เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เหาฉลามNatchanon Mahaittidon
Friend Fired
  • ในการทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคน สิ่งที่จำเป็นมากๆ คือการแยกแยะระหว่าง "เพื่อน" กับ "เพื่อนร่วมงาน"

    การทำงานในชีวิตจริงต่างจากการทำงานกลุ่มในสารพัดวิชาของนักเรียนนักศึกษาที่บางครั้งก็เว้นที่เอาไว้ให้ความอีลุ่ยฉุยแฉกได้(เขียนถูกไหมเนี่ย) เพราะต่อให้มันห่วยแตก หนักที่สุดก็เป็นแค่เกรดที่ต่ำ ไม่ใช่การแบกศักดิ์ศรีหรือชื่อเสียงของบริษัทเอาไว้เหมือนช่วงวัยทำงานจริง ดังนั้นความจริงจังในโลกแห่งการทำงานจึงซีเรียสกว่าการทำงานกลุ่มเยอะมาก

    แต่กับความสัมพันธ์ล่ะ มันแยกแยะยังงี้ได้ไหม?

    เรารู้สึกสนิทสนมกับเพื่อนช่วงมัธยมหรือมหาวิทยาลัยได้มากกว่าเพื่อนใหม่ในออฟฟิศได้หรือ? เราสงวนความรู้สึกใกล้ชิดได้ไหม? จะคัดง้างการเปิดใจรับได้ไหมกับความสัมพันธ์ของเพื่อนวัยทำงานได้ยังไงในเมื่อเราก็กินข้าวละแวกเดียวกัน มีจุดหมายเดียวกัน และหลายทีก็คงพูดได้ว่า "ลงเรือลำเดียวกัน" 

    ที่แตกต่างไปหน่อยก็คือ เรือลำนี้ล่มไม่ได้...ไม่เหมือนสมัยมัธยมที่เกรดตกหน่อยก็แค่ขำๆ ไม่ถึงตาย ผิดไปจากสมัยนี้ที่ผิดแม้เพียงน้อยนิดก็อาจถึงชีวิตได้!

    และอาจเป็นความไร้เดียงสา ที่หลายคนในวัยทำงาน มักเจ็บหนักไปกับการมอบหัวใจให้กับเพื่อนใหม่ เป็นความเจ็บช้ำจากความสำพันธ์ระดับ "เพื่อน" ไม่ใช่แค่ "เพื่อนร่วมงาน" เมื่ออีกฝ่ายทำงานช้า สาย จนทำให้ระบบมันปั่นป่วน จากที่เคยซาบซึ้งถึงฝีมือ ความไนซ์ที่เคยบันทึกได้ ภาพในอดีตที่เคยหัวเราะเฮฮากันในวงข้าว ก็พังทลายและกลายเป็นความแค้นในที่สุด อย่าว่าแต่กินข้าวร่วมโต๊ะ แค่ตายังไม่มองกัน เป็นความเจ็บที่ต่อให้อีกฝ่ายจะลาออกไปเป็นปี เปลี่ยนคนใหม่มาแทนที่ ก็ใช่ว่าจะสบายใจหรอก

    โลกแห่งความจริงจึงเป็นโลกแห่งการเผื่อใจ เผื่อเอาไว้ให้กับความผิดหวัง ในเมื่อทุกคนนั้นเหมือนใบไม้คนละใบ ที่ดูผิวเผินนั้นคล้ายคลึงกันจนชวนคิดได้ว่าเราเกิดมาเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ชวนประทับใจ แต่เมื่อความจริงปรากฏ เราโตมาคนละกิ่ง แดดลมที่โดนก็อาจไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าเมื่อมันไม่เหมือนอย่างหวัง บางสิ่งบางอย่างจึงพัง และนั่นเป็นปัญหาของตัวเราเอง
  • ที่พูดเรื่องนี้ก็เพราะคิดถึงการทำงานกับนักเขียน ที่แน่นอนว่า ครั้งแรกที่คุยก็ต่างมีภาพสมบูรณ์เป็นผลงานชิ้นหนึ่งที่น่าชื่นชม เป็นหนังสือที่คนอ่านน่าจะชื่นชอบ อนาคตมักเป็นพื้นที่ราบแถมดินยังร่วนปักธงง่าย เดดไลน์วันนี้ พยักหน้ารับกันสบายไร้ปัญหา ลุยเลยสหาย

    โดยที่ลืมไปว่าเวลาที่เคลื่อนไปก็คล้ายเราอยู่ในห้วงอวกาศ ก้อนดินปลิวว่อน หินอุกกาบาตอาจร่อนมาโดนหัวจนเลือดกระเซ็น 

    การทำงานทุกอย่างล้วนมีขั้นตอน หลายครั้งเป็นขั้นที่ยากเย็นแสนเข็ญ ไอเดียตีบตันตีลังกาคิดก็ไม่ออก ไหนจะภารกิจชีวิตที่พัวพัน สำหรับบางคน—งานเขียนไม่ใช่สรถะของชีวิต ไม่ใช่ไพรออริตี้ที่หนึ่ง เป็นงานอดิเรก เป็นเพียงความฝันส่วนตัว หนักกว่านั้น เป็นเพียงหน้าที่ที่รับปากเอาไว้ ไม่เหมือนกับฝ่ายกองบรรณาธิการที่มีหนังสือกระดูกสันหลังของอาชีพ ความเดือดเนื้อร้อนใจจึงขึ้นอยู่ที่เราเยอะเป็นพิเศษ เมื่อระบบมันเริ่มพินาศจนยากแก้ไข เราถึงเจ็บกว่า ก็เพราะเราอยู่ใกล้ระเบิดมากกว่า และนั่นเป็นปัญหาของตัวเราเอง
  • เรากับนักเขียนส่วนใหญ่เป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเริ่มรู้จักการผลงานหรือรู้จักตัวกันก่อน เราก็ต่างเป็นเพื่อน 

    ไม่เคยคิดว่าใครเป็น "เพื่อน" หรือ "เพื่อนร่วมงาน" ไม่ใช่ลูกน้อง ไม่มีใครเป็นลูกพี่ เราต่างเป็นมนุษย์ที่มีมิติต่างๆ เพียงแต่มี "งาน" มาเป็นตัวเชื่อมเราในช่วงเวลาหนึ่ง เราก็มองเป็น "ทีม" ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่นั่นเอง ถึงจุดหมายปลายทางของเราจะเป็นแค่กระดาษอัดเล่มไม่ถึง 300 หน้านั่น สุดท้ายเมื่อมันจบลงสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่รอบปาร์ตี้นั้นก็คือเราไม่ใช่หรือ หรือต่อให้ไม่จบก็ตามเราก็นั่นแหละที่จะเดินอยู่ด้วยกัน ดังนั้น สิ่งที่ควรจะเหลืออยู่มันก็ควรจะเป็นความรู้สึกที่ดีที่เราต่างมีให้กัน ไม่ใช่กระดาษที่พอฉีกมันขาดแล้วความเป็นเราจะขาดออกจากกันไปด้วย 

    และสิ่งที่จะทำให้คนยังคบหากันอยู่ได้ก็คือมองอีกฝ่ายเป็นคน และเราควรจะเข้าใจในความเป็นคน

    ท่ามกลางความเครียดและกดดันจากการส่งต้นฉบับช้าหรืออุกอาจต่อเดดไลน์ของนักเขียน เราเลือกที่จะไม่มองทุกคนเป็นแค่ 1 หรือ 0 ค่อยๆ ชำแหละมองดูเป็นอย่างๆ มองดูภาพรวมของชีวิตพวกมัน(เรียกยังงี้ก็เพราะสนิทกัน) ว่าคิดยังไง มีอะไรที่มันคิดไม่เหมือนเรา และเราคิดไม่เหมือนมัน เพราะเพื่อนที่ดีควรจะเข้าใจกัน ไม่ใช่เอาแต่ใจว่ามึงต้องทำตามใจกู และกูจะสนองมึงอย่างดี มันไม่ใช่การแลกเปลี่ยนกันยังงั้น ความสัมพันธ์แบบเพื่อนไม่ควรยืนอยู่บนหลักการตลาด 

    จะหัวเราะให้กับปัญหาหรือจะร้องไห้ฟูมฟายไปกับมันก็อยู่ที่จะเลือก สำหรับเรา เมื่อปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว โอกาสมันก็เสียไปแล้ว เรื่องอะไรที่เราจะเสียเพื่อนไปอีกคนหรือเสียสมองไปอีกก้อน เอาเวลาหาคนผิดมาแก้ปัญหากัน ค่อยๆ หายใจอย่างใจเย็น หาทางแก้อื่นเท่าที่พอจะมี ส่องหาหนทางที่จะทำให้เกรดของเราพอผ่านเทอมนี้ต่อไปให้ได้ 

    การทำงานในชีวิตจริง จริงอยู่ทเราต่างมีชีวิตปัจเจกได้ เราไม่จำเป็นต้องง้อใคร แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายเราก็ยังต้องการเพื่อนที่คุ้นเคย ไม่ใช่ไม่พอใจใครก็ล้างไพ่แล้วเจอหน้าใหม่กันหมด เราทำยังงั้นไปตลอดไม่ได้หรอก

    แต่เมื่อมองยังงี้ ก็ใช่ว่าเพื่อนบางคนจะควรค่าแก่การคบหาเสมอไป เพราะเมื่อเราเอาตัวเองเป็นคนเลือกมุมมอง ปัจจัยในการคัดเลือกความสัมพันธ์มันจึงอยู่ที่เราเอง เมื่อเราเป็นมนุษย์ที่ทุกข์ได้สุขได้ หากเพื่อนสักคนเป็นสาเหตุให้เราทุกข์ อยู่ในระดับที่ไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะตัดเนื้อร้าย (สำหรับเรา) ออกไป เพื่อใช้ชีวิตต่อไปอย่างเป็นสุข

    เมื่อให้เกียรติกันอย่างเต็มที่แล้วยังกระเทือน เมื่อเช็กแล้วว่าเราแฟร์และไม่มีอะไรผิดพลาดในด้านของเรา มันก็คงต้องตามนั้น...

    แน่นอน เราก็ไม่สามารถเรียกให้ทุกคนมองอย่างนี้ได้ ต้องมีบางคนที่เห็นว่าเราเป็นเพียงคนจรที่เข้ามารวมตัวกันเพื่อกิจการบางอย่าง จากนั้นก็แยกย้ายกันไป เหมือนวันไนท์สแตนด์ที่รุ่งเช้าก็โบกมือลาจาก จะรู้สึกยังไงน่ะหรือ? ยักไหล่ให้สองทีก็เกินพอ ถามว่าคนที่คิดยังงี้มันผิดไหม​ ไม่เลยสักนิด

    เพราะเรารักใคร ก็ไม่เห็นจำเป็นว่าเขาจะต้องรักตอบเลยจริงไหมล่ะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in