เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SCHEMING SCANDALSamanthachiew
Scheming Scandal ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย (ตอนที่2)


  • 2


    อันที่จริง เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากการพูดคุยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น


    วันนั้นผมกำลังนั่งอยู่ในสวนเล็กๆหลังบ้านตัวเอง มองดูต้นไม้ที่ใกล้ตาย กับพงหญ้าที่รกรุงรัง ในใจคิดว่าบางทีแม่อาจจะพูดถูก หญ้าอาจจะขึ้นสูงเกินไป และต้นไม้อาจจะดูเป็นซากแห้งแล้งเยอะเกินไป จนทำให้บ้านเล็กๆของเราที่ดูโทรมอยู่แล้ว กลับโทรมยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า และนั่นก็ทำให้ทุกคนในบ้านอารมณ์ขุ่นมัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เพียงแต่แสดงออกมาต่างกันเท่านั้น


    เริ่มต้นจากพ่อบ่นทุกอย่างที่เป็นค่าใช้จ่าย แม่แพ้ฝุ่นที่พัดมาจากเขตก่อสร้างในตัวเมือง และผมที่ดูซังกะตายเหมือนต้นหญ้าเหี่ยวๆ  แล้วเมื่อเราสามคนมาอยู่ด้วยกันนั้น มันก็เหมือนระเบิดดีๆนี่เอง


    “ฉันให้เวลาแกสามปี” พ่อบอกผม พร้อมกับโบกสามนิ้วที่หนาและป้อมไปมา ขณะที่เรากำลังทานมื้อเย็นในค่ำวันหนึ่ง “ถ้าสามปีนี้ แกยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มันก็ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะต้องเลี้ยงแกอีกต่อไป”


    แม่บอกพ่อว่าไม่ควรกดดันผมแบบนั้น โดยเฉพาะตอนที่เรากำลังทานมื้อเย็นด้วยกันพร้อมหน้า


    “แกอายุยี่สิบแล้ว” พ่อพูดต่อโดยไม่สนใจคำประท้วงของแม่ “ถ้าเด็กหนุ่มทุกคนในเมืองหางานทำได้โดยไม่ต้องพึ่งใบปริญญา แกเองก็ควรที่จะทำได้”


    จากนั้นพ่อก็บอกว่าผมควรหาเงินได้ พึ่งพาตัวเองได้ ให้สมกับเป็นลูกผู้ชายที่สามารถหาซื้อถั่วอบชืดๆ และเนื้อถูกๆมากินเองได้ แทนที่จะถูกบังคับให้กิน


    และนั่นก็ทำให้แม่อารมณ์ขึ้น


    “ระวังปากของคุณไว้ให้ดี” แม่พูดเสียงเฉียบ มือที่ตักถั่วกับเนื้ออบชะงักกลางอากาศ “ถ้าวันนึงคุณกลับจากงานแบกอิฐแบกปูนของคุณแล้วไม่เจอถั่วอบชืดๆ และเนื้อถูกๆของคุณ เมื่อนั้นแหละที่รัก ฉันจะสอนให้คุณรู้จักเอง ว่าการไม่มีถั่วแข็งๆกินบนโต๊ะอาหารค่ำน่ะ มันแย่ยิ่งกว่าการอบถั่วเน่าๆให้พอกินได้หลายเท่า”


    แต่ผมรู้ดีว่าแม่ไม่ได้เป็นทุกข์กับการพยายามปรุงถั่วเท่ากับการที่ต้องประคองไม่ให้บ้านหลังนี้เน่าเป็นกองขยะ ถึงแม้ว่าสารรูปมันแทบจะแก้ไขอะไรให้ดีกว่าเดิมไม่ได้แล้ว แต่ดูเหมือนแม่ต้องการและพยายามให้บ้านหลังนี้ไม่เป็นแหล่งรวมความทุกข์ และอารมณ์โกรธเกรี้ยวทั้งหลาย เหมือนกับบ้านอีกหลายหลังในละแวกแห่งนี้


    “แกต้องไม่จบลงที่นี่” แม่มักจะบอกผมอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “แม่จะดีใจมาก ถ้าวันนึงพบว่าลูกชายคนเดียวของแม่ไปจากเมืองเน่าๆนี่ ไปจากบ้านโกโรโกโสที่ไม่มีอนาคตอะไรเหลือไว้ให้ นอกจากสองตายายแก่ๆ และเศษหลังคาที่ผุพังลงมา”


    ผมเองก็ไม่อยากจะจบลงที่นี่เช่นเดียวกัน


    แต่ผมไม่คิดว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบ่ายวันนั้นฟิชเชอร์ กับเจคแวะมาหา และถูกบังคับให้ทานพายถั่วอบของแม่


    ฟิชเชอร์พ่นมันทิ้งลงสนามหญ้าทันทีที่แม่เดินกลับเข้าไปในบ้าน  “เอาล่ะ นายอายุเท่าไหร่แล้วซันนี่”


    “ยี่สิบ” ผมตอบ มองดูเจคที่พยายามแทะพายทีละนิด “จริงๆก็หมายถึงพรุ่งนี้ฉันจะยี่สิบล่ะนะ”


    “ยินดีด้วย พรุ่งนี้วันเกิดนาย เพื่อน” ฟิชเชอร์พูด น้ำเสียงดูร่าเริงผิดธรรมชาติ “เจคนายล่ะ อายุเท่าไหร่”


    “ยี่สิบสอง”


    “ส่วนฉันก็ยี่สิบห้า” ฟิชเชอร์ว่า “และฉันคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ที่เราจะจมปลักอยู่ที่นี่”


    “ที่นี่น่ะหรือ”


    “ใช่ ที่นี่ ที่เมืองเล็กๆเน่าๆแห่งนี้”


    “จริงๆเมืองก็ไม่ได้เน่านะ แต่ละแวกที่เราอยู่น่ะ --”


    “ซันนี่ อย่าขัดคอลูกพี่สิ” เจคว่า ถ่มพายถั่วลงสนามหญ้า


    “กลิ่นขยะเน่าคลุ้งมาจากทุกซอกซอย ตึกโทรมๆที่แทบจะพังลงมาทุกครั้งที่พายุเข้า คราบเลือด เศษกระจก และเศษยาสูบเต็มริมข้างทาง” ฟิชเชอร์พูดต่อไป สายตากวาดมองออกไปนอกรั้วบ้านขึ้นสนิม “ที่นี่มันตายไปนานแล้ว เรากำลังใช้ชีวิตอยู่บนหลุมศพโดยที่ไม่รู้ตัวเลย และไม่มีใครเห็นด้วยซ้ำว่าเรามีตัวตนอยู่ เรามันเป็นแค่เศษสังคมจากเขตหลังเมือง”


    ข้อนี้ผมไม่เถียง


    “พ้นนอกเขตรั้วหลังเมืองนี้ไปแล้ว ในตัวเมืองกลับรุ่งเรือง ธนาคารเปิดทำการเพิ่ม ร้านค้าก็เปิดทำการเพิ่ม และเผื่อแกไม่เชื่อ ตอนนี้มีร้านขนมหวานเปิดเพิ่มอีกหนึ่งร้านด้วยซ้ำ”


    “ฉันเชื่อนาย ฟิชเชอร์ ร้านขนมหวานของคุณซาร่าใช่ไหม”


    ฟิชเชอร์กับเจคประสานเสียงโห่ใส่ผม


    “เดี๋ยวนี้น้องเล็กเรารับรู้ความเป็นไปในตัวเมืองแล้วด้วย”


    ผมยักไหล่ “จะอย่างไร เมืองนี้มันก็เล็ก และข่าวมันก็พูดกันปากต่อปากเร็วยิ่งกว่าการเขียนจดหมาย”

    เจคขมวดคิ้ว เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ฉันไม่ได้เขียนจดหมายหาแม่ฉันเลย”


    ฟิชเชอร์จุดยาสูบขึ้นเป็นครั้งแรก “ฉันไม่รู้ว่าแม่ฉันอยู่ที่ไหนบนโลก” สีหน้าดูครุ่นคิดเล็กน้อย “อันที่จริงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง” จากนั้นก็เหลือบมองผม “นายรู้จักใครที่ร้านขนมหวานนั่นรึไง ซันนี่”


    ผมส่ายหน้า


    “อืมมม” ฟิชเชอร์ฮึมฮัมในลำคอ ก่อนจะพ่นควันออกมา “ดีแล้ว ที่นายไม่ข้องเกี่ยวกับใครในร้าน

    นั้น”


    “ทำไม มีใครไปติดหนี้ใครไว้รึไง”


    ฟิชเชอร์กับเจคหัวเราะออกมา


    “ไม่มีใครไปสร้างหนี้กับผู้หญิงร้านขนมหวานหรอก” ฟิชเชอร์พูดเสียงเยาะๆ “ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้าจะมีอาชีพไหนที่ง่ายและทำเงินที่สุดในโลก นั่นก็คืองานของยายซาร่าคนนี้นี่แหละ งานโง่ๆ เบาสมอง และไม่ต้องออกแรงอะไรเลย”


    “ใช่ ลูกพี่” เจคพยักหน้ารับ เริ่มจุดยาสูบบ้าง


    “งานที่ผสมแป้ง ผสมไข่ ปาดครีม ชงชาและต้มกาแฟ” ฟิชเชอร์ส่ายหน้า “ถ้ายายนี่ไม่เป็นผู้หญิงที่ขี้เกียจที่สุด ก็ต้องเป็นแม่ค้าที่หน้าเลือดที่สุดในเมือง”


    “เค้กผลไม้ ราคาสิบเหรียญ” เจคโวย “แม่เจ้า ขูดเลือดกันไปถึงไหน”


    “เพื่อความชัดเจน ไม่มีอะไรในร้านนั่นที่ยุ่งยากลำบาก และได้กำไรน้อยนิดเลย” ฟิชเชอร์พูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงนี่นะ ประหยัดแรง แต่ได้เงินดี -- ฉลาดเฉียบคมไม่เบา”


    “เฮ้ ระวังคำพูดหน่อย ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะรักสบายนะ” ผมร้องขัด กระทุ้งศอกใส่ฟิชเชอร์ จนพายถั่วกระเด็นลงพื้นหญ้า แต่ไม่มีใครสนใจมัน


    “ใคร” เจคถาม


    “แม่ฉัน” ผมยักไหล่


    และฟิชเชอร์ก็ไม่สนใจผมเช่นเดียวกัน “เพราะฉะนั้น เราไม่ควรสร้างหนี้กับผู้หญิงแบบนั้น มันอันตราย ฉันมั่นใจว่าดอกเบี้ยต้องเตลิดเหินฟ้าแน่”


    “แต่ลูกผู้ชายอย่างเรา ต้องรับผิดชอบอะไรที่หนักหนากว่านั้น” จู่ๆเจคก็หันมาทางผม พยักหน้าช้าๆ ราวกับกำลังพูดถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่


    “ดูธนาคารที่เปิดใหม่สิ” ฟิชเชอร์ชี้มือไปทางนอกรั้วเขตหลังเมือง อาคารที่เพิ่งทาสีใหม่ดูโดดเด่น และป้ายใหม่เอี่ยมก็ดูเป็นประกาย ถึงแม้จะมองจากระยะไกลก็ตาม “นั่นแหละ สถานที่ที่โกงกินความยุติธรรม นั่นแหละ คือสถานที่ที่ดูดกลืนเหงื่อและเลือดของลูกผู้ชายทุกคนในเมืองแห่งนี้ ทุกแรงที่เราลงไปกับการแบกอิฐแบกปูน เก็บขยะ และทำความสะอาดถนน ที่แห่งนั้นได้ดูดกลืนน้ำพักน้ำแรงที่เราลงไปทั้งหมดนั่น มันไปเก็บไว้ที่ตัวเองเพียงที่เดียว”


    “ภาษีทั้งหมดอยู่ที่นั่น ภาษีของพวกเรา -- จากหยาดเหงื่อของพวกเรา” เจคส่ายหน้าไปมา


    ผมไม่แน่ใจว่าผมตามลูกพี่ฟิชเชอร์และเจคทันหรือไม่


    “พวกนายกำลังหมายถึงอะไร”


    ฟิชเชอร์พ่นควันสีเทาออกมาอีกครั้ง “ฉันกำลังหมายถึงว่าเมืองแห่งนี้มันไม่ยุติธรรม” เขาพูดเสียงดุดัน นัยน์ตาสีน้ำตาลดูเป็นประจายเจิดจ้าขึ้นมา


    “เงินที่ควรจะเป็นของพวกเราอยู่ที่พวกนั้น เงินที่มาจากความเหนื่อยยากลำบากของพวกเราอยู่ที่พวกนั้น ไม่จำเป็นที่เราต้องจ่ายภาษีให้กับคนที่อยู่สุขสบายบนความลำบากของพวกเรา คนจากเขตหลังเมือง จะยังไงก็ยังเป็นคน -- เรายังเป็นคน -- เราต้องกิน เราต้องใช้ชีวิตจากเงินที่ควรจะเป็นของเรา  เงินที่เราจ่ายภาษีไป มันไม่เคยถูกหมุนนำมาพัฒนาเขตหลังเมืองเลยสักครั้ง เมื่อก่อนเขตหลังเมืองเน่าเฟะอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังคงเน่าเฟะอยู่อย่างนั้น แต่ในเมืองกลับเจริญ และเติบโตขึ้นจากเงินที่พวกเราจ่ายไป จากเงินที่เราขัดพื้นกระเบื้อง ขัดรองเท้า เก็บขยะ และตามเก็บกวาดคราบสกปรกทั้งหลายในเมืองนั่น


    เจคจุดยาสูบเป็นมวนที่สาม “มันไม่ยุติธรรม และเราควรที่จะได้เงินของเราคืนมา”


    ฟิชเชอร์ชนหมัดกับเจค ทั้งสองต่างพ่นควันสีเทาออกมาทางปากและจมูก เหม่อมองตัวเมืองเบื้องหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง และไม่มีแววล้อเล่น


    แต่ผมยังข้องใจ --  “สรุปพวกนายโมโหร้านขนมหวานคุณซาร่า หรือแค้นเคืองธนาคาร”

    ทั้งสองหันขวับมามองผมด้วยสายตาเหลือเชื่อ


    “เรากำลังเกลียดยายซาร่า และแค้นธนาคาร!” พวกเขาแหวเสียงดัง “จับประเด็นสิ! จับประเด็น! นายต้องฟังแล้วหัดจับประเด็น! ไอ้น้องรัก!”


    ผมหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าออกมา “ไม่เข้าใจ” ผมบอกตรงๆ “พวกนายกำลังหมายถึงอะไร”


    ฟิชเชอร์ขยี้ยาสูบลงกับพื้นหญ้า หันมามองหน้าโดยตรง “เรากำลังจะยึดสิ่งที่เป็นของเราคืนมา ซันนี่ พ่อดวงตะวันสดใสแสนซื่อ -- และบื้อ”


    จากนั้นก็ชี้ออกไปพ้นเขตรั้วหลังเมือง


    “ที่นั่น อนาคตอันสดใสกำลังรอเราอยู่”


    “ใช่ ลูกพี่พูดถูก อนาคตอันสดใสรอเราอยู่!” เจครับเป็นลูกคอ


    “และพ้นเมืองไปแล้ว เราก็จะก้าวสู่ท่าเรือ”


    “ท่าเรือที่เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา!” เจคขานรับ


    “สู่เรือสำราญสุดหรู ที่จะพาเราไปจากเมืองเน่าเฟะนี่!”


    “สู่ชีวิตใหม่ที่ยิ่งใหญ่!” เจคประสานเสียงรับลูกพี่ฟิชเชอร์


    ซึ่งผมยอมรับว่านั่นทำให้ผมใจเต้นรัวไปด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีความคิดที่จะหนีออกจากเมืองนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ดูเหมือนจะมี ‘แผน’ พาผมออกไป -- อะไรก็ได้ที่จะพาผมออกไปจากหลุมศพเน่าๆนี่


    พอกันทีกับกองขยะ พอกันทีกับตรอกซอยอันเหม็นโช่ พอกันทีกับมาตรฐานสังคมที่ทำให้ไม่มีที่ยืน และพอกันทีกับโอกาสที่ไม่เคยได้รับ


    ผมอยากจะหนีไปให้ไกลๆ


    เมื่อถึงตรงนี้ การคิดถึงชีวิตใหม่ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังนั้น ก็ทำให้ร่างกายผมตื่นตัว พร้อมลุยทุกอย่างตามที่ฟิชเชอร์จะสั่ง  พวกเราสามคนจึงพากันโห่ร้องประสานเสียง ตบมือกันไปมาดังฉาดกลางอากาศ และกระโดดขึ้นลง เหมือนสัตว์ป่าที่เต้นระบำรอบกองไฟ


    ในตอนนั้นเอง ที่เศษถั่วลอยออกมาจากหน้าต่างครัว แล้วกระแทกพวกเราเหมือนฝูงแมลง


    “ถ้าจะมีอะไรที่ควรฟังละก็ ฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่เสียบ้าง!  หัดมีมารยาท ไม่รบกวนชาวบ้านเขาเสียบ้าง เจ้าพวกเด็กโง่! สงบสติตัวเอง หุบปาก แล้วอยู่เงียบๆกันซะ ก่อนที่ฉันจะฟังเพลงวิทยุไม่รู้เรื่อง!”  แม่แผดเสียงอันทรงพลังออกมา พร้อมกับเขวี้ยงถั่วใส่พวกเราอีกครั้ง -- น่าเหลือเชื่อ ที่แรงเหวี่ยงสะบัดข้อมือของแม่สามารถส่งถั่วปลิวมาไกลได้ขนาดนี้


    หลังจากตั้งสติได้จากเสียงอันน่ากลัวของแม่  ฟิชเชอร์เป็นคนแรกที่ขยับตัว เขามองผม และเจค สลับกันไปมา ก่อนจะทำสัญญาณมือให้เราเขยิบเข้ามาใกล้พอที่จะล้อมวง


    “คนรุ่นก่อนเราอาจจะอยู่กันได้ แต่ในเมื่อมันถึงยุคของเราแล้ว เราต้องไม่ทน” ฟิชเชอร์พูดเสียงเข้ม


    “ใช่ลูกพี่ เราต้องมีจุดยืน” เจครับ


    “เราต้องกล้าเสี่ยง เพื่อเปิดรับโอกาสที่ดีกว่า”


    “ใช่ลูกพี่ เราต้องกล้าๆอย่างลูกผู้ชาย” เจครับเป็นลูกคอ


    “เราต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”


    “วางแผนทำอะไรน่ะ” ผมแทรก ก่อนที่เจคจะทันพูดอะไรออกมา


    คราวนี้ฟิชเชอร์ยิ้มออกมา จนเห็นเขี้ยวอันแหลมคมที่มุมปาก


    “เราจะเป็นโจรปล้นกัน!”



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
rcngfylwb (@gfjyellow__)
รู้สึกฮึกเหิมเหมือนร่วมอยู่ในวงสนทนาด้วยเลย 5
Samanthachiew (@Samanthachiew)
@gfjyellow__ ไปปล้นกัน 5555