เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SCHEMING SCANDALSamanthachiew
Scheming Scandal; การปล้น ขนมเค้ก และกองซากมะเขือเทศ (ตอน4)
  • 4


    ดวงตาสีเขียวคู่นั้นมองผมนิ่ง ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน และนิ้วข้างหนึ่งของเธอเคาะลงบนหัวเข่าเบาๆ อันเป็นบุคลิกประจำตัวของเธอเมื่อต้องชั่งใจพูดอะไรบางอย่างออกมา


    ใบหน้าของเธอมักจะซีดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันซีดยิ่งกว่าเดิม จนทำให้ผมสามารถมองเห็นรอยกระเล็กๆบนโหนกแก้มเธอชัดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็บอกกับตัวเองในใจว่าเธอช่างดูสวยน่ารักเหลือเกิน แล้วผมก็บอกเธอไปอย่างนั้น


    แต่เธอยังคงไม่พูดอะไรออกมา


    ผมเคี้ยวข้าวโพดคั่ว ขณะที่เพ่งมองท่าทีของเธอ


    “คุณไม่ต้องทนดูหนังต่อก็ได้นะ ถ้าคุณไม่ชอบ” ผมบอกเธอ ดูบรรยากาศลานจอดรถฉายหนังที่ดูเหมือนจะร้อนกว่าทุกที “ค่ำนี้อากาศไม่ค่อยดี คุณคงร้อนและอึดอัด เดี๋ยวผมจะขับไปส่งคุณที่บ้าน”


    เธอยังคงนิ่ง


    “หรือเราจะแวะดูดาวกันก่อนก็ได้ คุณชอบนั่งดูดาวนี่” แหงล่ะ ว่าผมไม่ชอบ เพราะมันง่วง แต่ผมก็อยากให้เธอมีความสุข โดยเฉพาะช่วงนี้ ช่วงที่เธอดูมีเรื่องกังวลใจ -- อันที่จริงก็เป็นระยะเวลาหลายเดือนมาแล้ว


    ไม่มีอะไร -- นั่นเป็นคำตอบที่เธอให้ผมทุกครั้งที่ผมเอ่ยปากถาม


    แต่ชัดเจนว่าครั้งนี้เธอน่าจะมีอะไรพูดกับผมสุดๆ และต้องการจะอยู่ที่นี่เพื่อพูดธุระนั่นกับผม เธอดูนิ่งมาก นิ่งจนแม้ว่าเสียงของหนังเรื่องซอมบี้จะดังเป็นระยะตามฉากระทึกสยองขวัญมากแค่ไหนก็ตาม เธอก็ไม่สะดุ้งสักนิด หรือกรีดร้องสักแอะ ต่างกับผู้ชมในรถคันอื่นที่สะดุ้งและกรีดร้องกันดังลั่น -- ดูเหมือนใจของเธอจะอยู่ที่อื่น -- ไม่ใช่หน้าจอผ้าใบฉายหนังผืนยักษ์ในลานจอดรถ และไม่ใช่ในรถกระบะเก่าๆโกโรโกโสคันนี้


    ผมลอบมองเธอจากด้านข้าง ด่ำดิ่งไปกับบรรยากาศอันชวนอึดอัดนี้ พยายามสัมผัสและตีความหมายมัน


    จนในที่สุดผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง สองมือเผลอกำพวงมาลัยแน่น


    “ตอนนี้คุณอยู่ที่อื่น” ผมพูดออกมา


    “ฉันอยู่ที่นี่ ซันนี่” เธอพูดห้วนๆ


    “ไม่ใช่” ผมจ้องมองเธอ “ผมหมายความว่าใจของคุณอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ที่ผม”


    ลูซี่เบิกตาโพลง เธอหันมาเผชิญหน้ากับผมในที่สุด “คุณรู้มานานหรือยัง”


    “ผมเพิ่งจะคิดได้เมื่อครู่นี้”


    คำตอบของผมทำให้ลูซี่หลับตา สีหน้าดูเจ็บปวด และรู้สึกผิด


    “คุณเป็นคนน่ารัก ซันนี่ คุณอ่อนโยน ไม่บ้าระห่ำ หรือชอบความรุนแรงเหมือนอีกหลายคนในเมืองแห่งนี้ คุณไม่สบถ คุณไม่ดูถูกใคร -- และคุณเป็นคนซื่อ คุณแสดงความรักออกมาอย่างซื่อตรงตลอด”


    “แต่--” ผมต่อให้เธอ


    “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะพูดต่อ”


    “คุณคงไม่ทิ้งผมไป เพราะผมซื่อหรอก ลูซี่ มันต้องมีอะไรมากกว่าความซื่อ คุณถึงจะไปจากผมวันนี้ แต่คุณไม่กล้าพูดมันออกมาเป็นประโยคแรก” ผมฝืนมองเธอด้วยความเจ็บปวด ใจหนึ่งไม่อยากให้เธอยอมรับว่าที่ผมพูดนั้นเป็นความจริง ผมอยากให้เธอตอบว่า ‘เปล่านะ ซันนี่ ฉันล้อคุณเล่น เย้ ฉันหลอกคุณสำเร็จ เอาล่ะ เรามาดูหนังซอมบี้นี่กันต่อเถอะ ส่งข้าวโพดคั่วมาให้ฉันหน่อยสิ’


    แต่ในความเป็นจริงนั้น ลูซี่บอกกับผมอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณซื่อมากเกินไป อ่อนโยนมากเกินไป ไม่รู้สิ ซันนี่ แต่มันดูเหมือนสองสิ่งนั้นได้ทำให้คุณกลายเป็นคนรักความสงบมากเกินไปด้วยเหมือนกัน คุณอยู่ได้สบายๆ ด้วยชีวิตประจำวันที่เหมือนเดิม ผู้คนเดิมๆ สังคมเดิมๆ  -- คุณรับงานเล็กๆน้อยๆ แลกกับค่าอาหารนิดๆหน่อยๆ มีความสุขเวลาเห็นลูกหมา มีความสุขกับการกินมื้อค่ำที่ร้านอาหารถูกๆ และมิลค์เชคจืดๆ มีความสุขกับการออกกำลังกายทุกเย็น ด้วยการเดินเล่นอยู่ในเขตหลังเมือง แล้วเราต่างก็รู้ดีว่าถิ่นหลังเมืองของเรามันเน่าเฟะแค่ไหน -- อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันรักที่คุณเป็นแบบนั้น ฉันรักที่คุณเรียบง่าย และมองโลกในแง่ดีเสมอ -- แต่ตอนนี้ฉันมาถึงจุดที่--” ลูซี่พูดอย่างรัวเร็ว และติดๆขัดๆ “จุดที่ชีวิตฉันต้องมีมากกว่านี้ -- ฉันจำเป็นต้องมีความมั่นคงและอนาคต”


    “ลูซี่ ผมนึกว่าคุณมีความสุขมาตลอดเสียอีก ไหนคุณบอกว่ามิลค์เชคนั่นอร่อย และมันทอดร้านประจำเราก็ถูกปาก”


    “ฉันถึงได้บอกคุณไงคะ ว่าอย่าเข้าใจฉันผิด ฉันมีความสุขตลอดเวลาที่ได้อยู่กับคุณ ซันนี่ที่รัก ถึงแม้ว่าความจริงแล้วรสชาติอาหารร้านนั้นมันจะจืดชืดก็ตาม แต่มันก็ไม่เกี่ยวกัน -- มันไม่เกี่ยวกับเรา ตลอดเวลาที่อยู่กับคุณ ฉันมีความสุขมากจริงๆ”


    “นั่นไม่มากพอให้คุณรักผมต่อไปหรือ ลูซี่” ผมถามเธอเบาๆ “เพราะถ้านั่นไม่พอ ผมสามารถให้คุณเพิ่มได้นะ ผมทำอะไรให้คุณหนักใจหรือเปล่า ถ้ามันเป็นเพราะชีวิตประจำวันของผม ที่ทำให้คุณเบื่อ ทนอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ ผมสามารถเปลี่ยนให้คุณได้นะ เราเปลี่ยนแปลงมันได้ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมไง เราจะได้หัวเราะด้วยกันทุกวันเหมือนเดิม เหมือนทุกวันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์”


    ลูซี่ยิ้มเศร้าๆ “โธ่ ซันนี่” เธอพึมพัม “ฉันหัวเราะกับคุณทุกวัน จนฉันเคยคิดว่าถ้าฉันอยู่กับคุณ ฉันคงไม่มีวันเศร้าหรือร้องไห้ และในทุกๆวัน คุณคงจะมีเรื่องตลกมาเล่าให้ฉันหัวเราะมากมาย”


    ผมรู้สึกคอแห้งผาก


    บางทีลูกหมาที่ถูกทิ้งอยู่ข้างถนนคงรู้สึกแบบนี้ -- มันคงรู้สึกแบบนี้ในตอนที่ถูกอุ้มมาวางไว้ข้างถนน -- คำตอบของลูซี่ทำให้ผมสัมผัสได้ว่าเธอตัดสินใจเรื่องนี้มานานแล้ว


    เสียงหัวเราะที่ผมมอบให้เธอ อาจจะดูเบาบาง และอ่อนแอ เกินกว่าจะเติบโตเป็นความมั่นคงได้


    ลูซี่ร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของผม เธอพึมพัมขอโทษ ขณะที่น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้ม


    ผมฟังโดยที่ไม่ละสายตาไปจากดวงตาสีเขียวคู่นั้น ก่อนจะค่อยๆพูดออกมาว่า “ที่รัก ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ -- ถ้าคุณต้องการอนาคตและความมั่นคง ผมสามารถให้คุณได้  ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตาม ผมสามารถให้คุณได้” ผมสูดลมหายใจ “ถ้าผมพูดแบบนี้ พอจะใช้ได้ไหม คุณจะคิดใหม่เรื่องทิ้งผมไปหรือเปล่า ลูซี่”


    ลูซี่น้ำตาไหลต่อไป เธอเม้มปากที่สั่นระริกไปนาน ก่อนจะพูดออกมาอย่างแผ่วเบา


    “ซันนี่ คุณหมายความว่าอย่างไร ที่บอกว่าอนาคตกับความมั่นคงคือ ‘ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตาม’ คุณรู้ใช่ไหม ว่ามันคืออะไร และหมายถึงอะไรกันแน่”


    “ลูซี่ พ่อด่าผมกระเจิงอยู่ทุกวัน ผมรู้แน่ว่ามันคืออะไร ผมรู้ว่ามันหมายถึงผมต้องทำงานที่มั่นคง และทำมันอย่างหนัก” ผมพยายามขับไล่หน้าพ่อออกไปจากหัว “แต่เขตหลังเมืองไม่มีงานมั่นคงที่ว่านักหรอก งานมั่นคงมากสุดที่คนระดับผมจะพอขอสมัครได้ ก็คือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ที่เขาไม่คิดจะรับผม”


    ลูซี่มองผม “คุณเคยไปสมัครแล้วหรือ”


    “ผมเคยไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล -- พูดให้ง่ายๆก็คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทางเข้าออกโรงพยาบาลน่ะนะ -- แต่เขาไม่ต้องการคนเพิ่ม เพราะโรงพยาบาลเป็นหนี้จนใกล้จะเจ๊งแล้ว -- ผมรู้ ลูซี่ ผมไม่เหมาะกับงานนั่น แต่ผมก็ลองไปสมัครแล้ว มันไม่มีทางเลือกให้ผมเท่าไหร่นักหรอก”


    “ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรงพยาบาลจะปิดตัวได้ -- ฉันหมายความว่าฉันรู้นะ ว่าโรงพยาบาลเขตหลังเมืองของเรามันเน่าแค่ไหน ขาดแคลนบุคลากรขนาดไหน และมีแต่คนเจ็บหนัก กับคนอารมณ์บูดบึ้งมากแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะปิดตัว -- ถ้าอย่างนั้น เราจะไปหาหมอกันยังไงล่ะ”


    “คงต้องเข้าตัวเมือง” ผมตอบ แต่ราคาที่ต้องสู้ คงทำให้ใครหลายคนยอมป่วยต่อไป -- ผมนึก


    ลูซี่ส่ายหน้า ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “นี่คือสิ่งที่ฉันจะบอก” เธอกระซิบ “ฉันอยู่ในเขตหลังเมืองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”


    “คุณอยากจะเป็นคนในตัวเมือง -- ไม่ใช่เขตหลังเมือง” ผมสรุปในที่สุด รู้สึกเหมือนโดนมีดแทงที่กลางอก “เพราะมันไม่มีอะไรดีๆเหลือให้คุณอีกต่อไปแล้ว นอกจากกองขยะและพวกสวะสังคม  และความซื่อของผู้ชายที่อยู่ข้างคุณตอนนี้ ก็ไม่ใช่ใบเบิกทางให้คุณไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมศิวิไลซ์ได้เลย”


    น้ำเสียงของผมทำให้ลูซี่จ้องมองผมด้วยดวงตาที่เจ็บปวด และผมก็มองเธอผ่านม่านน้ำตา รู้สึกในนาทีนั้นว่าเธอดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่ใช่ลูซี่ที่ผมเคยรักเคยรู้จักกันมานาน


    “แล้วผมล่ะ ลูซี่” ผมถามเธอแผ่วเบา แทบไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง “แล้วคำสัญญาของเราล่ะ”


    “มันซับซ้อนมากกว่านั้น ซันนี่” เธอกระซิบบอก หลบสายตาผมเป็นครั้งแรก “นั่นล่ะ ชีวิตวัยผู้ใหญ่ และคุณคงไม่มีวันเข้าใจ”


    ลูซี่เอี้ยวตัวไปเปิดประตูรถ กระแทกมันแรงๆ แต่มันก็ไม่ยอมเปิด  จนกระทั่งผมบอกเธอว่าประตูมันเสีย ต้องกระแทกอีกองศาถึงจะเปิดได้ เธอจึงออกแรงใหม่ แล้วเปิดมันได้ในที่สุด  เธอรีบเดินออกจากลานรถฉายหนังอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปในความมืดสลัวของค่ำวันนั้น


    ทิ้งให้ผมนั่งอยู่ในรถกระบะคันเก่าๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของเหยื่อซอมบี้ และซากศพมนุษย์ที่ถูกกัดกิน แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับแผลในใจผม -- มันยิ่งกว่าเจ็บ หรือถูกกัดกิน -- หัวใจผมมันหายไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ร่างที่นิ่งเฉยชาไร้ความรู้ และน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม


    นั่นละ คือความเจ็บปวดที่แท้จริง


    แล้วเสียงกรีดร้องของเหยื่อซอมบี้ก็ดังโหยหวนอีกครั้ง -- คราวนี้ดังอย่างเนิ่นยาวนาน


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
rcngfylwb (@gfjyellow__)
ตอนนี้ค่อนข้างดราม่า แต่แอบหลุดขำตอนที่ลูซี่ทิ้งท้ายไว้เท่ ๆ แต่เปิดประตูไม่ออก 5 มันคงกระอักกระอ่วนน่าดู ชอบการบรรยายจังค่ะ รู้สึกเจ็บตามพ่อซันนี่เลย;;
Samanthachiew (@Samanthachiew)
@gfjyellow__ รถมันเก่า ช่วยไม่ได้ ประตูเลยพังค่ะ 555