทีจริงว่าจะตัดปัญหาโดยยอมย้ายมาอยู่แซงทั่มด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้ามาอยู่ก็ได้

    'เหมือนมีแฟนเป็นยามเลย อยู่เวรตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่เขามีโอทีให้หรือเปล่า ว่าแต่ใครเป็นนายจ้างนะ ทวนชื่อมาอีกทีซิ'

    นั่นแหละที่พ่อตัวดีบ่นเอาไว้

    สุดท้ายโทนี่ สตาร์คก็จัดการทุกอย่างตามสไตล์โทนี่ สตาร์ค ใช้เงินแก้ปัญหา ซื้อตึกข้างแซงทั่มมาทุบ สร้างอาคารสูงแปดชั้น มีสระว่ายน้ำบนดาดฟ้า แล็บส่วนตัวในสองชั้นถัดลงมา ตามด้วยชั้นโรงภาพยนตร์ ชั้นฟิตเนสและสนามกีฬา ชั้นของครัวและห้องรับประทานอาหาร ชั้นห้องนอน ชั้นห้องสมุดสำหรับเขาโดยเฉพาะ ไล่ลงมาถึงล่างสุดก็ชั้นรับแขก ซึ่งไม่ค่อยมีใครมาหรอก นอกจากพวกในทีมอเวนเจอร์สด้วยกันเท่านั้นที่รู้ อ้อ... แต่เจ้าหนูแมงมุมน่ะขาประจำของชั้นโรงหนังเลย เข้าออกได้อย่างกับเป็นบ้านอีกหลังซะอย่างนั้น

    สตีเว่น สเตรนจ์นั่งลงบนเตียงที่เพิ่งจัด

    คิดแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน
    ใครจะนึกว่าพวกเขาจะมาได้ไกลถึงตอนนี้

    ยังจำความรู้สึกคราวนั่งฟังโทนี่เปรยเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยกันครั้งแรกได้ดีอยู่เลยด้วยซ้ำ จำสีหน้าดีใจเมื่อเห็นเขามีท่าทีสนใจในไอเดียที่ว่าได้ คนรอบข้างน่ะเหรอ? ไม่มีใครคิดหรอกว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้อย่างนี้ แปลกใจตั้งแต่เปิดตัวว่าคบกันจริงจังแล้ว ทุกคนก็เห็นว่าเถียงกันอยู่ทุกวัน คงสงสัยว่าเอาเวลาไปรักกันตอนไหน

    ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้ความหวังผูกมัดโทนี่เอาไว้

    ไม่มีใครรู้ว่าชายผู้เห็นความเป็นไปได้สิบสี่ล้านหนทางเห็นอะไรในอนาคตอันสดใสหนึ่งเดียวนั้น เขาวางหมากดักทางธานอส รักษาตัวแปรสำคัญอย่างโทนี่ไว้บนกระดานเพื่อให้มั่นใจว่าจนถึงก้าวสุดท้าย พวกเขาจะเป็นฝ่ายรุกฆาต ต่อให้ตัวเขาจะไม่อยู่คุมเกม และนอกเหนือจากนั้น...สตีเว่นสัญญากับตัวเองไว้ จากภาพความเป็นไปอันแสนงดงามที่ได้เห็น

    สักวันเขาจะมอบความรักให้กับโทนี่
    สักวันเมื่อเราชนะ และเขาได้กลับมา

    เขากลับมาแล้ว มอบความรักให้อีกฝ่ายแล้ว
    แต่กลับปล่อยให้ความรักหลุดมือลอยหายไป

    คำคำเดียวมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง?

    แปะ

    เสียงดังคล้ายฝ่ามือหรือเท้าประกบแนบกระจกหน้าต่าง สตีเว่นขมวดคิ้ว หันขวับ

    "โทนี่?"

    ไม่ใช่หรอก...แต่ถ้างั้นใคร?

    เขาลุกไปดู ทันเห็นเพียงสีแดงและน้ำเงินไวๆ วูบผ่านขึ้นไปข้างบน เปิดหน้าต่างจนสุดความกว้าง เอนตัวออกไปมองร่างนั้น

    "พาร์คเกอร์"
    "คุณหมอ หวัดดีฮะ" เจ้าแมงมุมยิ้มแห้ง
    "ทำไมไม่ใช้ประตูหน้า แบบนี้มันน่าตกใจไม่รู้หรือไง ฉันนึกว่าโจรที่ไหน..."
    "ผม—"
    "ลงมาคุยกันดีๆ ก่อน"

    พีทโรยตัวลงมาด้วยเส้นใยยืดยาว
    สตีเว่นยืนกอดอกมอง สายตาเคร่งขรึม

    "ถอดหน้ากากออกด้วย"
    "โอ๊ะ ขอโทษฮะ"

    เจ้าตัวรีบเปิดหน้า ละล่ำละลัก "คือ...คุณก็รู้ว่าโรงหนังอยู่ชั้นหก ผมเข้าทางนี้เร็วกว่าน่ะ แล้วปกติเวลาคุณสตาร์คอยู่ผมก็มาแบบนี้ประจำ เพราะเขาไม่อยากให้ผมผ่านขึ้นมาจากข้างล่าง หรือไปวุ่นวายชั้นอื่น เดี๋ยวมันจะรบกวนคุณ..."

    เดี๋ยวมันจะรบกวนเขา?
    โทนี่...โทนี่...

    เพราะอย่างนั้นใช่ไหมเขาถึงไม่เคยรู้ว่าเด็กนี่โผล่มาตอนไหน จะรู้ว่ามาก็ต่อเมื่อโทนี่ชวนให้อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันเท่านั้น เพราะเวลาส่วนใหญ่เขามักหมกตัวอยู่ในห้องสมุดหรือชั้นอื่นล่างๆ บ้าง และไม่ว่าอย่างไรลิฟต์จะต้องผ่านชั้นที่เขาอยู่ขึ้นไป ยิ่งกว่านั้น หากเจ้าเด็กตรงหน้าซุกซนเถลไถลทั่วบ้านละก็...

    "ผมขอโทษฮะ ถ้าทำให้ตกใจ"

    เสียงเด็กหนุ่มฉุดเขาออกจากภวังค์
    สตีเว่นสั่นศีรษะ โบกมืออนุญาต

    "ไต่ระวังล่ะ"
    "ขอบคุณฮะ!"

    มือเรียวเลื่อนหน้าต่างปิด ล็อค
    จิตใจยังครุ่นคิด วกวนวุ่นวาย

    '...เดี๋ยวมันจะรบกวนคุณ'

    เจ้าตัวอาจเหลวไหลในหลายเรื่อง
    แต่กลับใส่ใจบางเรื่องเป็นพิเศษ

    เช่น เรื่องของเขา

    ไม่ใช่ว่าสตีเว่นไม่รู้
    แต่ดูเหมือนเขายังรู้ไม่มากพอ

    เพราะเช่นกัน, เขาเองที่ใส่ใจหลายๆ เรื่อง
    ก็อาจยังมีบางเรื่องที่ดันไม่ใส่ใจ

    พลาดรายละเอียดหลายๆ อย่าง

    แผ่นหลังกว้างเอนแอบแนบผืนเตียง
    มือเรียวยาวยกขึ้นกุมขมับ
    ริมฝีปากเม้มบาง ใช้ความคิด

    ต้องทำยังไงถึงจะรู้?

    หากหลับตาลง... 
    ความทรงจำจะพาเขากลับไปได้ไหม

    กลับไปรู้สึกถึงคุณ...อีกครั้ง

    .
    .

    อาหารเลิศรสพร่องสลาย
    เหลือเพียงไวน์ชั้นดีให้ลิ้นสัมผัส

    "นึกยังไงถึงชวนผมมาดินเนอร์..."

    สตีเว่นถามคำที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ถาม
    อดไม่ได้ อยากรู้ความเป็นไปในใจนั้น

    "ฉันติดค้างนาย จำไม่ได้หรือไง นายบอกเอง"
    "พูดจริง?"
    "ทำไมต้องไม่จริงล่ะ" โทนี่ยักไหล่ ยกไวน์จิบ

    'ทำอย่างนั้นทำไม'
    'ผมหิว...แค่คิดไว้ว่าคุณอาจตอบแทนด้วยการเลี้ยงข้าวผมสักมื้อ ดินเนอร์หรูใต้แสงเทียนก็ยิ่งดี'
    'นั่นสินะ' โทนี่พึมพำ เกือบประชด 'แม้แต่พ่อมดก็ยังต้องกิน'


    แน่นอนตอนนั้นเขาพูดเล่น ตลกกลบเกลื่อน
    ที่น่าแปลกใจคือคนตรงหน้ากลับจำได้

    โทนี่กวักมือเรียกบริกรมาคิดเงิน และรีบหันกลับมาดักคอ "ไม่ต้องล่ะ บอกแล้วว่าเลี้ยง"
    "ยังไม่เคยคิดแม้แต่วินาทีเดียวเลยว่าจะช่วยจ่าย"
    คนฟังหัวเราะชอบใจ "คิดดี อีกอย่าง นี่มันถูกมากสำหรับราคาค่าตอบแทนที่นายช่วยชีวิตฉัน—"
    "ช่วยจักรวาล" สเตรนจ์แก้
    "ช่วยฉันเพื่อให้ฉันไปช่วยทั้งจักรวาล"
    "ดีขึ้น" เขายิ้ม แวบหนึ่ง

    โทนี่ส่งบัตรเครดิตให้พนักงาน
    รินไวน์ที่เหลือในขวด กระดกหมดแก้ว

    สายตาคมถูกดึงดูดด้วยสีเรื่อเจือจางบนแก้มคนนั่งตรงข้าม นัยน์ตาสวยหวานฉาบคลอด้วยประกายวาวฉ่ำ กลีบปากจิ้มลิ้มชุ่มชื้นและแดงจัดด้วยไวน์ราคาแพง รอยยิ้มซุกซนคลายตัวดันแก้มสองฝั่งออกไปช้าๆ เมื่อเจ้าตัวรู้สึกว่าถูกจ้อง

    "อะไร..."

    น้ำเสียงไม่ได้หงุดหงิด
    ออกจะอารมณ์ดีด้วยซ้ำ

    สตีเว่นกระแอม "คุณดื่มเยอะไปหรือเปล่า..."
    "หืม?" โทนี่หัวเราะเบาๆ "ไม่สักหน่อย ตลกแล้วหมอ แค่นี้—"

    เว้นวรรค รับบัตรเครดิตคืนจากพนักงาน
    หันกลับมาพูดให้จบ "แค่นี้ปกติมากๆ"

    ว่าพลางลุกขึ้นยืน ทรงตัวได้ไม่ตรงนัก
    คนตัวสูงกว่าค่อยๆ ลุกตาม ตายังมองตลอด

    โทนี่เริ่มเดิน สะดุดขาเก้าอี้ในฉับพลัน
    ท่อนแขนแกร่งสอดเข้ารับเอวนั้นทันท่วงที

    "..."

    ไม่หันมอง เอียงคอกระซิบ "ไม่เนียน"
    คนถูกจับได้ยอมรับ "ไม่เนียนจริงๆ"

    กลับมาเดินตัวตรง ออกจากร้าน 

    ประเด็นอยู่ที่ไอ้คนโดนอ่อยน่ะ รู้ทั้งรู้ก็ยังช่วย
    แค่นั้นโทนี่ก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจไปถึงไหนๆ

    ...

    มันเป็นคืนวันศุกร์ ตัวเมืองครึกครื้นแน่นขนัดไม่มีที่จอดรถ โทนี่ทิ้งมินิสปอร์ตคันหรูไว้ห่างออกไปหลายบล็อค มื้อค่ำจึงลงท้ายด้วยสตีเว่นเดินเคียงคู่ไปส่งเขาที่รถ ท่ามกลางบทสนทนาสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยที่ต่างฝ่ายต่างพูดขัดตัดสวนกันไปมา ขาทั้งสองคู่กลับพร้อมใจกันหน่วงจังหวะให้เนิบช้า ถ่วงเวลาให้นานที่สุด

    "แปลว่าคนทั่วไปก็จะไม่เห็นผ้าคลุมของนายเป็นผ้าคลุม เพราะนายร่ายเวทย์ลวงตาไว้ แล้วจะเห็นเป็นอะไร เสื้อโค้ท?"
    "แล้วแต่อารมณ์ จะไม่เห็นเลยก็ได้"

    แต่ทุกอย่างย่อมมีจุดสิ้นสุด
    ค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน

    โทนี่พรมปลายนิ้วลงบนหลังคารถหรูโหลดต่ำ ทิ้งคางอันตกแต่งด้วยเส้นเคราสวยตามลงไป ก่อนพลิกตัวกลับขึ้นมา กอดอก

    มองร่างสูงกว่าที่เพิ่งขยับเข้าใกล้เกินจำเป็น

    "ขอถามให้ชัดอีกทีนะ คืนนี้มันไม่ใช่เดท..."
    "ไม่ใช่" โทนี่ส่ายหน้าทันควัน "มีเหตุผลอะไรให้คิดแบบนั้นด้วยเหรอ"
    สตีเว่นยักไหล่เล็กน้อย "ก็...ไม่น่ามี"
    "แปลว่าเราเข้าใจตรงกันนะ"
    "อืม..."

    ความเงียบแผลงฤทธิ์ชั่วขณะ
    สายตาสองคู่สบประสาน

    โทนี่ขยับก่อน เลิกพิงรถ แต่คนตัวโตกว่ากลับนาบฝ่ามือลงมาบนกระจกหน้าต่าง ขวางกั้นหนทางเคลื่อนย้ายร่างกายของอีกคน กักเจ้าของรถไว้ในกรงแขนข้างหนึ่ง โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงไปใกล้ รินลมหายใจอุ่นๆ รดข้างแก้มเรื่อสี กระซิบเสียงนุ่มทุ้มต่ำ

    "งั้น...ถ้าคราวหน้าล่ะ?"

    โทนี่ผงกศีรษะดุ๊กดิ๊ก "คราวหน้าจะนับก็ได้"

    ว่าเป็นเดทน่ะ...

    ด้วยส่วนสูงอันแตกต่าง ปลายคางของพ่อจอมเวทย์จึงอยู่ในโฟกัสสายตาเขาตลอด ระยะห่างระหว่างริมฝีปากของสตีเว่นกับเขาน้อยลงไปทุกที

    ทุกที...

    แต่ก็มีมารผจญ...จนได้

    นังผ้าคลุมตัวดี โน้มปกลงมาพันปากเจ้านาย
    โทนี่กลอกตามองบน ดันร่างอีกคนออก

    "ไปคุยกับนางให้รู้เรื่องก่อนนะ ไม่งั้นก็เก็บไว้บ้าน เพราะคราวหน้าฉันจะจูบนายแน่"

    สตีเว่นพูดไม่ได้ เจ้าผ้าคลุมยังปิดปาก

    .

    "หยุด"

    โทนี่และสตีเว่นแน่นิ่งไม่ไหวติง
    ทุกสิ่งแวดล้อมไม่เคลื่อนไหว

    'สตีเว่น' ถอดแว่นตาออก ยืนมองภาพจำลองสามมิติของตน โทนี่ รถสปอร์ต และรายละเอียดสถานที่ตรงหน้า ตึกราม พุ่มไม้ เสาไฟ ป้ายบอกทาง สภาพอากาศ แสงสว่าง สายลม ทุกอย่างเหมือนกันกับวันนั้นทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอย่างรวมถึงทุกการกระทำและคำพูดถูกถ่ายทอดด้วยโปรแกรมปรับแก้ภาพจำลองอดีต หรือชื่อย่อว่า 'บาร์ฟ' ที่เจ้าตัวเคยบ่นให้ฟังถึงความเป็นตัวย่อสั้นอันแสนห่วย เพราะมันแปลว่าอ้วก

    โปรแกรมบำบัดจิตใจ —ซึ่งยังอยู่ในขั้นทดลองตลอดมา— ของโทนี่ จะเข้าไปทำงานกับสมองส่วนฮิปโปแคมพัส เพื่อแก้ทุกข์เข็ญจากความทรงจำ เขาไม่เคยยุ่มย่ามกับงานส่วนตัวของคนรัก นอกจากเจ้าตัวจะมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับระบบประสาท จึงไม่เคยรู้เลยว่าเวลาว่างเจ้าตัวบันทึกภาพจำลองความทรงจำของตัวเองไว้มากแค่ไหน และปรับเปลี่ยนมันอย่างไร

    ทุกสิ่งที่เพิ่งรับชมมันเหมือนกับที่เขาจดจำ
    เว้นแต่เพียงความจริงข้อหนึ่ง

    เขาไม่ใช่คนขอ 'เดท' ในคืนนั้น
    โทนี่ถามถึงครั้งหน้า และเขาตกลง

    การที่เจ้าตัวแก้ภาพจำลองไปแบบที่เห็น
    แปลเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเขาทำให้ผิดหวัง

    อีกฝ่ายคาดหวังว่าเขาจะเอ่ยปากขอก่อน
    หากเมื่อไม่เป็นดั่งคิด เจ้าตัวก็ไม่ได้งอแง

    และยอมเป็นฝ่ายพูดเอง

    'งั้นเริ่มนับคราวหน้าแล้วกัน'
    'คราวหน้า?'
    'วันจันทร์ว่างใช่ไหม นายว่างทุกวันแหละ พ่อมดจะต้องมีธุระอะไรมากมาย ทุ่มนึงนะ ร้านเดี๋ยวขอเลือกก่อนแล้วจะบอกอีกที ครั้งหน้าค่อยนับเป็นเดทแรกแล้วกัน อันนี้กินข้าวเฉยๆ'

    เขาจำได้ทุกคำเหมือนเพิ่งฟังไปเมื่อวาน

    ถ้าถามว่าคิดจะขอก่อนไหม แน่นอนว่าคิด
    แต่พูดไม่ทันเพราะปากมันจ้องแต่จะจูบ

    แย่ชะมัด

    และโทนี่ก็ไม่เคยพูดอะไรเรื่องนี้เลย

    สเตรนจ์ลูบหน้าตัวเองช้าๆ นั่งลงตรงมุมห้องแล็บ สวมแว่นตาควบคุมการแสดงผลของโปรแกรมบาร์ฟอีกครั้ง หน้าจอคำสั่งปรากฏขึ้นตรงหน้า 'ดินเนอร์ครั้งแรก' คือชื่อที่อยู่บนสุดของรายการและเขาเพิ่งดูมันไป นิ้วเรียวยาวเลยเลื่อนลงมาใต้นั้น 

    แตะที่คำว่า 'เซ็กซ์ครั้งแรก'

    "..."

    คุณอยากเปลี่ยนอะไรในตอนนั้นกัน?

    .

    ภาพคนสองคนข้างรถสปอร์ตที่จอดอยู่ริมทางเท้าสลายหายไป กลายเป็นห้องโถงใหญ่โตตกแต่งอลังการคลาคล่ำด้วยผู้คน ป้ายเหนือซุ้มประตูโค้งประทับตัวอักษรแสดงความขอบคุณโดดเด่นสะดุดตา มันคืองานเลี้ยงขอบคุณสต๊าฟงานสตาร์ค เอ็กซ์โปที่โทนี่ถูกเพ็พเพอร์ —อดีตคนรักซึ่งยังดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท— ลากไป

    "ปาร์ตี้น่าเบื่อสุดๆ ให้ทะเลาะกับผ้าคลุมลอยได้ยังสนุกกว่าพันเท่า"

    บ่นเสียงเบาใส่หูฟังไร้สาย
    คนโทรมายังจับน้ำเสียงได้

    "นี่ดื่มไปเยอะหรือยัง"
    "ไม่เท่าไร ขับรถกลับบ้านได้น่า หมอ..."
    "ขับไม่ได้"
    "ไหงงั้น"

    โทนี่ทำหน้างง เสียงดังขึ้น บาร์เทนเดอร์ชะงักกึก ต้องทำมือไม้ให้เห็นว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ หมอนั่นจึงค่อยขยับกลับไปชงเหล้าต่อตามเดิม

    "เพราะผมไม่ให้ขับ"
    "น่ารักจัง" 

    พยายามไม่ยิ้ม แต่ไม่สำเร็จ
    รับเหล้าที่บาร์เทนเดอร์เสิร์ฟให้มาจิบ

    "จะน่ารักกว่านี้ถ้ามารับด้วย"
    ปลายสายทำเหมือนไม่ได้ยิน "ขึ้นแท็กซี่แล้วโทรหาผมด้วยล่ะ ให้ผมคุยกับคนขับ จะได้แน่ใจว่า—"
    "มารับหน่อย"
    "คุณขึ้นรถแล้ว..."
    "มารับหน่อย"
    "...จริงๆ"
    "มารับหน่อย ไม่งั้นขับกลับเองแล้วนะ สาม หยิบกุญแจรถแล้ว สอง..."

    เสียงถอนหายใจลอยตามสายมาเข้าหู

    เสียงที่เรียกชื่อเขาจริงจังขึ้น "โทนี่" 
    "โอเค ยอมแพ้ก็ได้ แค่ลองดู เผื่อจะใจอ่อน แต่ก็ไม่ได้หวังสูงขนาด"
    "อยู่ที่ไหน"
    "—คิดว่านายจะมาจริงๆ... เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ว่าไงนะ"
    "อยู่ที่ไหน โรงแรมอะไร"
    มือเล็กวางแก้วเหล้าลงทันที "ถามจริงดิ"
    "อยู่ไหน ผมจะถามเป็นครั้งสุดท้ายนะ ไม่งั้นก็กลับเอง จะขับหรือกลับแท็กซี่ก็แล้วแต่เลย"
    "ใจเย็นๆๆ เอ่อ... อยู่ที่... ที่นี่เรียกอะไรนะ" โทนี่สะกิดบาร์เทนเดอร์

    ซึ่งหันมาตอบงงๆ "โซโห แกรนด์ครับ"
    "ใช่...โซโห แกรนด์ รู้จักรึเปล่า" เขาบอกคนในสาย
    "ลงมารอหน้าโรงแรม"

    กล่าวสั้นและตัดสาย

    โทนี่กลั้นยิ้ม ซดเครื่องดื่มในแก้วรวดเดียวหมด กระโดดลงจากเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ ตรงดิ่งออกจากงานไปที่ลิฟต์ โรงแรมอาจจะสูงเสียดฟ้าเกินไป ลิฟต์ถึงได้เคลื่อนขึ้นมาช้านัก เขาย่นจมูก หายใจแรง ความเงียบด้านนอกโถงจัดงานทำให้โสตประสาทรู้สึกเหมือนเสียงหัวใจเต้นถูกเร่งระดับขึ้นหลายเดซิเบล ไม่รู้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะคนเพิ่งวางสาย...ดันมาทำตัวใจดีเกินเหตุ

    ลิฟต์ส่งเสียง เปิดออก ข้างในว่างเปล่า
    แต่ตัวเขาถูกฉุดเข้าไปในซอกข้างๆ ลิฟต์

    โดยคนที่เพิ่งก้าวผ่านประตูมิติออกมา

    ใบหน้าเล็กปะทะเข้ากับอกกว้าง
    เสียงทุ้มกระซิบเรียบๆ "คุณช้า"

    โทนี่เงยขึ้นสบตาเจ้าของใบหน้าที่อยู่สูงกว่าขึ้นไป ค่อนข้างมั่นใจว่าแก้มของตนร้อนผ่าวเพราะฤทธิ์เหล้า ไม่ได้เมาคนตรงหน้า ส่วนที่กำลังเขย่งเท้าขึ้นไปให้ถึงริมฝีปากหยักสวยนั่นจะเพราะอะไรก็อีกเรื่อง เขาจุ๊บปากสตีเว่นได้สำเร็จ หนึ่งครั้ง เพียงเบาๆ 

    "..."

    เจ้าตัวไม่ได้ว่าอะไร แต่คว้าข้อแขนเล็กที่เลื่อนขึ้นมาโอบรอบลำคอตนไว้ ดันออก วาดมือไม้ร่ายวงแหวนข้ามมิติขึ้นเร็วๆ รุนหลังอีกฝ่ายผ่านไปก่อนและเดินตามเข้าไป ทั้งคู่โผล่มายังห้องนอนอันมืดสนิท เงียบสงัด ในบ้านของโทนี่ 

    พ่อตัวดีทิ้งร่างแผ่หราลงบนเตียงทันที
    และเสียงดุๆ ก็ดังขึ้นทันควัน

    "นอนทั้งอย่างนั้นไม่ได้ โทนี่ ลุกขึ้นมา"
    "ขอบใจที่มาส่งนะหมอ มีอะไรจะไปทำต่อก็ไปเถอะ ไม่รบกวนแล้ว" โทนี่หัวเราะคิกคักกลั้วทั้งประโยค
    สตีเว่นขยับเข้าไปยืนชิดปลายเตียง "อย่างน้อยถ้าจะไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจริงๆ ก็ถอดสูทออกก่อน เร็ว ราคาตั้งแพง รู้จักรักษาของหน่อย นั่นเวอร์ซาเช่ไม่ใช่หรือไง"

    เจ้าตัวก้มมองสูทตัวนอกของตน 

    ผ้าซาติน 
    สีดำสนิท
    ปักลวดลายสไตล์บาโรกสีทองอร่าม

    แล้วก็แพงอย่างที่หมอว่า

    โทนี่เลิกคิ้ว "ไม่ยักรู้ว่าพ่อมดก็สนใจแฟชั่น"

    สตีเว่นไม่โต้กลับ นั่งลงข้างกายคนนอนอยู่
    เอียงคอมองใบหน้าน่ารักใต้รัศมีแสงจันทร์

    แม้ลำแสงสีเงินเจือฟ้าจะสาดไล้ทุกอณู
    แต่กลับรู้สึกได้ว่าแก้มนั้นแดงระเรื่อ

    พลันนั้น นิ้วมือเรียวยาวยื่นออกไปสัมผัส
    เย็น...จนเจ้าของแก้มเกือบสะดุ้ง

    "ถอดเร็ว จะเอาไปแขวนให้ แล้วจะกลับ..."
    โทนี่พลิกตัวนอนตะแคง "กลับเหอะหมอ"
    "..."
    โบกมือไวๆ ให้คนข้างหลัง "ราตรีสวัสดิ์"

    เสียงลมหายใจพรูออกมาเบาๆ จากสตีเว่น เจือจาง...ยากจะบอกได้ว่าเป็นการถอนหายใจหรือพ่นหัวเราะ โทนี่นอนหลับตาแน่นในความเงียบยาวนานต่อจากนั้น กอดอก งอเข่า และเผลอเกร็งโดยไม่ตั้งใจ เพราะแม้ห้องนอนจะเงียบสงัดเพียงใด แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของใครอีกคน

    เฝ้าเก่ง. 
    เป็นพ่อมดหรือเป็นยามเอาดีๆ

    "โทนี่?"
    "..."
    "คุณไม่ได้เมาขนาดจะหลับเร็วแบบนี้ อย่ามาแสดง"

    ร่างเล็กพยายามขดตัวนิ่ง

    แม้แต่ตอนที่สัมผัสวาบหวามประทับลงมาตรงหลังคอ เขาก็ยังอดรนทนนิ่งอยู่ได้ นั่นคือจมูก...ใช่ ปลายจมูกโด่งดุนดันผิวเนื้ออุ่นๆ ของเขาเบาๆ หลังจากนั้นมันก็เริ่มชื้น เพราะริมฝีปากนวลนุ่มทิ้งจุมพิตแผ่วหวานตามลงมา โทนี่ถดคอหนีเล็กน้อย แสร้งทำเหมือนคนละเมอรำคาญยุงที่มาตอมไต่ แต่เรียวปากของสตีเว่นกลับยังไล่รุกตามมาจูบซอกคอเขาซ้ำๆ อยู่ร่ำไป

    "หมอ..." เสียงพร่าพึมพำเชิงปราม ยังเล่นตัว
    คนถูกเรียกยิ้มมุมปาก "ถอดเสื้อออก...เร็ว"
    "ชอบมากเหรอสูทเนี่ย" ยอมพลิกตัวกลับมาคุยด้วยในที่สุด แกล้งประชด "อยากได้? เดี๋ยวพรุ่งนี้ซักแล้วส่งไปให้นะ"
    "ผมชอบสูทของคุณนะ...แต่ตอนนี้คุณไม่ต้องใช้มันอีกแล้ว"

    โทนี่เลิกคิ้ว หรี่ตา "นั่น...มาจากเพลงของบรูโน่ มาร์สรึเปล่า..."
    "เปล่า"
    "Versace On The Floor... ใช่สิ"
    "เปล่า" สเตรนจ์ส่ายหน้า "ผมพูดเอง"
    "ไม่คิดว่างั้นนะ" โทนี่ลุกขึ้นนั่ง
    เจ้าตัวยิ้ม ย้ำคำเดิม "ถอดออกเร็ว" 

    ยื่นมือเรียวออกไปแตะปกเสื้ออีกคนเบาๆ

    "ถอดออกมา...ให้ผม"
    "จะเอาไปแขวน?"

    สตีเว่นจ้องนัยน์ตาหวาน 
    โน้มใบหน้าหล่อไปกระซิบ "...ให้ผม"

    ให้ผมได้มองเห็น 'คุณ'

    ย้ำจูบลงบนซอกคอหอมหวานอีกครั้ง
    กระซิบ...อีกครั้ง "ถอด...เร็ว..."

    โทนี่นั่งเฉย "ไม่ถอด..."
    สตีเว่นกลอกตา "อย่าให้ผมต้องพูดออกมาสิ ว่าผมรู้ว่าคุณจงใจใส่ชุดของเวอร์ซาเช่มาเพื่ออ่อยผมโดยเฉพาะ เพราะคุณรู้ผมชอบฟังเพลงนั้น..."
    "นายเพิ่งพูดออกมา"
    "ก็จริง" เขาเม้มปาก "อ้อ..."

    อุทานเหมือนคนเพิ่งตามทัน

    "คุณอยากให้ผมถอดให้..."
    "บิงโก" โทนี่ยิ้ม "ใช้เวลานานจัง ไม่สมเป็นนายเลย ช้ากว่านี้อีกนิดเดียวจะยอมทำเองแล้— อือ..."

    สตีเว่นปิดปากคนพูดมากด้วยริมฝีปากร้อนรุ่ม ประโลมจุมพิตนุ่มนวลชวนฝันลงไปหน่วงหนัก เจ้าของเรียวปากที่รองรับอ่อนระทวยไปทั้งร่าง สัมผัสยวนเย้าพะเน้าพะนอเรื่อยเอื่อย เนิบช้าทรมานหัวใจ คล้ายเปลวเพลิงที่ค่อยๆ ลามเลียเผาไหม้อย่างไม่รีบร้อน อุ่นไอจากปลายจมูกโด่งเป่ารดข้างแก้มเขาราวกับลมหายใจของมังกร ทุกอย่างร้อนแรงเกินจำเป็นจนโทนี่เต็มใจจะปลดเปลื้องอาภรณ์ทุกชิ้นด้วยตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น

    แต่ใครบางคนไม่ยอมให้ทำ

    มือเรียวยาวคว้าปกเสื้อสูทตัวนอกของเขาได้ก่อน ตวัดมันออกจากหัวไหล่มนด้านขวา บรรจงสอดมือเข้าไปตามช่องแขนเสื้อเพื่อเปลื้องมันออก เรียวลิ้นทั้งสองยังคงเกี่ยวกระหวัดรัดพันกันอยู่ในตอนนั้น ร่างสูงปลดแขนเสื้อข้างหนึ่งได้สำเร็จ มือสวยๆ ที่คาดด้วยแผลเป็นจนโทนี่นึกเสียดายอยู่เสมอเริ่มสอดเข้าไปตามแขนเสื้ออีกข้าง ลากสัมผัสนั้นจากหัวไหล่ เรื่อยระนาบไปกับเรียวแขนเล็ก ค่อยๆ ดันเนื้อผ้าซาตินราคาแพงออกไปอย่างใจเย็น ระหว่างที่ฝ่ามือก็สัมผัสนวลเนื้อใต้เสื้อตัวในของโทนี่ไปด้วย

    สูทเวอร์ซาเช่ที่คนถอดบอกจะแขวนให้ลอยคว้างลงไปกองแทบพื้น

    "...'Versace on the floor'...ของจริง" โทนี่พึมพำ

    นิ้วมือของสตีเว่นเริ่มจัดการกับปราการด่านถัดไป ค่อยๆ เลิกชายเสื้อขึ้นจากเอวเล็กทีละนิด ทั้งคู่ยอมให้ริมฝีปากละจากกันชั่วคราวเมื่อต้องปล่อยเจ้าเสื้อตัวนั้นเคลื่อนผ่านศีรษะโทนี่ เจ้าของแผ่นหลังเปลือยเปล่าถูกผลักให้เอนราบลงกับเตียง แต่เพียงพริบตาก็พลิกตัวกลับขึ้นมานั่งคร่อมตักแกร่ง ก้มลงงับคางอีกฝ่ายเบาๆ เล้าโลมลากไล้รสจูบลงมาตามลำคอขาว ขณะมือซุกซนไล่ปลดกระดุมเสื้อแขนยาวเก่าๆ ของพ่อจอมเวทย์ออกบ้าง

    "ถ้าจะควงกัน ตัวนี้ไม่ผ่านนะ ทิ้งไปเลย"

    ก่อนก้มลงจุมพิตปิดปากคนจะเถียง

    .

    จำได้ เช้าวันนั้น โทนี่เอาเสื้อเขาไปทิ้งจริงๆ
    ทั้งสั่งเชิ้ตแบรนด์หรูเป็นโหลมาส่งไว้ที่แซงทั่ม

    'สตีเว่น' ดูตัวเองกับโทนี่รักกันไปจนจบ
    ก็ยังไม่พบว่ามีรายละเอียดใดเปลี่ยนไป 

    กระทั่ง...

    .

    โทนี่ยื้อจูบแสนหวานไว้จนเสี้ยวนาทีสุดท้าย
    ก่อนร่างสูงจะทิ้งตัวลงนอนข้างกายเขา

    หายใจหอบ เหงื่อผุดพรายทั่วตัวและใบหน้า 

    "ต้องขอบอกเลยนะว่าฉันไม่คิดว่า... คืออันที่จริงก็พอเดาได้ลางๆ จากภายนอกบ้าง นิสัยบ้าง ว่านายคงจะ...นะ แต่ก็ไม่ได้หวังไว้ว่ามัน—"
    "คุณชอบใช่ไหมล่ะ" สตีเว่นตัดบท 
    "ก็...เออ นั่นแหละ"

    งึมงำงุบงิบ

    พอรู้ตัวว่าเผลอยอมรับอะไรออกไปก็เอียงคอซุกหน้าเข้ากับสีข้างคนตัวโตกว่า หัวเราะแก้เขินออกมาเบาๆ ไล่เลี่ยกันกับเสียงหัวเราะเอ็นดูของอีกคน สตีเว่นวาดแขนอ้อมโอบ รวบร่างเล็กเข้ามากอดไว้ โทนี่หยุดขำตัวเองได้แล้วก็เงยหน้ามองเจ้าของเคราทรงเดียวกัน เอื้อมมือขึ้นไปสอดสางเส้นผมสีเทาขาวข้างขมับเจ้าตัวเล่น

    "นายชอบหรือเปล่า..."
    "ชอบสิ" ตอบไวแทบจะสวนคำถาม
    "แล้ว...ฉันล่ะ?"
    "หืม"
    "ชอบฉันด้วยไหม"

    สเตรนจ์รั้งมือเล็กออกจากเรือนผมตน
    พรมจูบอบอุ่นอ่อนโยนลงไปบนนั้น

    "สำหรับคุณน่ะ...อาจจะเกินคำว่าชอบไปแล้วก็ได้"

    .

    "..."

    เขาไม่เคยพูดแบบนั้น

    สตีเว่นดับภาพจำลองเหตุการณ์ลง
    มือลูบหน้า แน่นหนักกว่าเก่า

    "พระเจ้า..."

    ปริญญากี่ร้อยใบก็ไม่สอนให้เขาใส่ใจรายละเอียดในความสัมพันธ์ได้มากเท่าที่ควรจะเป็น โทนี่มองหาความรักจากคนรอบข้างเสมอไม่ว่าเมื่อไร และยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกมันมา...ยกเว้นการขอตรงๆ ชายร่างเล็กไม่เพียงสร้างชุดเกราะขึ้นเพื่อป้องกันภัยคุกคามโลกทั้งใบ แต่ยังถักทอภาพลักษณ์เย่อหยิ่งจองหองถืออัตตาขึ้นเป็นเกราะหนาห่อหุ้มหัวใจทั้งดวงของตนเอาไว้

    หัวใจที่อ่อนโยนและแสนจะเปราะบาง

    'ชอบฉันด้วยไหม'
    '...'
    'สตีเว่น?'
    'นั่นน่ะ...ต้องดูกันยาวๆ...' 

    และอาจแตกสลายเพราะเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    โทนี่ไม่เคยขอความรักจากใครตรงๆ
    แต่กับเขา กลับยอมเป็นคนเอ่ยปากทุกครั้ง

    คนที่ทำตัวเหมือนไม่แคร์อะไร แท้จริงคิดเล็กคิดน้อย คิดซับซ้อนจนสามารถซ่อนความวิตกกังวลไว้ใต้หน้ากากแห่งความไม่รู้สึกรู้สาได้ ที่เอาแต่ใจ ก็เพราะอยากให้สนใจ ถ้าจะมีใครงี่เง่าดื้อด้านในความสัมพันธ์นี้...ก็คงเป็นเขามากกว่า

    ที่ไม่เคยชัดเจน
    ไม่เคยให้ความมั่นใจกับโทนี่

    "รับสิ...รับที..."

    เขาต่อสายถึงคนรัก
    แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ

    อยากขว้างโทรศัพท์ระบาย หากจิตใต้สำนึกฉุดรั้งยั้งเอาไว้ เขาไม่มีมือถือสำหรับติดต่อใครมานานมากแล้ว —ไม่จำเป็นต้องมี กระทั่งอีกฝ่ายยัดเยียดมาให้ แน่ละว่าเพื่อความสะดวกในการโทรจิกเขา สตีเว่นไม่เคยแสดงออก แต่ลึกๆ ข้างในหัวใจก็พองโตทุกครั้งที่มันดังขึ้นมา ความเป็น 'เขา' ทำให้มักยื้อเวลา วางฟอร์มรับสายช้า ทว่าก็ไม่เคยปล่อยให้ดังนานจนคนรอท้อเงียบหายไปเองเช่นกัน

    เพิ่งรู้ตอนนี้ เป็นคนรอสายทรมานแค่ไหน

    แล้วยังมีความเจ็บปวดน้อยใจใดของโทนี่ ที่เขายังไม่รับรู้อีกบ้าง?

    สตีเว่นสวมแว่นตาอีกครั้ง
    เล่นความทรงจำถัดไป

    'แสดงความเป็นเจ้าของครั้งแรก'

    เขาได้แต่เลิกคิ้ว
    ยังไงนะ?

    .

    สตีเว่น สเตรนจ์เดินออกจากเลขที่ 177เอ ถนนบลีคเกอร์ ประตูปิดตามหลัง ร่างสูงโปร่งยืนนิ่งสูดอากาศยามเช้าอยู่พักใหญ่ มองนาฬิกา ไม่ขยับไปไหนคล้ายกำลังเฝ้ารอใครสักคน มองนาฬิกาอีกครั้ง ก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างใจเย็น เงยหน้าขึ้น เดินเลี้ยวไปทางขวา คนที่รออยู่ก็วิ่งเหยาะๆ ขนาบเข้ามา ผ่อนจังหวะขาลงเดินตีคู่

    "อรุณสวัสดิ์ หมอ"
    "อรุณสวัสดิ์"

    คำทักทายเรียบง่ายเหมือนทุกวัน...ทุกเช้า ที่โทนี่เปลี่ยนมาวิ่งออกกำลังกายรอบสวนสาธารณะในย่านนี้ และวนมาที่แซงทั่มเพื่อหามื้อเช้ากินพร้อมกับพ่อจอมเวทย์ของเขา มันเป็นความสุขง่ายๆ ซึ่งหาได้ทุกวัน หากพวกเขาไม่ติดภารกิจปกป้องโลก เริ่มต้นทุกวัน...ด้วยคนที่อยากเห็นหน้าเป็นคนแรกหลังตื่นนอน

    ถ้าได้เลื่อนขั้นไปเป็น 'ใบหน้าสุดท้ายที่เห็นทุกคืน พร้อมนอนกอดตลอดนิทรา' เร็วๆ คงจะดีมากๆ

    แต่โทนี่ไม่อยากเร่งรัด

    เขารู้สึกว่าตนเกรงใจแฟนคนนี้มากไปจนไม่เป็นตัวเอง แต่ก็ห้ามไม่ได้ บางครั้งเราก็ถูกสาปมาให้แพ้ทางใครบางคนโดยไม่มีเหตุผลจริงๆ

    "อยากกินอะไร" เสียงทุ้มถามขึ้นก่อน
    "จริงๆ อยากจะพูดว่าชีสเบอร์เกอร์ แต่... แต่! ฟังให้จบก่อนจะบ่น แต่เพราะนายนั่นแหละ ทักว่าฉันเริ่มอ้วนขึ้นหรือเปล่า ก็เลย เออ ไปหามา มันมีร้านอาหารคลีนอยู่แถวนี้ด้วยนายรู้ไหม ถ้าจำไม่ผิดเลี้ยวที่หัวมุม แล้วก็—"
    "คุณไม่ได้อ้วนสักหน่อย"

    สตีเว่นตัดบท ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยเม็ดเหงื่อซึ่งคาค้างอยู่กลางแก้มโทนี่ออกเบาๆ เจ้าตัวชะงัก หันมามองหน้าเขา

    "แต่นายพูดเอง"
    "ใช่ แต่โทนี่ อ้วนขึ้น ไม่ได้แปลว่าอ้วนนะ อันที่จริงผมแค่บอกว่าเนื้อคุณเต็มไม้เต็มมือขึ้น ซึ่งมัน..."
    "เต็มไม้เต็มมือแปลว่าอ้วนแล้ว"
    "...ก็ดีแล้วนี่ ผมออกจะชอบ"

    พูดออกมาหน้าตาเฉย
     
    โทนี่เกลียดที่อีกฝ่ายกระซิบเป็นพิเศษ
    เพราะมันทำให้ใจสั่นไหวง่ายขึ้นร้อยเท่า

    "คุณจะห้าสิบอยู่แล้วนะ ไม่ต้องหุ่นดีเพอร์เฟกต์พร้อมอวดสาวตลอดเวลาก็ได้"

    แค่นี้ก็คุมยากจะตายอยู่แล้ว

    ดูสายตาคนรอบข้างที่มองร่างเล็กในชุดกางเกงวอร์มกับเสื้อแขนกุดสีขาวชุ่มเหงื่อสิ สาบานได้ว่าหนุ่มมหา'ลัยผิวเข้มที่เพิ่งเดินสวนไปนั่นเหลียวหลังกลับมามองโทนี่ตาเป็นมัน คุณป้ากับร่มคันใหญ่ที่อยู่หน้าแผงร้านขายหนังสือพิมพ์ก็แทบไม่ได้มองนิตยสารที่หยิบขึ้นมาลองอ่าน ไหนจะสายตาและเสียงพูดคุยคิกคักจากสาววัยทำงานสองคนที่กำลังรอไฟแดงเพื่อข้ามถนน สาวน้อยวัยใสอีกคนที่เดินผ่านก็แทบงับแซนด์วิชด้วยสีหน้ากำลังจินตนาการว่ากัดกล้ามแขนของโทนี่

    แถมพ่อตัวดียังไปขยิบตาใส่เขาอีก!

    "ทำไมต้องย้ำเรื่องอายุ ข้อแรก ฉันเพิ่งสี่สิบแปด อย่าเพิ่งรีบปัดดิ้ ข้อสอง ไม่เคยคิดจะอวดสาวเลยเหอะ ที่ต้องฟิตตลอดเพราะจรรยาบรรณทางวิชาชีพล้วนๆ ตั้งแต่คบกับนายนี่แหละรู้สึกเหมือนโดนขุนให้อ้วนยังไงไม่รู้..."

    สายตาหิวกระหายของชายกล้ามแน่นที่มากับลูกบาสคนนั้นเหมือนจะไปสะกิดฟางเส้นสุดท้ายเข้า

    ฟิ้ว...พรึบ!

    ทั้งร่างโทนี่มีแต่สีแดงให้มอง
    ด้วยถูกผ้าคลุมวิเศษพันทบ

    "หายใจ...ไม่ออก"

    มันคลายตัวเล็กน้อย แต่ไม่ปล่อย
    คนถูกรัดหรี่ตา "นี่นางหรือว่านาย..."

    ไม่แน่ใจว่าเจ้าผ้านี่แกล้งเขา
    หรือเพราะเจ้านายมันสั่ง

    "ยังจะถามอีก" เสียงทุ้มพึมพำ ฟังรู้ตั้งแต่ขึ้นต้นว่ากำลังหงุดหงิด มือเรียวยาวร่ายเวทย์วาดวงแหวนขนาดย่อมขึ้น ล้วงแขนผ่านประตูมิติเข้าไปหยิบบางสิ่งออกมา

    "ทำทำไมเนี่ย"

    เสื้อโค้ท?

    เจ้าผ้าคลุมลอยออกไปเมื่อสตีเว่นประทับโค้ทตัวยาวลงคลุมไหล่เล็ก

    "หวง"
    "..."
    "ต้องให้บอกด้วยหรือไง"

    โทนี่ทำหน้าไม่ถูก
    อุทานคำไม่สุภาพขึ้นมาเบาๆ

    "นี่ยังไม่ได้พูดถึงที่คุณขยิบตาให้แม่สาวผมบลอนด์คนนั้นนะ"
    "แค่ทักทายแฟนคลับเฉยๆ นายก็รู้ แล้วนี่จะไปไหน"

    ร้องท้วงหลังถูกจูงมือให้เดินวกกลับทางเก่า
    เสียงเข้มตอบห้วนสั้น

    "ไปกินชีสเบอร์เกอร์กัน"

    .

    จริงสิ

    สตีเว่นเพิ่งนึกได้ถึงเรื่องในตอนนั้น
    มาคิดทีหลังแล้วน่าขันสิ้นดี

    ที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไม่เข้าเรื่องน่ะ... เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยถามเลยว่าโทนี่คิดยังไงเรื่องนั้น ชอบให้หวงหรือเปล่า? แต่เขาโมโหสายตาโลมเลียพวกนั้นจริงๆ ให้ตอบอย่างซื่อสัตย์สุดๆ วันนั้นเขาหงุดหงิดตั้งแต่เห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อแขนกุด —แถมยังสีขาว!— แล้ว แค่มันไม่ใช่สิทธิ์ของเขาที่จะไปห้ามคนรักไม่ให้แต่งตัวยังไง หรือแต่งแบบไหนได้ มาตรการขั้นเด็ดขาดถูกนำมาใช้ก็เพราะโทนี่ถูกลวนลามด้วยสายตามากเกินไปแล้วจริงๆ เท่านั้น

    แค่เพียงไม่เคยพูดออกไปตรงๆ ว่า "หวง"
    อีกครั้งที่ความปากหนักทำร้ายจิตใจโทนี่

    โปรแกรมบาร์ฟแสดงภาพจำลองว่าเขาพูดมันออกมา ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ เช้าวันนั้นเขาแค่สวมเสื้อโค้ทให้อีกฝ่ายแล้วก็จบกัน คิดว่าคนฉลาดอย่างโทนี่คงรู้เจตนาดีอยู่แก่ใจ แต่บางครั้งมันไม่เกี่ยวกับสมอง ไม่เกี่ยวกับว่าฉลาดหรือไม่ฉลาด ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนระหว่างคนสองคนซึ่งสื่อสารกันด้วยหัวใจ และบางทีการ "รู้สึก" แต่ไม่ "พูด" อะไร ก็ทำร้ายคนรักกันได้ดีนัก

    บางครั้งแค่การกระทำมันอาจไม่พอ

    หนึ่งการกระทำตีความได้หลายอย่าง
    คงเป็นเหตุผลที่โทนี่ต้องการคำว่ารัก

    สตีเว่นวางแว่นตาลงกับพื้น ภาพความทรงจำที่ถูกปรับแก้สลายร่างจางหายไป สองแขนวาดวงเวทย์เปิดประตูมิติ ย่นระยะทางข้ามสถานที่อันแสนไกล พาตัวเองไปโผล่ ณ บ้านริมทะเลของโทนี่ บ้าน...ที่เขาเคยแวะเวียนมาหลายครั้งในช่วงก่อนย้ายไปอยู่ด้วยกัน ห้องแล็บเป็นสถานที่อันดับหนึ่งซึ่งจะพบตัวเจ้าของบ้านได้ง่ายที่สุด แต่ห้องนอนก็เป็นจุดที่สตีเว่นคุ้นเคยไม่น้อย โทนี่ชอบอ้อนกึ่งบังคับให้นอนค้างอยู่บ่อยๆ เขาเองจะแข็งใจปฏิเสธก็ได้แต่ไม่ทำ ก็ทำไมต้องปฏิเสธ?   

    "โทนี่?"

    บ้านเงียบงัน ดูร้างสิ่งมีชีวิต
    พ่อตัวดีไม่ได้กลับมาที่นี่

    ความคิดนั้นบีบหัวใจ ทำให้เขาอยากเป็นบ้า ถ้าไม่กลับบ้านแล้วไปอยู่ที่ไหนกัน ตึกอเวนเจอร์ส? สตาร์ค อินดัสตรีส์? บ้านเพ็พเพอร์? เขาควรโทรเช็กกับใครสักคนก่อนดีไหม ไม่สิ ถ้าโทรไปแล้วเจ้าตัวบังเอิญอยู่กับคนใดคนหนึ่ง อาจจะไหวตัวหนีไปอีกก็ได้ แต่— มัวคิดบ้าอะไรให้วุ่นวาย นายเป็นจอมเวทย์นะ โผล่ไปที่ไหนๆ ในเวลาไม่ถึงวินาทีได้สบายๆ หยุดฟุ้งซ่านแล้วเทเลพอร์ตไปเดี๋ยวนี้!

    แต่...โทนี่ไม่อยู่ที่ไหนเลย

    'ไม่ เขาไม่ได้แวะมา นี่เล่นออฟไลน์ด้วย ผมก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน' โรห์ดี้บ่น

    'เขาแวะมาล่าสุดสามเดือนได้แล้วมั้งคะ เขาไม่เคยจู่ๆ ก็โผล่มาหรอกค่ะ' ประชาสัมพันธ์ที่บริษัทสตาร์ค อินดัสตรีส์แจง

    'ฉันเสียใจค่ะ สตีเว่น เขาไม่ได้โทรมาเลย ไม่ต้องพูดถึงแวะมา' เพพเพอร์ตอบ กอดปลอบเขาเร็วๆ ทีหนึ่ง 

    จอมเวทย์หนุ่มไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ แต่หลังจากกระโดดข้ามมิติพื้นที่ติดๆ กันหลายครั้งพลังของเขาก็เหมือนจะเริ่มหมด เวียนศีรษะ เกือบหน้ามืด โชคดีที่ส่งตัวเองกลับมา 'บ้าน' ได้ทัน เขาโงนเงนทรุดลง ปล่อยตัวเอนร่างพักกายราบไปกับพื้น เขาไปมาทุกสถานที่ที่เคยไปกับโทนี่ แต่ไม่มีที่ไหนที่เจ้าตัวใช้หลบอยู่ในตอนนี้

    ความท้อแท้แปรเปลี่ยนเป็นกลัว...จับขั้วหัวใจ
    จู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามสี่วันก่อน



    'ขี้โกงอีกแล้ว...'

    ไม่สำคัญว่าโทนี่หนีไปไหน
    เขาตามตัวอีกฝ่ายได้ไวกว่าเงา

    'บอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ทำงั้น...'

    มีกฎประหลาดๆ ระหว่างพวกเขา: ถ้าทะเลาะกันขึ้นมา สตีเว่นห้ามใช้ประตูมิติเดินหนี และกลับกันก็ห้ามใช้สำหรับตามหาโทนี่ ในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นคนโกรธด้วย ไม่เช่นนั้น การหลบหน้าของโทนี่ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย และนั่นสร้างความหงุดหงิดใจให้เจ้าตัวเป็นที่สุด

    'ผมรู้โทนี่ แต่...'

    สตีเว่นกางร่มเร่งฝีเท้าตาม ไม่นานก็ทันโทนี่
    แน่ละ อีกฝ่ายขาสั้นนิดเดียว จะหนีไปไหนพ้น

    '...ฝนมันตกขนาดนี้ จะปล่อยให้คุณเดินเปียกอยู่ได้ยังไง ใครจะรู้ว่าคุณจะหายงอนผมเมื่อไร'
    'ไม่ได้งอน...โกรธ'
    '...เป็นปอดบวมตายก่อนพอดี'
    'เกลียดนาย...'

    โทนี่ชอบพูดแบบนั้นเวลารักเขามากเกินไป

    จอมเวทย์ลอบยิ้ม 'อันนั้นผมก็รู้ ไม่ต้องย้ำบ่อยก็ได้ พ่อคนงี่เง่า'
    'งี่เง่าแล้วยังจะตามมาทำไม'
    'ถือร่มหน่อย...'

    นัยน์ตาหวานฉายแววฉงน

    'เร็ว...'

    โทนี่ยังมึนงง แต่ก็รับร่มมาถือไว้
    ต้องยืดมือขึ้น เพื่อไม่ให้คนสูงกว่าเปียก

    สตีเว่นล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อโค้ท
    ผ้าขนหนูผืนหนึ่งติดมือกลับออกมา

    '...'

    กางมันออก บรรจงซับความเปียกชื้นจากเรือนผมของคนตัวเล็กกว่าอย่างนุ่มนวล 

    'จำเป็นต้องเดี๋ยวนี้เลยหรือไง'
    'ไม่รีบเช็ดเดี๋ยวไม่สบาย ไม่สบายแล้วไม่มีแรงงอนผมนะ บอกไว้ก่อน คุณก็น่าจะรู้ตัวเองว่า...'
    'ไม่ต้องพูดแล้—'
    '...ไม่สบายทีไร อ้อนเก่งทุกที'



    ตอนนี้เขากลับไม่สามารถหาตัวโทนี่ได้ ราวกับอีกฝ่ายได้เตรียมแผนการนี้ไว้แล้วในใจ คิดหาที่ซ่อน พลิกแผ่นดินหาสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก เพื่อให้แน่ใจว่าในการทะเลาะกันครั้งต่อไป ตัวเองจะสามารถหลบหน้าเขาได้นานพอ และบางทีครั้งนี้มันอาจถาวร อาจไม่ใช่แค่การเดินออกจากบ้านของพวกเขา 

    แต่เป็นการเดินออกไปจากชีวิตชายคนนี้

    ได้โปรด...โทนี่
    อย่าทำแบบนั้นเลย

    "คุณอยู่ไหนกันแน่..."

    กวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า
    แว่นตาควบคุมโปรแกรมบาร์ฟยังอยู่ที่เดิม

    เหลืออีกรายการเดียวที่ยังไม่ผ่านตา
    บางทีโทนี่อาจอยากให้เขาได้รับรู้มันทั้งหมด

    รับรู้...เข้าถึง
    หัวใจของโทนี่

    สตีเว่นสวมมันอีกครั้ง
    ภาพจำลองก่อร่างสร้างตัวขึ้นโดยพลัน

    พาเขาหวนกลับไปยังความทรงจำแสนหวาน

    'วันวาเลนไทน์แรก'

    .

    "แคนเซิลแล้วนะ มื้อกลางวัน" 

    สตีเว่นหันขวับ "หมายความว่ายังไง"
    "อย่าเพิ่งโวยวาย" โทนี่ยกนิ้วปราม "ยกเลิกร้านที่จองไว้เฉยๆ แต่แพลนวันนี้ยังเหมือนเดิม"
    "ผมไม่ได้โวยวาย ก็แค่สงสัย เห็นอยากกลับไปกินร้านที่ไปตอนเดทแรกนักนี่ นึกยังไงเปลี่ยนใจ"
    คนถูกถามยักไหล่น้อยๆ "ก็ไม่ทำไม แค่เบื่อมั้ง กินข้าวร้านหรูๆ เหมือนเป็นธรรมเนียมคนรวยเลย อยากแฮงเอาท์แบบคนธรรมดาบ้าง นึกออกปะ"
    "พอเข้าใจได้อยู่"
    "แหงละ พ่ออดีตศัลยแพทย์หนุ่มสังคมไฮโซ"
    "เงียบน่า"
    "ใจร้ายกับแฟนจัง"

    โทนี่พุ่งเข้ากอดคนขายาวกว่าที่เดินนำไปครึ่งก้าวจากด้านหลัง ทำเจ้าตัวหยุดยืนนิ่ง น้ำเสียงดุๆ ก็เริ่มร่าย  "ทำอะไร โทนี่ คนเยอะแยะนะ เริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายแล้วด้วย..."
    "มันจะเสียหายอะไรล่ะ ทั้งโลกเขาก็รู้อยู่ว่าเราเป็นอะไรกัน ไม่ใช่เซเลบที่เดทกันหลบๆ ซ่อนๆ ซะหน่อย"
    "โทนี่"
    "อีกอย่าง วันนี้วันวาเลนไทน์นะ ทุกคนเขาก็แสดงความรักกันในที่สาธารณะเป็นปกติทั้งนั้นแหละ"
    "ก็มีเหตุผล" สตีเว่นเริ่มอ่อนให้ "แต่ไม่คิดจะไปไหนแล้วหรือไง"
    "โทษที มันเพลิน"

    ร่างเล็กถอนใบหน้าขึ้นจากแผ่นหลังกว้าง คลายอ้อมแขน และเดินตามหลังคนรัก แต่กลับถูกวงแขนแกร่งเอื้อมมาโอบเอว รั้งตัวให้ขึ้นมาเดินเคียงข้าง โทนี่คิดว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายจะปล่อยมือ ทว่าเขาคิดผิด มือเรียวสวยยังเกาะกุมอยู่ตรงเอวของเขาเรื่อยไปอย่างนั้น โอเค...ก็วันวาเลนไทน์นี่เนอะ

    "ทายซิว่าสุดยอดวิธีเริ่มต้นวันวาเลนไทน์แรกที่ได้ฉลองด้วยกันแบบคนธรรมดาทั่วไปคืออะไร"

    จู่ๆ โทนี่ก็หันมายิ้มแฉ่ง
    สตีเว่นมองร้านข้างหน้าแล้วอุทาน 

    มือเล็กรั้งข้อมือแกร่งไว้ไม่ให้หนี
    มืออีกข้างผายไปทางตัวร้านสีพาสเทล

    "สตาร์ค เรฟวิง เฮเซลนัทกันเถอะ ที่รัก"
    "ไม่ต้องมาที่รัก" 
    คนขี้แกล้งหัวเราะ "มันไม่ใช่แค่ไอติมที่ตั้งชื่อรสตามโทนี่ สตาร์คแล้วนะหมอ มันคือไอติมที่ตั้งชื่อรสตามชื่อแฟนของหมอเลยนะ! ให้เกียรติกันบ้างสิ"
    "แต่มันก็ยังจะรสชาติเหมือนชอล์กอยู่ดี"
    "ไม่อยากกินจริงดิ"
    "คุณจะกินก็ได้ แต่ผมไม่กินรสนั้น"
    โทนี่ทำแก้มพองลม "ไม่รักกันเลยอะ"

    ยื่นมือบีบแก้มที่พองเป็นลูกโป่งให้ฟีบลง
    โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมากระซิบข้างหู

    "ถ้าให้กิน 'สตาร์ค' ก็ว่าไปอย่าง"

    โทนี่หันขวับ มามุกนี้ ยอมแพ้ก็ได้วะ!
    คนที่จ้องรอจังหวะอยู่แล้วขโมยจูบทันที

    เร็วจนตั้งตัวไม่ทัน

    ริมฝีปากอบอุ่นละจูบไวนัก คนตัวเล็กเลยต้องเขย่งเท้าตามขึ้นไปป้อนความหวานให้คนอยากกิน 'สตาร์ค' ถึงที่ สตีเว่นไม่เพียงจูบตอบโดยดี แต่ยังหัวเราะผ่านลมหายใจออกมาด้วยความเอ็นดู สองมือเรียวต้องประคองเอวเจ้าตัวเอาไว้ให้....กันล้ม เขายังอยากลิ้มชิมขนมหวานส่วนตัวต่อไปให้นานกว่านั้น แต่เสียงแชะจากชัตเตอร์กล้องของใครบางคนดึงสติให้กลับสู่โลกความเป็นจริงท่ามกลางสายตาผู้คน

    สตีเว่นถอนริมฝีปาก แอบเลียมันเบาๆ 
    "แปะไว้ก่อน คืนนี้ผมกินต่อแน่"

    วาดแขนโอบไหล่โทนี่ให้เดินต่อ

    "หมอ...รับ"

    ล้วงกล่องไม้ทรงสวยขึ้นมา โยนขึ้นฟ้า
    สเตรนจ์ไวพอ รับมันได้ทันก่อนร่วง

    ของขวัญวันวาเลนไทน์?

    ใช้นิ้วหัวแม่มือดันฝากล่องให้เปิดออก
    ยลโฉมนาฬิกาข้อมือเรือนสวยข้างใน

    คนให้เริ่มร่ายข้อแก้ตัวเป็นพัลวัน กลัวของขวัญไม่ถูกใจ "อาจจะสิ้นคิดไปหน่อย แต่ว่านี่ทำขึ้นพิเศษนะ รุ่นลิมิตเต็ด อันที่จริงคือมีเรือนเดียวในโล"
    "โทนี่ ผมชอบ..." สตีเว่นตัดบท

    อีกฝ่ายจึงเลิกกระวนกระวายไปได้

    สายโลหะและตัวเรือนสีทองหม่นเกลี้ยงเป็นมัน หน้าปัดสีนิล แต่หากบิดองศาต้องลำแสงตกกระทบจะพบว่าเหลือบเลื่อมสีมรกต...คล้ายมณีแห่งเวลา มณีที่ฟ้าลิขิตให้สเตรนจ์เป็นผู้ปกป้อง แต่กลับบังคับให้ต้องยอมสูญเสียมันไปเพื่อแลกกับชีวิตของโทนี่ นาฬิกาเรือนนี้จะได้คอยย้ำเตือนผู้สวมใส่เสมอว่าจักรวาลบันดาลให้ชะตาของพวกเขาผูกกันไว้ยังไง

    "ลองใส่ดู"

    ว่าง่าย ทาบเรือนนาฬิกาเข้ากับข้อมือตน พลิกไปมาเล่นกับแสง โทนี่ยืนมือมากดเม็ดมะยมข้างตัวเรือนสองครั้ง หน้าจอโฮโลแกรมเล็กๆ ก็ฉายขึ้นมาจากหน้าปัดที่ตัวเลขและเข็มเป็นแบบกลไกโบราณ ทำให้มันเป็นสมาร์ทวอทช์ภายใต้รูปลักษณ์วินเทจ

    "ที่จริงทำเองกับมือเลยน่ะ ไปเรียนทำนาฬิกาที่สวิสมาอาทิตย์นึง" 
    "ทำไม..."
    "หมายความว่ายังไงทำไม ก็—"
    "ทำตัวน่ารักขนาดนี้ไปทำไม โทนี่"
    "ก็...อยากให้รัก...ไง"

    เอ่ยเสียงเบา ไม่สมเป็นสตาร์คผู้แสนมั่นหน้า

    สตีเว่นเม้มปาก รวบคนตัวเล็กเข้ามาใกล้
    พรมจูบลงไปบนหน้าผากเจ้าตัว

    "เด็กโง่..."

    ร่างเล็กหลับตาซึมซับสัมผัสอ่อนละมุนนั้น
    ปากขยับมุบมิบ "นี่ ฉันแก่กว่านายนะ ให้มันน้อยๆ หน่อย"
    "ก็หัดขี้อ้อนให้น้อยลงบ้าง"
    "เกี่ยวอะไร โตแล้วอ้อนไม่ได้รึไง แล้วไหนของขวัญฉันล่ะ รู้แหละว่าพ่อมดไม่มีรายได้ แต่แค่กุหลาบสักช่อ หรือช็อกโกแลตสักกล่องก็ไม่รัง...เกียจ...หรอก..."

    มัวแต่รัวคำพูดเถียงจนลืมสนใจโลกแวดล้อม รู้ตัวอีกทีรอบกายก็ไม่ใช่นิวยอร์กอีกแล้ว สะเก็ดไฟชุดสุดท้ายบอกให้รู้ว่าประตูเวทย์เพิ่งปิดลงหลังพุ่งผ่านร่างพวกเขาไป ทิวทัศน์ตรงหน้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไล่มองจนสุดขอบเขตแล้วยังไม่พ้นเนินเขาที่ทอดยาวใต้แสงแดดสดใส ใต้ผืนฟ้าคือทุ่งดอกไม้สีชมพูหวาน แต่เมื่อกวาดสายตากลับมาสังเกตใกล้ๆ ฝั่งซ้ายและขวา...

    ไร่สตรอว์เบอร์รี่

    "ไม่มีหรอกช็อกโกแลต หรือ...ดอกไม้ แต่นี่แทนกันได้ไหม ผมรู้คุณชอบสตรอว์เบอร์รี่"
    "ฉันชอบสตรอว์เบอร์รี่" โทนี่ทวนซ้ำ ไม่รู้ตัว

    ไม่จำเป็นต้องก้มเก็บ... ผลไม้สีแดงสดเด็ดตัวเองออกจากก้านเพียงพ่อจอมเวทย์ดีดนิ้ว มันไม่ได้ลอยเข้าปากโทนี่อย่างที่คิด แต่กลับเคลื่อนเข้าจ่อริมฝีปากของสตีเว่น ซึ่งงับมันเอาไว้ และ...แขนยาวก็กางออกเชื้อเชิญ คนตััวเล็กหัวเราะในลำคอเบาๆ ช่างเป็นผู้ชายที่มีสารพัดวิธีทำให้เขาหลงรักซ้ำๆ... ยกเว้นการพูดดีๆ

    ยกเว้น...แค่บอกคำสั้นๆ สักคำ

    "คนให้ของขวัญต้องเอามาป้อนสิถึงจะถูก" 

    โทนี่ยืนกอดอกรอ เชิดคางน้อยๆ
    สตีเว่นนิ่ง ก่อนยอมสาวเท้าเข้าหา

    ส่งสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตให้คนรักด้วยปาก
    กลีบปากจิ้มลิ้มงับของโปรดสีแดงเอาไว้

    "ผมยอมป้อนให้แล้ว แต่ว่านี่ไม่ใช่ของขวัญหรอกนะ" กระซิบ ก่อนก้มลงไปงับผลสตรอว์เบอร์รี่ แย่งเนื้อสัมผัสนวลฟ่ามรสหวานอมเปรี้ยวสีสดใสมาครึ่งลูก น้ำผลไม้ไหลย้อยจากผลที่ถูกกัด ผ่านปลายคางลงมาตามลำคอขาว...

    โทนี่เกร็งขึ้นมาน้อยๆ โดยไม่ตั้งใจ อมสตรอว์เบอร์รี่ค้างไว้จนรสชาติของมันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ระหว่างที่สตีเว่นกำลังลิ้มชิมรสชาติเดียวกันนั้น ต่างแต่เจ้าตัวดื่มด่ำเอาจากคราบสีแดงใส ด้วยริมฝีปากร้อนรุ่ม...ลากไล้ไปตามผิวคอ

    สีแดงจากคราบน้ำผลไม้จางหายไปหมด
    เหลือเพียงสีแดงเจือจางที่อีกฝ่ายทำไว้

    "สตาร์ค สตรอว์เบอร์รี่ ดีไลท์"
    "ฮะ?"

    เกือบเผลอกลืนสตรอว์เบอร์รี่ลงคอ
    ดีที่ยั้งทัน และรีบเคี้ยวให้ละเอียดก่อน

    แต่ว่านะ นั่นสตีเว่นเพิ่งตั้งชื่อ...?

    "รสนี้อร่อย จะเก็บไว้กินคนเดียว" 
    คนฟังเสหน้าหนี "เกลียดนายชะมัด"
    "รู้แล้ว"
    "สรุปว่าของขวัญคืออะไรกันแน่" 
    "ทวงจังเลย"

    บ่น แต่ก็เริ่มวาดมือไม้ร่ายมนตรา
    ฝูงปีกสีฟ้าสว่างไสวก่อพายุน้อยๆ วูบผ่าน

    ผีเสื้อ

    "เจ๋ง ควรทำไง เลี้ยงแล้วเพาะพันธุ์ขาย? หรือว่าจริงๆ นายเสกช็อกโกแลตวาเลนไทน์ให้บิน นี่กินได้ใช่รึเปล่า..."

    สตีเว่นปล่อยให้กระแสเสียงเจื้อยแจ้วกระแนะกระแหนไปเรื่อยโดยไม่ขัดหรือแก้ตัวอะไร ลดมือลง ปล่อยให้ผีเสื้อเวทย์มนตร์กระพือปีกอย่างอิสระ เจ้าตัวหนึ่งบังอาจทิ้งขาเล็กกระจิริดทั้งหกลงกลางสันจมูกของโทนี่ หุบปีก พิงพัก ณ ตรงนั้น เจ้าตัวย่นจมูก มันขยับไปเกาะข้างแก้มแทน

    คราวนี้คนขยับกลับเป็นคนเสกมัน
    ปัดเจ้าของปีกเล็กๆ ออกจากแก้มคนรัก

    "รู้ซะบ้างว่าของใคร"

    โทนี่เกือบหลุดหัวเราะ
    กับผีเสื้อก็ไม่เว้น คนเรา

    ฝูงบินสีฟ้าสดใสเริ่มกระจายตัวอีกครั้ง คล้ายกำลังจัดแถวแปรรูปขบวนใหม่ นัยน์ตาหวานมองตามความสวยงามของพวกมันไปตลอด แม้ไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม ในที่สุดเจ้าผีเสื้อทุกตัวก็ขยับเข้าประจำตำแหน่งแห่งที่ของตน เรียงร้อยถ้อยคำออกมาเป็นตัวอักษร

    อดจินตนาการไปถึงคำอีกคำไม่ได้
    และต้องผิดหวังไปตามระเบียบ

    'ต ก ล ง'

    ถึงอย่างนั้น โทนี่ก็ทำตาโต "ว้าว ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ... แต่ว่านายหมายถึงเรื่องอะไรเนี่ย"
    "เรื่องที่คุณรอคำตอบจากผมมาสามวันแล้วไง" สตีเว่นโบกมือ ฝูงผีเสื้อมนตร์สลาย
    "นานขนาดนั้นฉันลืมไปแล้วว่าถามอะ— เดี๋ยว... นี่ล้อเล่นรึเปล่า"
    นัยน์ตาสีอ่อนมองดุ "ผมดูเป็นคนชอบล้อเล่นมากนักหรือไง โทนี่" 
    "ก็ออกบ่อยไป..."
    "แต่ไม่ใช่ครั้งนี้"
    "ตกลง? จริงดิ แต่นายคิดว่า"

    สตีเว่นพยักหน้า "ใช่ ผมคิดว่าแปดเดือนยังอาจจะเร็วไป แต่ว่าใช่ ผมตกลง"

    ตกลง...กับคำขอของโทนี่
    ที่อยากให้พวกเขาทดลองอยู่ด้วยกัน 

    ยกระดับความสัมพันธ์ไปอีกขั้น

    "นี่ผมคิดไปเองหรือว่าคุณดูผิดหวังอะไรสักอย่าง ไม่ดีใจ? ไม่อยาก 'ตื่นมาเจอหน้ากันทุกเช้า และเข้านอนพร้อมกันทุกคืน' แล้วหรือไง"
    "ไม่ๆๆ ฉันดีใจสิ แค่..." โทนี่ยิ้ม

    เป็นยิ้มที่กว้าง แต่กลับแห้งแล้ง

    "แค่ตอนแรกคิดว่าจะเขียนว่า 'ผมรักคุณ' อะไรแบบนี้" 
    "..."

    เสียงหัวเราะก็ไม่ได้ฟังขบขันสักนิดเดียว

    "ต้องให้ผีเสื้อบอกไปทำไม" 

    สตีเว่นกล่าว ยิ้มบาง
    รวบคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้

    "บอกเองก็ได้...ผมรักคุณ"

    .

    เขาไม่เคยพูดคำนั้น

    ค้างภาพจำลองไว้ที่คนสองคนกอดกัน
    ถอดแว่นตาด้วยมืออันไร้เรี่ยวแรง

    'แค่ตอนแรกคิดว่าจะเขียนว่า 'ผมรักคุณ' อะไรแบบนี้'
    '...'
    'สงสัยจะหวังมากเกินไปหน่อย แย่จัง'

    หากเขายอมพูดมันในวันนั้น...
    คงไม่เสียโทนี่ไปอย่างตอนนี้

    ตลอดเวลาที่คบกัน โทนี่อาจเอาแต่ใจ ยิ่งเขาเป็นคนที่ดุแต่สุดท้ายก็ตามใจ เลยยิ่งงอแงเหมือนเด็ก แต่ลึกๆ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายพยายามแล้ว พยายามทำตัวดีขึ้นในทุกวัน ทำตัวน่ารักในโอกาสพิเศษๆ ทุกครั้ง พยายามเข้าใจเขา...อดทนกับคนปากหนักอย่างเขา สตีเว่นรู้ดีแก่ใจถึงความพยายามนั้น แต่ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเจ้าตัวต้องพยายามขนาดนี้

    ต้องการความรักจากเขามากถึงเพียงนี้ 

    คงเพราะเขาคิดแต่ในมุมมองของตัวเองเสมอมา คิดว่าการแสดงออกถึงความรักไม่จำเป็นต้องพูดเท่านั้น มันอาจเป็นสายตาเอ็นดูเวลาอีกฝ่ายทำอะไรผิดซ้ำๆ เป็นรอยยิ้มอบอุ่นเมื่อเห็นอีกคนทำตัวน่ารัก เป็นเสียงหัวเราะอ่อนโยนยามคนรักเล่าเรื่องตลก เป็นรอยจูบแสนหวานชโลมฉ่ำทั่วเรือนร่าง เป็นอ้อมกอดอบอุ่นปลอดภัยให้เจ้าตัววางใจหลับฝันดี

    แต่สำหรับบางคน หมดนั่นก็ไม่สู้หนึ่งถ้อยคำ
    เพราะคำว่ารักจากปากบางคน...แสนสำคัญ

    เรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา 
    อาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับอีกคน 

    และเขาไม่มีเหตุผลอะไรจะแก้ตัวด้วยซ้ำ นอกจากแค่เพราะเขาเป็นคนแบบนี้ อาจไม่ใช่นายแพทย์สเตรนจ์คนเก่าที่นึกถึงแต่ตัวเองอีกแล้ว อาจเปลี่ยนไปแล้วในหลายๆ ทาง แต่นิสัยบางอย่างมันยังแก้ไม่หาย แน่นอนคนเราไม่อาจเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน แต่เราพยายามได้ และเขาควรพยายามให้มากกว่านี้ พยายามให้เท่ากับที่โทนี่พยายาม เพราะความสัมพันธ์ต้องใช้คนประคับประคองจากทั้งสองฝั่ง หากปล่อยให้ใครต้องพยายามฝ่ายเดียว คงหนีไม่พ้นต้องพังทลายลงมา

    แต่โอกาสในการพยายามของเขาอาจหมดลงแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว

    ครืด...

    โทรศัพท์มือถือสั่น มือเรียวยาวควานหามันทั่วตัวอย่างลนลาน ไม่อยากตั้งความหวังให้มากนัก แต่ตอนนี้เขาไม่อยากรับสายใครหรือได้ยินเสียงใครอีกแล้วนอกจากโทนี่ ต่อให้มันเป็นเสียงสุดท้ายอันแสนเศร้า...ที่โทรมาเพื่อบอกลาก็ตาม 

    หน้าจอสว่าง แสดงชื่อเดียวที่อยากเห็น

    'โทนี่'

    กดรับทันที

    "คุณอยู่ไหน" เสียงทุ้มโพล่ง เกือบดัง
    "..."

    ปลายสายตอบกลับด้วยความเงียบ
    เงียบสงัดจนเดาใจไม่ถูก

    "โทนี่ ผมขอโทษ พูดอะไรหน่อยได้ไหม บอกผมทีว่าคุณไม่ได้คิดจะทิ้งผมไปจริงๆ..."
    "ล็อคข้างในทำไม ตางั่ง ลงมาเปิดประตู"

    เอ่ยแค่นั้นและตัดสาย สตีเว่นรีบเทเลพอร์ตตัวเองลงไปชั้นหนึ่ง กดรหัสปลดล็อคประตูหน้าตึกด้วยเร่งรีบจนจิ้มผิดไปหลายครั้ง เขากำมือแน่น ควบคุมไม่ให้สั่น ในที่สุดก็กดได้ถูกต้องจนมันเปิดออก แต่คนที่ยืนรออยู่ไม่ใช่เจ้าของเสียงที่โทรมาเมื่อครู่

    "สวัสดีครับ คุณหมอสเตรนจ์"  
    "พาร์คเกอร์..."

    พีทเอามือที่โบกทักทายน้อยๆ ลง
    ดึงเป้สะพายหลังมาด้านหน้า

    คนแก่กว่าเลิกคิ้ว "นายมาทำอะไร"
    "คือว่า อ่า คุณสตาร์ควานให้ผม..." เว้นวรรคระหว่างพยายามดึงแฟ้มเอกสารบางๆ ขึ้นมาจากด้านในกระเป๋า ได้แล้วจึงยื่นมาตรงหน้า "...เอานี่มาให้คุณเซ็นน่ะฮะ"
    "อะไร"
    "ผมไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอก บอกแค่ว่า ทำยังไงก็ได้ให้คุณเซ็น"

    สตีเว่นดึงแฟ้มมาจากมือเด็กหนุ่ม
    เปิดออก ไล่สายตาอ่านคร่าวๆ

    เอกสารรับโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์

    "ช่วยเอาไปคืนที แล้วฝากบอกด้วยว่าให้กลับบ้านได้แล้ว"
    "คือ...เรื่องนั้นน่ะฮะ" พีทแทบจะสวนขึ้นมา
    "อะไร"
    "คุณสตาร์คบอกว่า ถ้าคุณพูดแบบนั้น ให้ตอบกลับไปว่า 'ฉันจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่แล้ว ตาโง่' อันนี้คุณสตาร์คฝากมานะ ผมก๊อปทุกพยางค์ไม่ได้ต่อเติม"
    "..."

    โทนี่จะยก 'บ้าน' ทั้งหลังให้เขา
    ตั้งใจจะไม่กลับมาอีกเลย

    ต้องยอมรับ...ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะเลิกกันด้วยเหตุผลนี้ ไม่เคยคิดจริงๆ... คงอย่างที่ใครหลายคนว่า ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องใหญ่โตอะไรหรอก เรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อยยิบย่อยนี่เอง ทำให้คนใจสลายง่ายที่สุดแล้ว เรื่องหยุมหยิมเท่าละอองฝุ่น แต่สั่งสมพอกพูนในใจทุกวันจนหนักหนา เมื่อถึงคราวที่เกินจะรับไหว หัวใจที่น่าสงสารดวงนั้นก็จะแตกสลาย โดยฝ่ายต้นเหตุไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

    'ชอบฉันด้วยไหม'

    'ก็...อยากให้รัก...ไง'

    'แค่ตอนแรกคิดว่าจะเขียนว่า 'ผมรักคุณ' อะไรแบบนี้'

    'ฉันมันโง่เองที่มาหลงรักคนอย่างนาย'

    ...

    สตีเว่นยกมือลูบหน้า ยีหัวตัวเองจนยุ่ง

    พีเทอร์เลิ่กลั่ก "คุณหมอฮะ..."
    "นายรู้ใช่ไหมว่าเขาอยู่ที่ไหน"
    "ผมบอกไม่ได้ เอ้ย...หมายถึง ผมไม่รู้ฮะก็เลยบอกไม่ได้ คุณสตาร์คไม่ให้— อ๋า... ผมไม่รู้ จริงๆ นะ ผมขอโทษ ผมเสียใจ แต่ผมบอกไม่ได้อะ" 
    "พีเทอร์..."
    เด็กหนุ่มทำหน้าหงอ "อย่ากดดันผมเลยฮะ แง..."
    "นายกลับไปเถอะ"
    "อ้าว"

    คนโตกว่ายัดแฟ้มคืนใส่มือเด็ก

    "แต่ผมกลับไม่ได้ถ้าไม่ได้ลายเซ็นคุณอะ ถือว่าช่วยผมเถอะนะครับ ผมไม่อยากให้คุณสตาร์คผิดหวัง..."

    ไม่อยากให้คุณสตาร์คผิดหวัง

    เด็กนี่ยังปฏิบัติกับโทนี่ดีกว่าเขาด้วยซ้ำ
    เขาล่ะ? เป็นคนรักประสาอะไร?

    แต่มัน...สายเกินไปที่เขาจะแก้ตัวแล้วจริงๆ น่ะหรือ?

    "...?"

    สเตรนจ์บิดข้อมือเปิดประตูมิติวงเล็ก หยิบปากกามาจากในบ้าน ได้ยินเสียงเจ้าเด็กตรงหน้าอุทานเบาๆ ว่า 'เจ๋ง' และมองหน้าเขางงๆ ด้วยคงไม่คิดว่าจะยอมเซ็นให้ง่ายดายขนาดนี้

    "กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะเย็น"

    พีเทอร์บอกลาเขาทั้งที่ยังสับสน

    แต่ความคิดในหัวดังจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใดรอบกาย เพราะความทรงจำหนึ่งแล่นปราดฉายชัดขึ้นมา ในงานเลี้ยงของเหล่าอเวนเจอร์ส หลายคนซึ่งเริ่มเมาได้ที่จับกลุ่มเล่นเกมทรูธ ออร์ แดร์กัน เขาและโทนี่ก็อยู่ในกลุ่มนั้น เมื่อขวดเบียร์หมุนคว้างหันปากมาทางเขา ซึ่งเลือกทรูธ ตานั้นนาตาชาเป็นคนถามคำถาม


    'ถ้าให้ใช้มณีแห่งเวลาย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องหนึ่งในชีวิตได้ คุณจะเปลี่ยนอะไร'

    คำถามเด็ดเรียกเสียงหวีดหวิวจากคนในวง

    'ไม่เปลี่ยน ใช้มณีซี้ซั้วไม่ได้ กฎแห่งธรรมชาติไม่ควรถูกฝ่าฝืนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ยิ่งเอามาใช้ส่วนตัวยิ่ง—' 
    'ไม่ต้องวิชาการมากก็ได้หมอ นี่เกมวงเหล้านะ' โทนี่แซว
    'ผมตอบตามที่คิดจริงๆ นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของเกมนี้หรือไง' 
    'แต่จุดประสงค์ร่วมหนึ่งของเกมทุกเกมบนโลกมันก็สำคัญนะ เพื่อความสนุกน่ะ'
    ธอร์หัวเราะ 'พวกเจ้านี่ช่างง้องแง้ง'
    'พวกนายเดทกันอยู่จริงรึเปล่าเนี่ย' แบนเนอร์ทำหน้าสับสน
    'สรุปว่าจะไม่ใช้?'  คลินท์สรุป

    สตีเว่นพยักหน้า 'ต้องให้โลกจะแตกเป็นเสี่ยงอยู่ตรงหน้าเหมือนคราวก่อนเท่านั้น ผมถึงจะยอมใช้มัน'


    "..."

    ยกมือลูบดวงตาแห่งอกามอตโต้กลางอกตน
    ครุ่นคิด เผลอไผล ชั่งน้ำหนักในใจ

    ไม่ได้

    ยังไงก็ไม่ได้

    .
    .

    .

    "คุณทำแบบนี้อีกแล้ว"

    คนฟังนั่งไขว่ห้าง ไหล่ตก ตาหลุบต่ำมองผ้าปูโต๊ะ ทุกรายละเอียดดูสมบูรณ์แบบเกินไปจนน่าหงุดหงิด เรียบเกินไป ประณีตเกินไป ขาวเกินไป... ไวเท่าความคิด ล้วงลงไปในแก้วไวน์ข้างมือ ตวัดเอาของเหลวสีเลือดติดนิ้วซนๆ ขึ้นมา วาดเส้นโค้งลงไปบนพื้นที่สะอาดสะอ้านของผืนผ้าบริเวณข้างจานอาหาร

    "โทนี่"

    เสียงดุๆ ดังขึ้นเล็กน้อย
    นิ้วมือนั้นหยุดชะงัก

    "โทษที ฉันทำ...อะไร?"
    "ขู่จะทิ้งผม"
    เจ้าตัวเม้มปาก "ฉันไม่ได้ขู่ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ การที่ฉันบอกว่าจะไม่มาหานายอีก มันแปลว่าฉันขู่อะไรนายได้ยังไง"
    "คุณรู้ว่าตัวเองหมายถึงอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณ—"
    "ทำตัวงี่เง่า?"
    ถอนหายใจ "...บอกจะทิ้งผม จะไม่มาที่นี่อีก ออกจากบ้านไปกลางดึก แต่สุดท้ายก็กลับมาขดตัวอยู่ข้างผมเหมือนเดิม เหมือนทุกเช้า หยุดทำตัวแบบนี้สักทีได้ไหม"

    ปล่อยกระแสเสียงอันเคยคุ้นไหลรื่นผ่านหู
    จิ้มไวน์ จรดนิ้ว วาดเส้นโค้งอีกเส้น

    ประกับกับเส้นเก่า...กลายเป็นรูปหัวใจ

    "ถ้าคุณเห็นนี่เป็นเรื่องเล่นๆ ก็พอเถอะ"
    "..."
    "อย่ารักกันเลยดีกว่า"

    คนตัวเล็กเกือบหัวเราะ 
    แต่ยั้งไว้

    "รักเหรอ..."
    "..."
    "ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเราใช้คำนั้นได้หรือเปล่า"
    นัยน์ตาคมตวัดมอง "คุณหมายความว่ายังไง"
    "นายรู้ว่าฉันหมายความว่าไง สตีเว่น สเตรนจ์ ฉันขออะไรนายมากไปเหรอ ถามจริงๆ ที่ผ่านมาน่ะ..."
    "ทำไมทั้งหมดที่ผมทำมันถึงยังไม่พอ"
    "ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายรู้สึกอย่างที่ทำ หมายความอย่างที่ฉันคิด?"
    "ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมกำลังบอกอยู่นี่ไง"
    "งั้นทำไมแค่พูดในสิ่งที่รู้สึกออกมามันถึงได้ยากนัก"

    เสียงของโทนี่เครือสั่น แม้พยายามควบคุมแค่ไหน

    "เคยคิดไหมว่ามันอาจเป็นเพราะนายไม่ได้รู้สึกจริงๆ ก็ได้"
    "โทนี่—"
    "รู้อะไรไหม..."

    เอ่ยขัด ใช้นิ้วเปื้อนไวน์แตะริมฝีปาก
    เหลือเรื่องราวจะเอ่ยเพียงสั้นๆ

    "...นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันอาจเป็นครั้งสุดท้าย"
    "คุณไม่รู้เรื่องนั้น"
    "ใช่ และนายก็ไม่มีวันรู้เหมือนกัน..."

    โทนี่ขีดเขียนเส้นอีกเส้นลงบนโต๊ะ
    มันซิกแซกลงมา...ผ่ากลางรูปหัวใจ

    ลุกขึ้นยืน กลัดกระดุมเสื้อสูทกลับคืนรัง
    โยนผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะ พึมพำผะแผ่ว

    "ฉันมันโง่เองที่มาหลงรักคนอย่างนาย"

    โทนี่ผลุนผลันเดินจากไป
    แต่ไม่ไวกว่าคนตัวโตที่ลุกมาขวางไว้

    อนุภาคนาโนก่อร่างสร้างเกราะหุ้มมือเล็กขึ้นโดยรวดเร็ว เจ้าตัวยิงรีพัลเซอร์แรงต่ำใส่เขาจริงๆ ศีรษะของจอมเวทย์อาจกระจุยไปแล้วหากร่ายเวทย์กำบังไว้ไม่ทัน สตีเว่นคว้าข้อมือโทนี่ กำแน่นไม่ให้ทำอันตรายตนได้อีก ฝ่ายนั้นไม่ยอมง่ายๆ ใช้ถุงมือเกราะอีกข้างหนึ่งจ่ออกกว้าง 

    เขาไม่ได้หลบ
    หรือป้องกันตัว

    "ยิงสิ...เอาเลย..."

    โทนี่ไม่ลดมือลง
    แต่ตัดใจยิงไม่ได้

    ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ ยังพยายามดันร่างคนสูงกว่าออกไป หากยิ่งดิ้นรนยิ่งรู้สึกหมดหนทาง ยิ่งต่อสู้ต้านทานหัวใจอันเปราะบางกลับยิ่งพ่ายแพ้ เพราะทำร้ายคนที่รักหนักหนาไม่ลง เพียงสตีเว่นออกแรงผลักกลับมาเบาๆ เท่านั้น คนตัวเล็กก็ถูกกักขังไว้ระหว่างกรงแขนแกร่งและกำแพงอย่างง่ายดาย ดิ้นขลักได้เพียงสักพักก็หมดแรงหัวใจ

    ใบหน้าหล่อโน้มลงมาใกล้
    ได้แต่เสหน้าหนีไปอีกทาง

    ริมฝีปากหยักสวยจ่ออยู่ข้างแก้ม
    กระซิบ "อย่าไปเลยนะ..."

    เบา บาง ราวกับปุยเมฆลอยผ่าน
    แต่คม บาดหัวใจได้เหมือนใบมีด

    "อยู่กับผม"

    นัยน์ตาคู่สวยช้อนขึ้นสบเป็นเชิงถาม
    มีประกายความเศร้าไหลเวียนดั่งทะเล

    "เพื่ออะไร"
    "อยู่ให้ผมรัก..."

    เกราะนาโนสลายอนุภาคไปหมดแล้ว คนตัวโตกว่าก็ยิ่งเบียดเข้ามาใกล้ ไออุ่นจากร่างนั้นยังละมุนละไมเหมือนในทุกวัน อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ โทนี่หลับตาลง เหมือนกลัวว่าน้ำตาจะไหล ทั้งไม่อยากเชื่อในสิ่งที่โสตสัมผัสได้ยินสักเท่าไร

    "ยังทนคนงี่เง่าไหวอยู่อีกหรือไง"
    "ถึงงี่เง่าก็รัก"
    โทนี่กลั้นเสียงสะอื้น "พูดว่าอะไรนะ"
    "ผมรักคุณ"
    "ร่ายคาถาอะไรอยู่หรือเปล่า ฟังไม่รู้เรื่องเลย..."

    มือเรียวสวยประคองใบหน้านั้นเอาไว้ 
    เลื่อนนิ้วปาดไล้น้ำตาหยดหนึ่งออกไป

    "ผมรักคุณ"

    .

    ความทรงจำถูกปรับแก้ให้เขารู้สึกดีขึ้น

    แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น

    "..."

    สตีเว่นปิดภาพจำลองตรงหน้า ถอดแว่นตา

    มันไม่แก้ความจริงที่โทนี่เดินออกจากชีวิตเขาไป 

    หรือบรรเทาความเจ็บปวดของคนโง่ซึ่งได้แต่นั่งรู้สึกผิดในวันที่สาย ก็เหมือนกับที่มันช่วยผู้คิดค้นของมันเองไม่ได้ แม้โทนี่จะปรับเปลี่ยนภาพจำลองให้เขาพูดอะไรออกมาตามต้องการสักกี่ความทรงจำ ความเป็นจริงก็ยังคงตอกย้ำอีกฝ่ายอยู่ทุกวันจนถึงวินาทีสุดท้าย จนเจ้าตัวเลือกไม่ทน โปรแกรมบาร์ฟไม่เคยบำบัดอะไรได้ มันเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นนิทานหลอกเด็กที่โทนี่ใช้กล่อมตัวเอง เช่นกัน...กับเขามันก็ให้ผลเช่นนั้น

    แค่ความพยายามในการหลอกตัวเอง

    จมอยู่ในหัว ไม่รู้ตัวผ้าคลุมย่องมาตอนไหน
    ปลายปกแหลมตั้งขึ้นเช็ดน้ำตาให้เขาเบาๆ

    สเตรนจ์ยังนั่งนิ่ง เม้มปาก

    อยากตระบัดสัตย์
    อยากผิดคำพูดตัวเองนัก

    ที่เคยว่าไว้ จะไม่ใช้มณีแห่งเวลาแก้ไขอะไร หากมันไม่ร้ายแรงเท่ากับโลกทั้งใบกำลังจะล่มสลายลงตรงหน้า ความจริงมันอาจไม่ผิดอะไรนักก็ได้ เพราะข้อเท็จจริงนั้นเข้าเงื่อนไขที่เคยพูดไปแล้วทุกอย่าง

    ก็ตอนนี้เองที่โลกของเขากำลังจะแตก

    เพราะมันไม่มีโทนี่ สตาร์คอีกต่อไป
    ทนไม่ได้ วันเดียวก็แทบบ้าตายอยู่แล้ว

    สตีเว่นลูบดวงตาแห่งอกามอตโต้อีกครั้ง
    ครุ่นคิด เผลอไผล ชั่งน้ำหนักในใจ

    "..."

    แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

    เขาต้องการโอกาสอีกเพียงครั้งเดียว

    .
    .

    "คุณทำแบบนี้อีกแล้ว"

    คนฟังนั่งไขว่ห้าง ไหล่ตก ตาหลุบต่ำมองผ้าปูโต๊ะ ทุกรายละเอียดดูสมบูรณ์แบบเกินไปจนน่าหงุดหงิด เรียบเกินไป เพราะตั้งใจปูด้วยตัวเองอยู่เนิ่นนาน ประณีตเกินไป เพราะบรรจงเลือกสรรผืนที่ใช่มาอย่างดี ขาวเกินไป... ไวเท่าความคิด ล้วงลงไปในแก้วไวน์ข้างมือ ตวัดเอาของเหลวสีเลือดติดนิ้วซนๆ ขึ้นมา วาดเส้นโค้งลงไปบนพื้นที่สะอาดสะอ้านของผืนผ้าบริเวณข้างจานอาหาร

    ความตั้งใจทุกอย่างที่ใส่ลงไปในวันครบรอบทำเขาหงุดหงิดตัวเองนัก จะพยายามขนาดนั้นไปทำไมให้กับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะให้ความมั่นใจด้วยคำว่ารักเบาๆ เพียงสักคำ และเขารำคาญตัวเองเช่นกัน ทำตัวเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นที่จิตใจไม่มั่นคง โหยหาถ้อยคำยืนยันเพราะตลอดชีวิตไม่เคยแน่ใจว่ามีใครรักตัวเขาจริงๆ บ้าง แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้

    แค่อยากแน่ใจ
    งี่เง่าชะมัด  

     ...เด็กโง่

    "โทนี่"

    เสียงดุๆ ดังขึ้นเล็กน้อย
    นิ้วมือนั้นหยุดชะงัก

    "โทษที ฉันทำ...อะไร?"
    "ขู่จะทิ้งผม"
    เจ้าตัวเม้มปาก "ฉันไม่ได้ขู่ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ การที่ฉันบอกว่าจะไม่มาหานายอีก มันแปลว่าฉันขู่อะไรนายได้ยังไง"
    "คุณรู้ว่าตัวเองหมายถึงอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณ—"
    "ทำตัวงี่เง่า?"
    ถอนหายใจ "...บอกจะทิ้งผม จะไม่มาที่นี่อีก ออกจากบ้านไปกลางดึก แต่สุดท้ายก็กลับมาขดตัวอยู่ข้างผมเหมือนเดิม เหมือนทุกเช้า หยุดทำตัวแบบนี้สักทีได้ไหม"

    โทนี่เงียบไป

    จิ้มไวน์ จรดนิ้ว วาดเส้นโค้งอีกเส้น
    ประกับกับเส้นเก่า...กลายเป็นรูปหัวใจ

    จากคนที่ไม่เต็มใจจะให้...
    เขาอาจจะขอมากเกินไปก็ได้

    "โทนี่ เรายังคุยกันอยู่นะ มองผมหน่อยได้ไหม"
    "ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว นายรู้ว่าฉันต้องการอะไร สตีเว่น สเตรนจ์ พูดมาสิ..."

    คนถูกเรียกชื่อเต็มสูดลมหายใจ
    ไม่รีรอ เอ่ยเสียงดังฟังชัด 

    "ผมรักคุณ"

    โทนี่ชะงัก แวบหนึ่งยังนึกว่าฝันไป
    "นั่นมัน... เอ่อ..." ควานหาคำศัพท์ในหัวไม่เจอ
    "ได้ยินไหม ผมรักคุณ"
    "ได้ยินแล้ว แต่ว่า...นายแน่ใจนะ คือไม่ใช่ว่าพูดเพราะ—"
    "ผมรักคุณ"
    "บอกว่าได้ยินแล้วไงหมอ ไม่ต้องย้ำมากก็ได้ เข้าใจแล้ว"
    "ผมรักคุณ"
    "ยังอีก..."

    เสียงที่ต่อว่าเครือสั่น

    "ผมรักคุณ โทนี่ สตาร์ค"
    "พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ..."

    พึมพำ ก้มหน้า ซ่อนน้ำตา
    สตีเว่นลุกขึ้นจากเก้าอี้

    ทรุดลงตรงข้างเรียวขาเล็ก

    "ถึงกับคุกเข่าเลยเหรอหมอ นี่กะจะขอแต่งงานเลยใช่ไหม..."

    ปากก็แซวไปแบบนั้น แต่รีบรุดลงมานั่งแทบพื้นโดยไว เพราะเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายหน้าซีดเผือด โทนี่ประคองร่างคนตัวโตกว่าขึ้นนอนหนุนตักตน หลังมือเล็กนาบหน้าผากชื้นเหงื่อแล้วสัมผัสได้แต่ความเย็นเยียบ สตีเว่นเอื้อมมือขึ้นคล้ายอยากสัมผัสใบหน้าคนรัก หากเจ้าตัวใช้มืออีกข้างเกาะกุมมันเอาไว้ก่อน

    "เป็นอะไรไป เฮ้ พูดกับฉันสิ..."
    "โทนี่..." 

    เจ้าของชื่อบีบมือคนเรียกแน่น 
    จูบข้อนิ้วที่มีเส้นแผลนูนเบาๆ

    "อยู่นี่ ฟังอยู่ พูดมาสิหมอ พูดอะไรก็ได้...ยกเว้น 'ผมรักคุณ' นะ พอก่อน ตกลงว่าเป็นอะไร ตอบมาเดี๋ยวนี้เลย ต้องตามหมอไหม"
    สตีเว่นส่ายหน้า กลืนน้ำลาย "แค่...พลังหมด ผมไม่เคยทำมาก่อน..."
    "ทำอะไร"
    "หมุนเวลา...ย้อนกลับมาเป็นวันเลย..."
    "แล้วทำทำไม"
    "ผมรักคุณ..."
    โทนี่กลอกตา "บอกว่าพอก่อนไง"
    "ไม่... โทนี่ ผมหมายถึง...ความจริงคืนนี้จบลงแล้วโดยคุณเดินจากผมไป"  

    คนฟังเลิกคิ้ว "เรื่องนั้นได้ยินบ่อย แล้วยังไง คราวนี้มันจบหักมุม?"
    "คุณไม่กลับมา...ไม่เหมือนทุกครั้ง"
    "เออ หักมุมโหดมาก เห็นใจเลย"
    "ผมต้องทำ... ผมไม่อยากเสียคุณไปจริงๆ"

    โทนี่ทิ้งคางลงเกยหน้าผากคนนอนตัก 
    พึมพำ หวาดหวั่น "แล้วนี่จะตายหรือเปล่า..."
    "ขอโทษ...ที่ไม่เคยเข้าใจ"

    ไม่เคยเห็นหัวใจ

    อยากให้เขาเข้าใจที่เราเป็นแบบนี้
    เราเองลองเข้าใจเขาที่เป็นแบบนั้นหรือยัง?

    รัก...ควรเรียนรู้ที่จะเข้าถึงหัวใจกันและกัน
    ไม่ใช่เรียกร้องให้คนรักเข้าใจเราฝ่ายเดียว

    "ก็นะ...ที่จริงมันไม่ควรเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แต่ฉันแก่แล้ว ความฝันที่จะสร้างครอบครัวก็พังทลายมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันไม่อยากเสี่ยงกับอะไรอีกแล้วมันก็แค่นั้นเอง แค่อยากให้รักครั้งนี้เป็นรักสุดท้าย อยากมั่นใจจริงๆ ว่านายรักฉัน เพื่ออนาคตที่เหลือจะได้ใส่นายลงไปคำนวณด้วยได้..."
    "คุณทำให้ผมยิ่งดูเป็นคนเฮงซวยที่บังอาจใจดำกับคุณเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่า"
    "ซึ่งนายก็เป็นจริงๆ...นี่ตกลงจะตายหรือยังเนี่ย"

    สตีเว่นยิ้ม ดึงมือเล็กแต่ละข้างมาจูบ "ไม่หรอก แค่อยากนอนตักคุณนานๆ"
    "คาถาย้อนเวลามันมีผลข้างเคียงทำให้สมองกลับหรือไง"
    "นอนทับไว้แบบนี้คุณจะได้หนีไปไหนไม่ได้ด้วย"
    "เหน็บกินแล้ว ถ้าไม่ได้จะตายก็ลุก"
    "ขอชาร์จพลังอีกนิดนึง..."

    คนอ่อนแรงหลับตาลง

    เปิดเปลือกตาอีกครั้งก็ตอนเจ้าของตักก้มลงมามอบจุมพิตเติมพลังชีวิตให้ สัมผัสนุ่มนวลไม่เพียงลึกซึ้งหอมหวาน แต่ยังทรงคุณค่าเกินบรรยาย เพียงคิดไปว่าจะเป็นอย่างไรหากไม่ได้ความรักนี้กลับคืนมา...

    "อือ..."

    ฟื้นตัวไวเหลือเกินนะ!

    รู้อีกทีคนที่นอนอยู่ก็พลิกตัวกลับขึ้นมาคร่อมร่างเขาเอาไว้เสียแล้ว สตีเว่นไม่ได้ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนทุกที กลับรุกไล่รวดเร็วจนโทนี่ตั้งตัวไม่ติด ราวกับจิตใจสุมด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนา รสจูบที่พร่างพรมไปทั่วใบหน้า ซอกคอ และลาดไหล่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายโหยหาเขามากเพียงใด สองแขนแกร่งสอดลอดผ่านเอวคนตัวเล็กกว่าไปยังด้านหลัง 

    อำนาจเวทย์มนตร์ถูกเรียกใช้
    ประตูเวทย์ส่องแสงวูบวาบ

    สองร่างร่วงหล่นข้ามมิติลงไปยังเตียงนอน

    "สตีเว่น..."

    โทนี่ละริมฝีปากจากจูบอันยาวนาน
    นัยน์ตาหวานมองสบมณีสีอ่อนอีกคู่

    ถาม เพื่อความแน่ใจ

    "นี่ไม่ได้อยากจะเอาใจไถ่โทษอะไรกันใช่ไหม นายไม่ต้อง—"
    "ผมอยากรักคุณ โทนี่"
    "..."

    ไม่รู้ว่าเสียงทุ้มนุ่มหรือสายตาอุ่นละมุนที่จ้องตรงมากันแน่...ทำให้ใจไหวสั่น เขินอายหน้าแดงราวกับสาวน้อยมัธยม เช่นเดียวกับรสชาติในริมฝีปากหยักสวยนั่น...เพียงนึกทุกครั้งก็ยังรู้สึกถึงความหวานอันตราตรึง และอาจต้องนับมือเรียวยาวคู่นั้น...ไม่ว่าสัมผัสลงมายังส่วนใดของร่างกาย ก็แทบจะหลอมละลายไปเสียหมด ไม่มีอะไรในตัวคนคนนี้ที่ไม่ทำให้เขาอยากยอมแพ้...แพ้มันทั้งหัวใจ

    บอกไม่ได้เลย เหตุใดจึงรักมากมายนัก

    "ให้ผมรักคุณได้ไหม..."

    อาจเป็นเพราะทุกอย่างรวมกัน

    ทุกอย่างในตัวชายคนนี้...ที่เขารัก
    รัก...ด้วยทุกอย่างที่ตัวเขามี

    สองขาเล็กโอบกระหวัดรัดเอวเพรียวแกร่งเข้ามาใกล้ 

    "อย่าหยุดก็แล้วกัน..."

    ไม่ว่าต้องผิดใจกันอีกกี่ครั้ง
    ทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกกี่หน

    ได้โปรด...

    อย่าหยุดรักคนงี่เง่าคนนี้เลย







    FIN.








    ------ ( ( E X C L U S I V E ) ) ------


    "แต่งงานกันไหม"

    คนฟังกลอกตามอง มือยังสางเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเล่นเบาๆ "ถามจริง?"
    "ไม่" โทนี่สั่นหัวดุ๊กดิ๊ก "ซ้อมไว้ก่อน เผื่ออีกสองสามปีอยากถามจริง"
    สตีเว่นยิ้มบาง "ถ้าเมื่อกี้ถามจริงอาจจะตกลงไปแล้ว"
    "จริงดิ กลับคำทันไหม" 
    "ไม่"

    โทนี่งับหัวไหล่เปลือยเปล่าของพ่อมดแก้เผ็ด 
    ยกหัวหนุนอกกว้าง มองลำแสงของวันใหม่

    "เช้าแล้ว...อรุณสวัสดิ์หมอ"
    "อรุณสวัสดิ์"

    คำทักทายง่ายๆ ระหว่างคนสองคนที่ได้ตื่นมาเจอหน้ากันเป็นคนแรกอีกครั้ง...อีกวัน มีความหมายเกินกว่าใครจะเข้าใจ หากสตีเว่น สเตรนจ์ไม่ตัดสินใจแหกกฎแห่งเวลาอย่างเห็นแก่ตัว 'วันพรุ่งนี้' ของพวกเขาสองคนอาจไม่มีวันมาถึง มันอาจเป็นเช้าอันแสนสลดเศร้าดุจฝันร้าย เฉกเช่นที่เขาได้ไปประสบมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนตัดสินใจเปลี่ยนแปลงมัน ลึกๆ เขาหวาดหวั่น แต่ไม่เคยคิดเสียใจกับความเป็นจริงที่เลือก

    ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร
    ชดใช้ด้วยราคาสูงแค่ไหนก็ยินดี

    "จะไปไหน..."

    เสียงทุ้มเว้าวอน ไม่ยอมให้อีกคนลุกไป
    มือรวบข้อแขนเล็กเอาไว้ กึ่งๆ จะอ้อน

    โทนี่กลอกตา "ชงกาแฟกินกันตาย"
    "นอนต่อน่าจะกันตายได้มากกว่านะ"
    "ก็ใครใช้ให้อึดถึงเช้า"
    สตีเว่นกระตุกมือเบาๆ "มาเร็ว..."
    "อย่าทำตัวแบบนี้ ขนลุก"
    "โทนี่"

    พึมพำเรียกทั้งหลับตา
    น้ำเสียงอ่อนโยนเกินจำเป็น 

    คนตัวเล็กกัดปากล่างตัวเองแรงๆ

    "ไม่ได้จะหนีไปไหนสักหน่อย ปล่อยน่า"

    ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่กลับยอมอ่อนข้อ นั่งลงตรงริมเตียง ลูบข้อเท้าเปลือยเปล่าของร่างสูงที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาเบาๆ "สตีเว่น กลัวหายนักก็ลุกไปกินกาแฟด้วยกัน มา"
    "ผมรักคุณ" เสียงทุ้มกระซิบ
    "อย่ามาใช้มุกนี้"
    "ผมรักคุณ"
    "หน้าฉันดูเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นเลยเหร—"
    "ผมรักคุณ"
    "ทีนี้อยากได้อะไรก็จะเอาอย่างนี้ใช่—"
    "ผมรักคุณ"
    "สตี—"
    "ผมรักคุณ"

    โทนี่ยอมทิ้งตัวลงนอนอย่างเสียไม่ได้
    ปล่อยให้อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอด

    "สั่งแบนคำนี้ ถ้าพูดอีกจะย้ายออก"

    สตีเว่นเงียบไป ไม่ใช่เพราะกลัวเสียทีเดียวหรอก แต่เพราะปากไม่ว่าง กำลังไล่จูบย้ำซ้ำรอยเดิมจากที่ทำทิ้งไว้เมื่อคืนเล่นมากกว่า เจ้าของแผ่นหลังไม่ได้ว่าอะไร สมองกำลังคิดเรื่องคุย

    "อยากเลี้ยงเด็กสักคนจัง"
    "อยากมีลูกก็ต้องขยันทำ—"
    "ทำบ่อยแล้วมันได้รึไง ไม่ได้ก็อย่าทำพร่ำเพรื่อ"
    สตีเว่นหัวเราะ "แต่คุณอยากมีมานานแล้วนี่ ใช่ไหม"
    "อืม... เสียใจสุดตอนเพ็พเพอร์บอกว่าดีแล้วที่ไม่มี เพราะสุดท้ายก็เลิกกัน"
    "ผมไม่เคยถามเลย ถามได้ไหม เลิกกันเพราะอะไร"
    โทนี่หันหน้ากลับมา "เธอบอกว่า ตั้งแต่วินาทีที่ฉันขึ้นโดนัทยักษ์บินได้นั่นไป ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่คบกันอีก บอกว่า... 'คุณเกิดมาเพื่อโลกทั้งใบ ไม่ใช่แค่ฉัน' ประมาณนี้มั้ง"
    "..."
    "ไงก็เหอะ" โทนี่แตะนิ้วหนึ่งลงบนปลายจมูกโด่ง "คิดยังไงเรื่องเด็ก โอเคเปล่า นี่ไม่ได้กดดันอะไรนะ ถามความเห็นเฉยๆ เอาจริงเหมือนโดนไซโคให้อยากมี เพราะคลินท์มันมีนำหน้าไปเยอะแล้วอะ"
    "ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วแต่คุณ"
    "ฮื่อ...ไม่แล้วแต่ดิ ถ้าไม่อยากก็คือไม่อยาก ไม่ต้องมาตามใจ นี่ก็ยังไม่ใจเลยว่าจะเลี้ยงรอดรึเปล่าถ้ารับมาเลี้ยงจริง จะเป็นพ่อที่ดีได้ไหม"

    คนฟังคลายยิ้มเอ็นดู 
    นิ้วเรียวเกลี่ยไล้แก้มนิ่มเบาๆ 

    "ไม่มีใครรู้หรอก แต่เราพยายามเป็นไปด้วยกันได้ไงครับ"
    "หยุด"
    "หืม"
    "ไม่ต้องมา 'ครับ' กลัว"
    "คำนี้ก็แบนเหรอ"

    ปึง!!!

    เสียงดังจากนอกหน้าต่างเรียกสองใบหน้าให้หันขวับไปมอง โทนี่พุ่งตัวออกไป สั่งการด้วยเสียง ปรับกระจกหน้าต่างให้สว่างจนสุด ร่างของใครสักคนเพิ่งร่วงจากที่สูงซึ่งไม่อาจคาดคะเนได้ลงไปนอนคว่ำกับพื้น สีแดง-น้ำเงินของชุดทำเอาคนมองเบิกตากว้าง สตีเว่นเรียกเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมลวกๆ และอีกตัวเขาคลุมให้โทนี่เร็วๆ ก่อนเปิดประตูมิติลงไปยังชั้นล่าง

    ร่างผอมๆ พยายามยันตัวขึ้น
    ชุดตัวเก่งมีรอยไหม้ละเลงไปทั่ว

    โทนี่พลิกตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาโดยระวัง

    ใบหน้านั้นเปื้อนเปรอะเขม่าควัน
    นอกจากรอยเลือด ฟกช้ำ ยังมีน้ำตา

    "พีท...เกิดอะไรขึ้น!?"







    TBC. (?)






    ___


    Previous in the series: 1 [OS] Possibility l 2 [SF] Possibility X/14,000,605
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in