เรากับนักเขียนส่วนใหญ่เป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเริ่มรู้จักการผลงานหรือรู้จักตัวกันก่อน เราก็ต่างเป็นเพื่อน
ไม่เคยคิดว่าใครเป็น "เพื่อน" หรือ "เพื่อนร่วมงาน" ไม่ใช่ลูกน้อง ไม่มีใครเป็นลูกพี่ เราต่างเป็นมนุษย์ที่มีมิติต่างๆ เพียงแต่มี "งาน" มาเป็นตัวเชื่อมเราในช่วงเวลาหนึ่ง เราก็มองเป็น "ทีม" ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่นั่นเอง ถึงจุดหมายปลายทางของเราจะเป็นแค่กระดาษอัดเล่มไม่ถึง 300 หน้านั่น สุดท้ายเมื่อมันจบลงสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่รอบปาร์ตี้นั้นก็คือเราไม่ใช่หรือ หรือต่อให้ไม่จบก็ตามเราก็นั่นแหละที่จะเดินอยู่ด้วยกัน ดังนั้น สิ่งที่ควรจะเหลืออยู่มันก็ควรจะเป็นความรู้สึกที่ดีที่เราต่างมีให้กัน ไม่ใช่กระดาษที่พอฉีกมันขาดแล้วความเป็นเราจะขาดออกจากกันไปด้วย
และสิ่งที่จะทำให้คนยังคบหากันอยู่ได้ก็คือมองอีกฝ่ายเป็นคน และเราควรจะเข้าใจในความเป็นคน
ท่ามกลางความเครียดและกดดันจากการส่งต้นฉบับช้าหรืออุกอาจต่อเดดไลน์ของนักเขียน เราเลือกที่จะไม่มองทุกคนเป็นแค่ 1 หรือ 0 ค่อยๆ ชำแหละมองดูเป็นอย่างๆ มองดูภาพรวมของชีวิตพวกมัน(เรียกยังงี้ก็เพราะสนิทกัน) ว่าคิดยังไง มีอะไรที่มันคิดไม่เหมือนเรา และเราคิดไม่เหมือนมัน เพราะเพื่อนที่ดีควรจะเข้าใจกัน ไม่ใช่เอาแต่ใจว่ามึงต้องทำตามใจกู และกูจะสนองมึงอย่างดี มันไม่ใช่การแลกเปลี่ยนกันยังงั้น ความสัมพันธ์แบบเพื่อนไม่ควรยืนอยู่บนหลักการตลาด
จะหัวเราะให้กับปัญหาหรือจะร้องไห้ฟูมฟายไปกับมันก็อยู่ที่จะเลือก สำหรับเรา เมื่อปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว โอกาสมันก็เสียไปแล้ว เรื่องอะไรที่เราจะเสียเพื่อนไปอีกคนหรือเสียสมองไปอีกก้อน เอาเวลาหาคนผิดมาแก้ปัญหากัน ค่อยๆ หายใจอย่างใจเย็น หาทางแก้อื่นเท่าที่พอจะมี ส่องหาหนทางที่จะทำให้เกรดของเราพอผ่านเทอมนี้ต่อไปให้ได้
การทำงานในชีวิตจริง จริงอยู่ทเราต่างมีชีวิตปัจเจกได้ เราไม่จำเป็นต้องง้อใคร แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายเราก็ยังต้องการเพื่อนที่คุ้นเคย ไม่ใช่ไม่พอใจใครก็ล้างไพ่แล้วเจอหน้าใหม่กันหมด เราทำยังงั้นไปตลอดไม่ได้หรอก
แต่เมื่อมองยังงี้ ก็ใช่ว่าเพื่อนบางคนจะควรค่าแก่การคบหาเสมอไป เพราะเมื่อเราเอาตัวเองเป็นคนเลือกมุมมอง ปัจจัยในการคัดเลือกความสัมพันธ์มันจึงอยู่ที่เราเอง เมื่อเราเป็นมนุษย์ที่ทุกข์ได้สุขได้ หากเพื่อนสักคนเป็นสาเหตุให้เราทุกข์ อยู่ในระดับที่ไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะตัดเนื้อร้าย (สำหรับเรา) ออกไป เพื่อใช้ชีวิตต่อไปอย่างเป็นสุข
เมื่อให้เกียรติกันอย่างเต็มที่แล้วยังกระเทือน เมื่อเช็กแล้วว่าเราแฟร์และไม่มีอะไรผิดพลาดในด้านของเรา มันก็คงต้องตามนั้น...
แน่นอน เราก็ไม่สามารถเรียกให้ทุกคนมองอย่างนี้ได้ ต้องมีบางคนที่เห็นว่าเราเป็นเพียงคนจรที่เข้ามารวมตัวกันเพื่อกิจการบางอย่าง จากนั้นก็แยกย้ายกันไป เหมือนวันไนท์สแตนด์ที่รุ่งเช้าก็โบกมือลาจาก จะรู้สึกยังไงน่ะหรือ? ยักไหล่ให้สองทีก็เกินพอ ถามว่าคนที่คิดยังงี้มันผิดไหม ไม่เลยสักนิด
เพราะเรารักใคร ก็ไม่เห็นจำเป็นว่าเขาจะต้องรักตอบเลยจริงไหมล่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in