กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเกิดเรื่องราวมหัศจรรย์ขึ้น
กล่าวขานเป็นตำนาน ชั่วลูกชั่วหลาน
แม้ในยามนี้จะเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่หมอกเมฆหนาที่แผ่กว้างทั่วท้องนภาก็ทำให้เวลานี้ดูมืดครึ้มน่ากลัว ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ หิมะขาวใสปกคลุมไปทั่ว ตอนนี้เอเรนเดลอยู่ในช่วงฤดูหนาว ฤดูหนาวที่ดูจะหนาวกว่าทุกที บ้านทุกหลังเงียบกริบ ไม่มีการออกมาร้องรำทำเพลงหรือพูดคุยสนทนาค้าขายอย่างที่ควรจะเป็น ชาวบ้านแต่ละคนซ่อนตัวอยู่ในบ้านเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมหวิว ๆ เสียดกับกิ่งไม้แห้งดังทั่วบริเวณ
ท่ามกลางความเงียบเชียบและหิมะขาวโพลน ประตูวังบานหนาถูกปิดแน่นสนิท ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าทหารเสนาบดีมากมาย บนบัลลังก์ปรากฏร่างเพรียวสวยในชุดเกราะเหล็กหนาสีเงินวาว ดวงตาสีฟ้านิ่งสนิทแต่แฝงไปด้วยความหวาดหวั่นน่าประหลาด มือเหล็กกำหมัดแน่น ความวิตกระคนหวาดกลัวก่อกุมขึ้นในจิตใจ จนเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะกุมตามผนังและบัลลังก์ขึ้นตามอารมณ์ที่กำลังอ่อนไหวของหญิงสาว
ราชินีเอลซ่า แห่งเอเรนเดล
แน่นอนว่าฤดูหนาวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ฝีมือเธอ นับตั้งแต่ที่กลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง ก็ไม่เคยเกิดอะไรผิดปกติในตัวเธออีกเลย พลังทุกอย่างอยู่ในการควบคุมเป็นอย่างดี บ้านเมืองสงบสุขนับแต่นั้น จนกระทั่งมีบางสิ่งปรากฏตัวขึ้นหลังจากเธอครองราชย์ไม่นาน
บานประตูวังเปิดออก เสียงประตูเสียดสีกับพื้นแหลมเสียดแทงรูหูได้เป็นอย่างดี ร่างของนายทหารคนหนึ่งกระหืดกระทอบเข้ามาในห้องโถง เขาพุ่งพรวดล้มลงตรงหน้าราชินีสาวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างละล่ำละลั่ก
“
เอลซ่าลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ
"
"
"
…………………………
กองทัพแห่งเอเรนเดลยืนสงบนิ่งกลางลานหิมะกว้างนอกเมือง ครั้งหนึ่งที่นี้เป็นแม่น้ำกว้างใหญ่แต่ความหนาวเปลี่ยนให้ผืนน้ำกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งหนา เอลซ่านั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว ณ ที่ด้านหน้าสุดของกองทัพ เธอยังเฝ้ารอสิ่ง ๆ นั้นด้วยความใจเย็น
ผืนน้ำแข็งสั่นสะเทือน เสียงบางสิ่งกระทบพื้นน้ำแข็งดังใกล้เข้ามาทุกที หญิงสาวแทบจะหยุดหายใจเมื่อเริ่มปรากฏบางสิ่งเคลื่อนเข้ามา ร่างสูงใหญ่ไม่น้อยไปกว่าสามสิบฟุต ผิวที่ฟ้าเข้มมีลวดลายประหลาดสีแดงทั่วใบหน้าและลำตัว และดวงตาแดงฉานก่ำเลือดพวกมันไม่ต่างอะไรกับปีศาจเลยด้วยซ้ำ
มันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างปริศนา ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรและต้องการอะไรกันแน่ มันทำร้ายชาวบ้านและพังบ้านเรือนอย่างสนุกสนาน มันทำให้เอเรนเดลตกอยู่ในฤดูหนาว ดั่งเช่นกับที่เธอเคยทำเมื่อคราวก่อน แต่คราวนี้รุนแรงกว่ามากนัก เอลซ่าในฐานะราชินีมิอาจทำอะไรได้เลยตั้งแต่เกิดมาจนโตอายุได้ยี่สิบสองปีบริบูรณ์ เธอไม่เคยเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อน และด้วยตำแหน่งราชินีที่พึ่งขึ้นครองราชย์หมาด ๆ เธอเองก็ไม่เคยทำสงครามมาก่อนอีกด้วย
หญิงสาวอยู่ในภาวะมืดแปดด้าน ทำได้เพียงสั่งให้ชาวเมืองซ่อนตัวอยู่ใบบ้านเท่านั้น ท่ามกลางความหวาดวิตกที่ปกคลุมไปทั่วเมือง ระหว่างที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในวิกฤต ราชินีสาวห้วนนึกไปถึงเรื่องเล่าที่เคยได้ยินเมื่อตอนยังเด็ก เอเรนเดลเคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับยักษ์น้ำแข็งชั่วร้ายผู้มีพลังวิเศษแห่งน้ำแข็ง โดยเฉพาะหีบแห่งเหมันต์อดีตกาลที่แช่แข็งได้ทุกสิ่งบนโลก พวกมันปรารถนาจะแช่แข็งโลกนี้ให้ตกอยู่ในยุคน้ำแข็งชั่วนิรันดร์ แต่พวกนั้นพ่ายแพ้แก่เหล่าเทพเจ้า และถูกขับไล่ไปอีกฝากมุมหนึ่งอันห่างไกลของอีกมิติโลก พร้อมด้วยกล่องวิเศษที่สูญหายไปไม่มีใครตามหาเจอได้อีก
ราชินีสาวจึงตระหนักได้ในตอนนั้นเอง ว่าเมืองของเธอกำลังเผชิญกับสิ่งที่อันตรายที่สุดอันตรายยิ่งกว่ากองทัพใด ๆ ในโลก
เอเรนเดลกำลังถูกคุกคามโดยสัตว์ร้ายในตำนาน
หญิงสาวกลับมาตั้งสติกับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง เธอถอดถุงมือทั้งสองข้างออกอย่างช้า ๆ ดึงดาบเล่มงามขึ้นมาถือไว้ในมือ ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"
"
สิ้นเสียงราชินีสาวเหล่าทหารทุกคนวิ่งไปข้างหน้าอย่างหึกเหิม เสียงเหล็กฟาดฟันดังกึกก้องไปทั่ว ธนูปลิวว่อนเหนือหัวพุ่งไปยังเหล่ายักษ์ข้างหน้าอย่างแม่นยำ แต่ดูเหมือนจะไม่ระคายเคืองผิวพวกมันแม้แต่น้อย พวกมันวิ่งเข้าใส่เหล่าทหารอย่างไม่กลัวเกรง เพียงแค่พื้นผิวของยักษ์สัมผัสโดนตัวมนุษย์ ร่างกายของทหารเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน น้ำแข็งลามเกาะกุมไปทั่วจนร่างกายแข็งค้าง นัยน์ตาเบิ่งโพลงน่ากลัว พวกมันจับทหารที่ถูกแช่แข็งฉีกเป็นชิ้น ๆ อย่างง่ายดายและไร้ความปรานี ผืนน้ำแข็งสีขาวถูกย้อมไปด้วยสีแดงสดของเลือดมนุษย์
"
เอลซ่าผู้เห็นเหตุการณ์ตะโกนเตือนเหล่าทหาร หญิงสาวสะบัดมือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว เกิดห่าน้ำแข็งขนาดใหญ่ซัดใส่ยักษ์น้ำแข็งจนล้มระเนระนาด ราชินีสาวจัดการรวบเชือกแล้วกระตุกบังคับให้ม้าวิ่งไปข้างหน้า มืออีกข้างจับดาบไว้แน่น บังเกิดเกล็ดน้ำแข็งแผ่กระจายทั่วดาบ เธอเหวี่ยงดาบฟาดไปที่ร่่างกายของยักษ์น้ำแข็งตรงหน้า เมื่อร่างมันสัมผัสกับคมดาบก็แตกละเอียดกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับแก้วที่หล่นกระทบพื้น
หญิงสาวสลับใช้เวทย์น้ำแข็งกับดาบอย่างคล่องแคล่ว และเฝ้ามองเหตุการณ์รอบ ๆ ข้างอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนเจ้ายักษ์น้ำแข็งพวกนี้จะพุ่งเป้าโจมตีเธอเป็นพิเศษ
ครืน เปรี้ยง!!!
จู่ๆ ก็บังเกิดสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างแรงไม่ห่างจากกองทัพมากนัก หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเช่นเดียวกับม้าคู่กายที่ส่งเสียงหวีดร้องอย่างตกใจพร้อมวิ่งเตลิดไปอีกด้านอย่างควบคุมไม่อยู่ เอลซ่าทำอะไรไม่ถูก เธอทำได้เพียงเกาะม้าไว้แน่นด้วยความตื่นตระหนก
เจ้าม้าวิ่งไปด้วยความเร็วก่อนจะหักเลี้ยวอย่างแรงไปอีกด้าน เอลซ่าเกาะไม่อยู่ถูกแรงเหวี่ยงกระเด็นไปชนต้นสนใกล้ ๆ อย่างแรง หญิงสาวกระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวด ลืมตาขึ้นพบยักษ์น้ำแข็งสองสามตัวกำลังก้าวย่างขุมเข้ามาใกล้อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า เธอพยายามควานหาดาบของตน แต่อนิจจาด้วยแรงเหวี่ยงของม้าทำให้ดาบประจำตัวของเธอกระเด็นกระดอนหายไปในสนามรบ ตอนนี้ทั้งตัวของเธอปราศจากอาวุธที่จะใช้ต่อกรกับข้าศึกเสียแล้ว
แต่เธอก็ยังมีสองมือของเธออยู่นี่น่า
บังเกิดพายุน้ำแข็งรุนแรงขึ้นกระทันหันบดบังทัศวิสัยการมองเห็นของเหล่ายักษ์น้ำแข็งไปพอสมควร เอลซ่ารวบรวมพลังแข็งซัดแท่งน้ำแข็งแหลมใส่เหล่ายักษ์พวกนั้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้พลังน้ำแข็งโจมตียักษ์น้ำแข็งอย่างไม่กลัวเกรง โดยมีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องทุกการกระทำของราชินีสาวอย่างสนใจ
เอลซ่ามีอาการเหนื่อยหอบจากการสู้รบและใช้พลังไม่หยุดจนแสดงสัญญาณแห่งความเพลี่ยงพล้ำ เธอถอยกรูดหนีจากยักษ์น้ำแข็งที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้นทุกทีจนเผลอสะดุดล้มไปบนผืนหิมะ ยักษ์น้ำแข็งตัวหนึ่งอาศัยจังหวะนั้นเองพุ่งเข้าคว้าหมับเข้าที่แขนเธออย่างแรง หญิงสาวสะดุ้งเฮือก นึกไปถึงทหารคนนั้นที่โดนยักษ์น้ำแข็งจับตัวและแข็งตายอย่างน่าอนาถ
น่าแปลกที่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้นยามเมื่อยักษ์น้ำแข็งสัมผัสตัวเธอ ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวควรจะโดนแช่แข็งไปนานแล้ว ราชินีสาวเงยมองยักษ์น้ำแข็งตรงหน้าอย่างตกใจระคนแปลกใจ ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ยักษ์น้ำแข็งตัวนั้นล้มลง ตามด้วยยักษ์น้ำแข็งตัวอื่น ๆ ที่ล้อมรอบเธออยู่ต่างพากันล้มตายอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที
ปรากฎร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมกึ่งเกราะสีเขียวสลับดำปักขอบดิ้นทอง ร่างผอมสูงชะลูดกำยำก้าวย่างมาหาหญิงสาวตรงหน้าอย่างช้า ๆด้วยรอยยิ้มประหลาดที่ดูไม่น่าไว้ใจ ผิวขาวซีดกลมกลืนไปกับหิมะขาว ตัดกับเรือนผมยาวประบ่าและคิ้วสีดำสนิทได้เป็นอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาเข้ากันได้ดีกับดวงตาสีเขียวที่แวววาวจ้องมองหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณา เขาพยุงเธอขึ้นมาจากพื้นอย่างง่ายดายราวกับหญิงสาวไม่มีน้ำหนัก
"
"
"
“
สิ้นคำพูดเทพหนุ่มร่างของหญิงสาวก็ล้มพับลงแทบจะในทันที โลกิหันซ้ายแลขวามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในบริเวณนี้ เขาก็จัดการรวบร่างหญิงสาวขึ้นพาดบ่า ชายหนุ่มสะบัดมือทีหนึ่ง ปรากฏถุงผ้าขนาดใหญ่ในมือ โลกิใส่ร่างเอลซ่าไว้ในถุง จัดการรวบขึ้นพาดบ่า แล้วค่อยกระโจนอย่างรวดเร็วไปยังกลางสนามรบ
ที่กลางสนามรบนั้นเองมีชายหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดเกราะลวดลายประหลาดตา ผมสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย ผ้าคลุมสีแดงสดตรงไหล่สะบัดพลิ้วปลิวไปตามลม ในมือของเขาควงค้อนขนาดใหญ่ไปมาก่อนจะฟาดใส่เหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างองอาจ รอบ ๆ ข้างมีหญิงสาวหนึ่งคนและบุรุษอีกหลายคนที่ช่วยกันต่อสู้กับยักษ์น้ำแข็งอย่างไม่ลดละ โดยมีทหารของเอเรนเดลหลายคนมองด้วยความแปลกใจปนตกตะลึง
“
ชายหนุ่มผมทองชูค้อนขึ้น บังเกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างลงมายังค้อน ทหารทุกคนล้วนตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า พวกเขาเหล่านั้นตระหนักรู้แน่แท้ว่าบุคคลปริศนาเหล่านั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่คือเทพเจ้าในตำนานที่เล่าขานมาเนิ่นนานในดินแดนแห่งนี้นั่นเอง
"
"
สงครามจบลงด้วยชัยชนะของชาวเอเรนเดล เศษซากศพของยักษ์น้ำแข็งเกลือนกลาดเต็มพื้นน้ำแข็ง เช่นเดียวกับร่างของทหารเอเรนเดลอีกหลายคนที่ถูกยักษ์น้ำแข็งแช่แข็ง ยักษ์น้ำแข็งบางตัวที่เหลือต่างพาหลบหนีจากสนามรบ ธอร์บุกตามเข้าไปอย่างเกรี้ยวกราด แต่ก็โดนโลกิดึงแขนไว้เสียก่อน
"
"
"
"
"
"
เทพหนุ่มร่างใหญ่โบกมือให้เหล่าทหาร ก่อนจะพากันเดินจากไปจากสนามรบพร้อมเหล่าสหายเทพร่วมศึกรบ เสียงเรียกชื่อเทพธอร์ดังกึกก้องพร้อมกับคำสรรเสริญถึงวีรกรรมอันองอาจของเทพเจ้าถูกกล่าวขวัญทั่วกองทัพเอเรนเดล
โดยไม่มีใครสังเกตว่าราชินีของพวกเขาได้หายตัวไปแล้ว..
"
"
"
"
โลกิอาศัยจังหวะหลังจากพวกธอร์ไปเที่ยวที่บาร์แล้ว เขาใช้ความเร็วในแบบเทพเคลื่อนตัวออกไปห่างไกลจากเมือง ลึกเข้าไปในป่าใหญ่ เทพหนุ่มยกมือขึ้นวาดอักษรประหลาดบนอากาศ เกิดคลื่นวนประหลาดม้วนตัวทำให้ภาพบริเวณโดยรอบบิดเบี้ยว โลกิยิ้มกระหยิ่มเดินทะลุผ่านคลื่นวนนั้นไปทันที
เทพหนุ่มโผล่มาสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่นี่ดูจะแปลกตาไปจากที่อื่น เนื่องจากเต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะที่ตกอยู่ตลอดเวลาพร้อมลมที่พัดกรรโชกรุนแรง
"
ชายหนุ่มรุดหลบเข้าไปในถ้ำ นำร่างเอลซ่าออกมาออกมาจากระสอบวางไว้บนพื้น เขาถอดเกราะหนาออกจากร่างนางอย่างทุลักทุเล กวาดสายตาพิจารณาราชินีสาวไปทั่วร่าง สายตาเขาสะดุดเข้ากับสร้อยคอแพตตินัมเส้นเล็ก ๆ ที่ส่องแสงแวววาวสวย เทพหนุ่มบรรจงจับสร้อยขึ้นมาดูใกล้ ๆ
"
………………………….
"
"
"
"
"
…………………….......
เอลซ่าลืมตาโพล่ง สะดุ้งเฮือกแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตระหนก ที่นี่ไม่ใช่สนามรบอย่างที่เธอควรจะอยู่ แต่กลับเป็นถ้ำเล็ก ๆ กลางหิมะหนาวเหน็บ เอลซ่าสำรวจดูร่างกายตัวเอง เกราะที่เคยห่อหุ้มตัวเธอหายไปเหลือเพียงชุดผ้าธรรมดาเท่านั้น ราชินีสาวเริ่มหวั่นใจ ที่นี่ที่ไหนและเธอมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร หญิงสาวพยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอนึกได้เพียงแค่ว่ามียักษ์น้ำแข็งล้อมรอบตัวเธอและมีชายคนหนึ่งบุกเข้ามาช่วย เธอมองหน้าเขาก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงไป
ใช่แล้ว..ผู้ชายคนนั้นโลกิ!!
ร่างสูงของชายหนุ่มที่ดูคุ้นตาเดินเข้ามาในถ้ำ หญิงสาวผงะเล็กน้อยแต่ก็ยังคงรักษามาดความเป็นราชินี อยู่เอลซ่ามองเทพหนุ่มตรงหน้าด้วยความระแวง
“
“
“
“
จนเธอเองก็ลืมเลือนความสงสัยของตัวเองไปแล้ว..
“
หรือว่า..เขาจะรู้สาเหตุของมันกัน
“
“
“
“
“
เอลซ่าเอื้อมมือจับสร้อยคอของตน สร้อยคอที่ติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ ยิ่งฟังที่เทพหนุ่มพูดเธอก็ยิ่งรู้สึกสับสน
“
“
.............................
บรรยากาศเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ทั่วบริเวณมีแต่ผืนหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตา เอลซ่าค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง เธอจำเป็นต้องตามโลกิมาอย่างเสียไม่ได้ แต่อีกใจก็อยากรู้ถึงความลับของตัวเองเช่นกัน หญิงสาวกัดฟันแน่นข่มความหนาวในกายก่อนจะก้าวเดินไปอย่างมุ่งมั่น
ณ ที่ปลายสุดขอบแดนนั้นเอง หญิงสาวเห็นต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้า ใกล้ ๆ
“
“
เอลซ่ามองโลกิที่วิ่งไปอีกด้านอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจใช้โอกาสนี้หลบเข้าเข้าไปในบ่อได้โดยสะดวก หญิงสาวจ้องมองบ่อน้ำตรงหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ เธอนั่งลงริมบ่อเตรียมจะกวักน้ำขึ้นมาดื่มตามที่เทพหนุ่มบอก แต่เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาซะก่อน
"
เอลซ่าชะงักเธอหันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ หัวคน ใช่
"
"
"
"
"
"
"
เอลซ่าจับไปที่จี้บนคอของตน สร้อยที่อยู่กับเธอมายาวนาน หญิงสาวไม่เคยแม้แต่จะถอดมันออกมาด้วยซ้ำ แต่ความอยากรู้อยู่เหนือความต้องการสิ่งใด เอลซ่าดึงสร้อยออกมาจากคอตามคำบอกของเทพไมเมอร์ โดยมีเทพไมเมอร์จับจ้องอยู่ตลอด
"
"
สิ้นสุดการรอคอย เอลซ่ารีบควักในบ่อขึ้นมาดื่มทันที ทันทีที่น้ำไหลผ่านลงคอ ทุกสิ่งทุกอย่างก็วิ่งเข้ามาในหัว ความรู้ของสรรพวิชาต่าง ๆ ทั้งกวีนิพนธ์ไสยเวทย์ สงคราม การรักษา ความเปลี่ยนแปลงของจักรวาล และทุกสิ่งทุกอย่างสลับเป็นภาพเร็วไปหมด
จนสุดท้ายภาพก็มาหยุดอยู่ที่เมืองเอเรนเดล ภาพที่เธอเห็นคือเอเรนเดลที่กำลังมีสงคราม เป็นสงครามระหว่างยักษ์น้ำแข็งกับเมืองเอเรนเดล ยักษ์น้ำแข็งบุกเข้าทำร้ายผู้คนอย่างป่าเถื่อน โดยมียักษ์ที่เป็นหัวหน้าถือหีบแห่งเหมันต์อดีตกาล อาวุธวิเศษของยักษ์น้ำแข็ง มันใช้พลังอำนาจจากหีบแช่แข็งไปทั่วเมือง ส่งผลให้เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในฤดูที่หนาวเหน็บ ราชินีสาวเห็นบิดาของตนกำลังควงดาบฟาดฟันใส่เหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างกล้าหาญ เอลซ่ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแปลกใจ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเอเรนเดลเคยถูกยักษ์น้ำแข็งบุกมาแล้วเมื่อในอดีต ทำไมท่านพ่อถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง หญิงสาวครุ่นคิดอย่างแปลกใจสงสัย
พลันท้องฟ้าสว่างวาบแสงสีรุ้งพุ่งลงมาตรงกลางสนามรบ ปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่ง เขาสวมเกราะหนาลวดลายแปลกตา ในมือถือหอกใหญ่น่าเกรงขาม รอบ ๆ ตัวชายคนนั้นมีเหล่าทหารมากมายที่อยู่ในชุดเกราะประหลาดเช่นกัน เหล่าคนพวกนั้นช่วยพ่อของเธอรบกับเหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างดุเดือด
“
“
ตอนนั้นเองที่ภาพตรงหน้าเอลซ่าเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพของถ้ำน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านในความมืด เสียงเด็กร้องไห้จ้าดังขึ้นไปทั่ว ด้านในถ้ำมีร่างยักษ์น้ำแข็งตัวเมียที่อุ้มทารกในห่อผ้าด้วยความเอ็นดู ตอนนั้นเองจู่ ๆ เหล่ายักษ์น้ำแข็งคนอื่น ๆ พากันบุกเข้ามาในถ้ำเต็มไปหมด หนึ่งในคนเหล่านั้นกระชากลูกออกไปจากอ้อมอกนางยักษ์อย่างไม่ปราณี ทันทีที่ทุกคนเห็นเด็กทารกคนนั้น พวกเขาก็มีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
แทนที่ทารกจะมีผิวสีฟ้าเข้มและดวงตาสีแดงฉานตามเอกลักษณ์ของเผ่ายักษ์น้ำแข็ง แต่ทารกน้อยคนนี้กับมีรูปร่างและใบหน้าที่น่ารักเหมือนทารกมนุษย์ไม่มีผิด ทารกน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองยักษ์ตรงหน้าด้วยความไร้เดียงสา ยักษ์ตนนั้นเดินเข้าไปหานางยักษ์ตัวเมียด้วยท่าทีดุดัน เขามองดูทารกในมือสลับกับนางยักษ์ตัวเมียด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
“
“
“
“
“
“’
“
ยักษ์ตนนั้นอุ้มทารกเข้ามาในวังน้ำแข็งที่ตั้งโดดเด่นท่ามกลางผืนหิมะเวิ้งว้าง แล้วตรงไปยังห้องโถง ณ ตรงกลางห้องมีโต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะมีหีบสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มันมีแสงสีฟ้าออกเรือง ๆ อยู่ตลอดเวลา
หีบแห่งเหมันต์อดีตกาล..
ยักษ์หนุ่มผู้เป็นราชารู้ดีว่าหีบนี้มีพลังมากแค่ไหน และเขาเชื่อว่าโอดินเองก็ตระหนักรู้เช่นกัน อีกไม่นานโอดินต้องลงมายึดหีบไปแน่นอน ราฟฟี่เหลือบมามองทารกในอ้อมอกของตน เด็กคนนี้ช่างแตกต่าง แตกต่างจากทุกคนในดินแดนนี้
และความแตกต่างนี้แหละที่เขาจะใช้มันให้เป็นประโยชน์
ราชายักษ์ค่อยๆ ดึงพลังออกมาจากหีบช้า ๆ
ยักษ์หนุ่มกระตุกยิ้ม เขาสะบัดมือร่ายเวทย์ขึ้น บังเกิดสร้อยเส้นสวยในมือที่จี้มีสัญลักษณ์แทนตระกูลราชวงศ์ยักษ์น้ำแข็งที่ใช้มาอย่างช้านาน
“
.............................
ณ ดินแดนเอเรนเดล เหล่าดอกไม้พากันผลิบานรับแสงอาทิตย์ในยามฤดูใบไม้ผลิ ชายคนหนึ่งในชุดคลุมซ่อมซ่อกำลังหลบมุมอยู่ริมต้นไม้ ที่มือของเขากำลังอุ้มเด็กทารกตัวน้อย ๆ อยู่ ดวงตาแดงก่ำตามแบบฉบับยักษ์น้ำแข็งจับจ้องไปยังกษัตรีย์หนุ่มที่ออกมาล่าสัตว์กับทหาร เมื่อขบวนของกษัตริย์เข้ามาใกล้ ชายหนุ่มคนนั้นก็วางทารกไว้ใต้ตอนไม้ ก่อนจะหลบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
“
กษัตรฺย์แห่งเอเรนเดลชะงักเมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้จ้า เขาลงจากม้ารีบตรงรี่ไปตามเสียง พบเด็กทารกน้อยนอนร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ ผู้เป็นราชาอุ้มเด็กขึ้นมาด้วยความแปลกใจ มองซ้ายมองขวาหาพ่อแม่ของเด็กก็ไม่เจอใคร
“
“
“
“
“
“
“
“
ภาพทุกภาพชัดเจนกระหน่ำอยู่ในหัวแค่ช่วงเสี้ยววินาที เอลซ่าทรุดลงข้างบ่อน้ำพุ ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากหญิงสาว มีเพียงสายตาของเทพไมเมอร์ที่มองมายังหญิงสาวด้วยความสงสาร
“
“
...................................
ท่ามกลางบรรยากาศที่สดใสในเมืองเอเรนเดล จู่ ๆ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมาถนัดตา น้ำแข็งลามเกาะกุมทั่วทุกสิ่งในแผ่นดิน พายุหิมะก่อตัวพัดใส่เมืองรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชาวบ้านต่างพากันหลบหนีเข้าบ้านจ้าละหวั่น แม้แต่ในวังเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน
“
อันนามองหิมะที่ตกหนักนอกหน้าต่างด้วยความตื่นตระหนก เหตุการณ์นี้เธอเคยเห็นมาแล้วเมื่อคราวที่เอลซ่าหนีออกจากเมืองไปในช่วงที่ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ แต่ครั้งนั้นไม่รุนแรงถึงขนาดนี้ ครั้งนี้มันดูรุนแรงมาก รุนแรงราวกับจะแช่แข็งทั้งเมืองไว้เลยทีเดียว
จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกใจหายขึ้นมาอย่างประหลาด พานนึกไปพี่สาวของตนด้วยความกังวลอย่างยิ่ง
“
....................................
เอลซ่าลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอกลับมาอยู่ ณ ตรงถ้ำที่เดิม หญิงสาวมองเห็นร่างโลกิที่กำลังนั่งผิงกองไฟอย่างสบายอารมณ์ เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ จนต้องใช้มือนวดศีรษะเบา ๆ
"
เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ลูกของพ่อและแม่อย่างที่เข้าใจมาตลอด
"
เอลซ่ามองไปข้างนอกตามที่เทพหนุ่มบอก พายุหิมะพัดกรรโชกรุนแรงน่ากลัวตามอารมณ์ในจิตใจเธอ
"
"
"
"
เอลซ่าน้ำตาไหลพรากอย่างปวดร้าว ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด โลกิพูดถูกทุกอย่าง สิ่งที่เธอไม่อาจจะยอมรับมัน ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอยู่ในสายตาเทพโลกิ
"
สายตาเทพหนุ่มจับจ้องทุกกิริยาหญิงสาวตรงหน้า เอลซ่าเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาอย่างชัดเจน มืออันบอบบางสั่นเทาด้านมืดในจิตใจร่ำเรียกชื่อเธออยู่ไม่ห่าง ฤทธิ์จากน้ำพุไมเมอร์บันดาลให้เธอเห็นถึงอนาคต เลือด สงคราม การฆ่าฟันและการนองเลือด ซากศพทั้งหลายที่กองเป็นพะเนิน เหนือซากศพมีร่างของเธอยืนอยู่อย่างเดี่ยวดาย ท่ามกลางโลกที่ตกอยู่ในความหนาวเหน็บตลอดกาล
ตอนนั้นเองที่ภาพทุกอย่างตีกลับย้อนกลับไป หญิงสาวเห็นตนเองตอนยังเด็กที่เธอยังเล่นกับอันนา ตอนที่เธอเผลอไปทำร้ายน้องสาวด้วยพลังน้ำแข็งอย่างไม่ตั้งใจ ตอนที่เธอปลีกตัวออกห่างจากน้องสาวด้วยความหวาดกลัวพลังของตน โดยมีน้องสาวที่เพียรพยายามชักชวนเธออกมาจากห้องให้เธอเล่นด้วย เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยดังขึ้นอยู่เสมอทุก ๆ วันพร้อมคำพูดประจำในแบบเดิม ๆ
“
“
ภาพทุกอย่างเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพเมื่อตอนที่เธอหนีจากเอเรนเดลมาอยู่ปราสาทน้ำแข็งห่างไกล เห็นภาพอันนาที่บุกฝ่าหิมะมาอย่างยากลำบากเพื่อมาหาเธอ
"เอลซ่าพี่ไม่ได้ปกป้องฉัน ฉันไม่กลัวพี่ ให้ฉันเข้าไปเถอะนะ อย่าปิดประตูใส่ฉันเหมือนเมื่อก่อนเลย พี่ไม่จำเป็นต้องหนีจากคนอื่น ๆ
ภาพตัดไปตอนที่หญิงสาวระเบิดพลังใส่อันนา ผมของอันนาค่อย ๆ กลายเป็นสีขาว ผิวเริ่มซีดและเย็นเฉียบ เธอถูกเหล่าทหารของเจ้าชายฮานจับตัวเธอไป แต่ในท้ายที่สุดเธอก็แหกคุกหนีออกมาท่ามกลางหิมะหนาวเย็น โดยมีฮานวิ่งไล่ตามมา พร้อมแจ้งข่าวร้ายาว่าน้องสาวของเธอตายแล้ว เธอเห็นตัวเองตอนที่ทรุดลงร้องไห้โดยมีฮานยกดาบขึ้นเตรียมจะคร่าชีวิตเธอ
“
"อันนาพี่ขอโทษ"
หยาดน้ำตาอุ่นหยดไปตามแขนของอันนาจู่ ๆ น้ำแข็งก็เกิดรอยร้าวประหลาดทั่วก้อนหิมะ มันแตกออกอย่างรวดเร็ว ปรากฏร่างแอนนนาที่มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองกอดกันแน่นด้วยความดีใจ น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลคลอออกมาอย่างซาบซึ้ง
คราวนั้นเอง ดวงตาของเอลซ่าก็กลับมามีสีฟ้าสดใสดังเดิม พายุหิมะที่พัดรุนแรงก็ค่อย ๆ เบาลงไปด้วย เมืองเอเรนเดลที่ตกอยู่ในความหนาวเหน็บขั้นรุนแรงก็พลอยได้รับผลไปด้วย จู่ ๆ น้ำแข็งก็ละลาย ท้องฟ้าเปิดออก ดวงตะวันส่องลงมาอีกครั้ง
“
“
“
“
“
“
“
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เขามีเป็นอย่างไร เพราะเธอเองก็เคยเป็นเช่นนี้มาแล้วเช่นกัน เพียงแต่เพราะการมีน้องสาวทำให้เธอได้กลับมาเป็นเธออีกครั้ง แต่ดูเขาสิ เขาช่างโดดเดี่ยว และอ้างว้าง...
เอลซ่าเอื้อมมือไปแตะแก้มของชายตรงหน้าเบา ๆ อย่างต้องการปลอบประโลม พลันความรู้สึกอบอุ่นก็แล่นไปทั่วร่างของยักษ์หนุ่ม ผิวสีฟ้าก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีขาวซีดตามเดิม ดวงตากลับมาเป็นสีเขียวเช่นปกติ โลกิเงยหน้ามองหญิงตรงหน้าอย่างแปลกใจ แววตาของเอลซ่าที่มองเขาในตอนนี้ไม่เหมือนแววตาที่เหล่าเทพทั้งหลายมองเขา จิตใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา มันไม่ได้สั่นไหวด้วยความกลัว แต่สั่นไหวด้วยความอบอุ่นอย่างประหลาด
ความอบอุ่นในใจที่เขาไม่เคยสัมผัสจากใครมาเนิ่นนาน
โลกิโผเข้ากอดหญิงสาวแน่น เอลซ่าไม่ทันได้ตั้งตัวเกิดอาการตกใจนิด ๆ แต่ในที่สุดหญิงสาวเอามือตบหลังเทพหนุ่มเบา ๆ โลกิไม่ใช่คนเลว เขาเป็นเพียงแค่เด็กขาดความอบอุ่นเท่านั้นเอง
คล้ายกับว่าเธอมองลึกเข้าไปในใจของชายตรงหน้า ละลายน้ำแข็งในใจเขาช้า ๆ
บรรยากาศเงียบเชียบ ไม่มีคำพูดใดหลุดมาจากปากคนทั้งคู่ มีเสียงแสงไฟลุกโชนไสวให้ความอบอุ่นในถ้ำเท่านั้น
......................................
“
เอลซ่าถามขึ้นเมื่อโลกิพาเธอออกมาจากถ้ำในตอนเช้า หญิงสาวมองสถานที่รอบ ๆ ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย แม้ที่นี่จะเป็นเวลาเช้าแต่ทุกอย่างก็ยังดูมืดครึ้มไปหมดอยู่ดี
โลกิไม่พูดอะไร เขาเดินมาจนถึงลานหิมะกว้าง ณ ที่ตรงนั้นมีเหล่ายักษ์น้ำแข็งหกคนยืนอยู่ เอลซ่ามองยักษ์น้ำแข็งเหล่านั้นอย่างประหลาดใจปนไม่ไว้วางใจ เธอหันไปหาโลกิอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร จนเมื่อเดินมาจนถึงตรงหน้ายักษ์น้ำแข็งพวกนั้น
“
“
“
โลกิพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขากระชากเอลซ่าแล้วผลักเธอไปหาเหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างไม่ใยดี หญิงสาวตั้งตัวไม่ติด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เธอหันมองหาชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ
“
“
เอลซ่านิ่งงัน เธอจ้องมองโลกิด้วยสายตาผิดหวังอย่างยิ่ง ไม่มีคำต่อว่าด่าทอออกมาจากปากหญิงสาว มีเพียงน้ำตาที่ไหลคลอออกมาเท่านั้น เหล่ายักษ์พากันกระชากตัวเธอเดินจากไป ราชายักษ์หันมามองชายหนุ่มสลับกับหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับเขาว่า
“
ราฟฟี่เดินหันหลังจากยักษ์คนอื่นๆ ไป แต่จู่ ๆ เขาก็ชะงัก เลือดไหลพรากออกมาจากกลางหน้าอก เป็นโลกินนั่นเองที่ใช้มีดสั้นแทงเขา ร่างราชายักษ์ล้มลงกับพื้นทันที โลกิหยิบมีดอีกหลายเล่มที่พกมาปาใส่เหล่ายักษ์ตรงหน้า ยักษ์ทั้งหลายละสายตาจากเอลซ่าพุ่งเข้ามาจู่โจมโลกิอย่างรวดเร็ว โดยที่หญิงสาวยืนมองเหตุการ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ
“
โลกิตะโกนขึ้น เอลซ่าสะดุ้ง มองเห็นชายหนุ่มกำลังเพลื้องพล้ำ เธอจัดการซัดน้ำแข็งเข้าใส่ร่างยักษ์เหล่านั้นอย่างแรง ใช้พลังแช่แข็งพวกมันและสร้างก้อนน้ำแข็งแหลมแทงร่างยักษ์น้ำแข็งอย่างแม่นยำ เช่นเดียวกับโลกิที่ใช้เวทย์พรางตาจู่โจมด้วยมีดสั้นใส่ยักษ์พวกนั้นเช่นกัน
โลกิเบิกตาโพลง ดวงตาสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานอย่างรวดเร็วว เขาหันไปฆ่าเหล่ายักษ์อย่างบ้าคลั่ง ใช้มีดสับเข้าไปที่หน้าของมันจนกลายเป็นเนื้อยุยเละ ๆ
“
ภาพตรงหน้าหญิงสาวเลือนลางลงทุกที เอลซ่าส่ายหน้าเบา ๆ ให้โลกิเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ราชินีสาวพยายามอดทนฝืนข่มความเจ็บไว้ให้มากที่สุด ร่างกายเย็นเฉียบขึ้นเรื่อย ๆจนรู้สึกได้ ดวงตาของเธอค่อย ๆ ปิดลงโดยมีภาพโลกิที่กำลังหลั่งน้ำตาเป็นภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็น...
“
....................................
เอลซ่าลืมตาขึ้นช้า ๆ หัวสมองมึนเบลอจนต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้ แล้วเธอก็พบว่าที่ ๆ เธออยู่ตอนนี้ดูไม่เหมือนวังที่เอเรนเดลเอาเสียเลย หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสงสัย ห้องเป็นห้องรูปทรงประหลาด ๆ สีทองเรืองแสงอ่อน ๆ ดูสวยงามราวกับไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์ธรรมดา
แล้วที่นี่ที่ไหน
หญิงสาวก้มลงมองดูตัวเอง เห็นผ้าพันแผลที่พันแน่นไปทั่วอกจนรู้สึกอึดอัด เอลซ่าทบทวนความสงจำในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเกิดนึกถึงโลกิขึ้นมา ป่านนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ราชินีสาวมองซ้ายมองว่าแต่ก็ไม่พบวี่แววของเทพหนุ่มแต่อย่างใด
ตอนนั้นเองที่ประตูเปิดออก ชายชราท่าทางสง่าในชุดเกราะลวดลายประหลาดเดินเข้ามาเข้ามาหาเธอที่ข้างเตียง ตาที่มีอยู่ข้างเดียวของเขาจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวอย่างพิจารณา ก่อนจะโผเข้ากอดเอลซ่าเต็มรัก
“
“
“
“
โอดินยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขาลูบหัวเด็กสาวตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“
ไม่มีใครแทนที่พ่อกับแม่และน้องสาวในใจเธอ ได้แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเธอเลยก็ตาม
เสียงประตูเปิดออกอีกครั้งเรียกสติเธอให้กลับมาดังเดิม หญิงสาวหันไปตามเสียง ปรากฏร่างสูงที่คุ้นเคยในชุดคลุมสีดำเดินเข้ามา เขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทีลังเล ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ เตียงอย่างเงียบ ๆ
“
“
“
เอลซ่านิ่งอึ้ง เธอมีสีหน้าตกใจไม่น้อยหลังจากฟังที่โลกิพูดจบ หญิงสาวเผยรอยยิ้มอ่อน ๆ และพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของชายหนุ่มตรงหน้า
“
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ ด้วยรอยยิ้ม ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากคนทั้งคู่อีก มีเพียงแสงอาทิตย์สอดส่องลอดเข้ามาตามหน้าต่างบ่งบอกถึงสิ่งใหม่ที่ได้เริ่มต้นขึ้น
......................................
เมืองเอเรนเดลยังสงบสุขอย่างที่มันเคยเป็น ชาวบ้านยังคงพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน เด็กน้อยพากันวิ่งแข่งไปทั่วเมือง ผู้คนมากมายเดินขวั่กไขว่แน่นขนัด บาดแผลจากเรื่องราวเมื่อครั้งก่อนเจือจางจนแทบจะหายสนิท
ภายในพระราชวังกว้างใหญ่ ประตูทุกบานปิดสนิท ทุกอย่างเงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหว ในห้องนอนกว้างใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องนอนของราชินีเอลซ่า มีร่างของอันนาที่นั่งเงียบ ๆ บนโซฟาอยู่คนเดียว นับตั้งแต่พี่สาวหายตัวไปเธอก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องของพี่สาว เฝ้ามองดูรูปพ่อแม่และพี่สาวของเธอด้วยความปวดร้าว สูญสิ้นเสาหลักผู้เป็นดวงใจเสมือนโลกทั้งใบตรงหน้าได้พังทลายลงไป แม้คริสตอฟจะพยายามหาทางปลอบใจเธอแค่ไหน แต่มันก็ไม่ช่วยให้หญิงสาวมีอาการดีขึ้นเลย
ประตูห้องนอนเปิดออกอันนาหันไปมองด้วยความแปลกใจ ทันทีที่เธอเห็นสิ่งที่อยู่หน้าประตู ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างที่สุด
“
“
“
“
“
“
“
“
อันนานอ้าปากค้าง สีหน้าซีดเผือดลงไปถนัดตา หญิงสาวเม้มปากแน่นก่อนจะส่ายหน้ารัว ๆ
“
“
“
“
“
“
“
“
“
“
“
“
“
“
“
“
................................
ณ ปราสาทใหญ่กลางเมืองแอสการ์ด เมืองแห่งเหล่าทวยเทพวงศ์วารอีเซอร์ ที่ตรงริมระเบียงในมุมหนึ่งปราสาท มีร่างของสองหนุ่มสาวชาวเทพยืนพูดคุยกันอยู่อย่างออกรส
“
“
"
"
"
"
TheEnd
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in