เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
oh darling you look like christmas morningTippuri~ii*
chapter 4
  • chapter 4         







    ซึงกิลชอบตารางเรียนวันอังคารของตัวเองเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นเซคชั่นที่ได้เรียนกับอาจารย์ผู้ตั้งใจสอนแถมสอนได้สนุก มิหนำซ้ำยังเริ่มเรียนตอนบ่ายโมงโดยไม่มีวิชาใดๆ ในช่วงคาบเช้าด้วย…ทำให้เขาสามารถเริ่มออกเดินทางจากอพาร์ตเมนต์มายังมหาวิทยาลัยได้ในจังหวะสบายๆ

     

     

     

     

    อากาศหนาวช่วงปลายปีทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆ คนที่ผ่านตาระหว่างทางล้วนก็แต่มีถ้วยเครื่องดื่มในมือ ภาพที่ทำให้ซึงกิลรู้สึกคิดถึงโฮจิฉะลาเต้ร้อนๆ ขึ้นมาเบาๆ…แล้วในเมื่อยังมีเวลาเหลือ ชายหนุ่มเลยคิดว่าแวะสตาร์บัคส์เสียหน่อยก็คงไม่เลว

     

     

     

     

    แต่ด้วยเวลายามเที่ยงใกล้จะบ่ายของวันธรรมดาแบบนี้ ซึงกิลจึงแอบแปลกใจไม่น้อยที่ได้เห็นวงหน้าอันคุ้นเคยของบาริสต้าคนเก่งที่ด้านหลังเคาเตอร์ และพยายามไม่สนว่าในความแปลกใจนั้นก็มีความรู้สึกดีใจปนอยู่จางๆ ด้วย

     

     

     

     

    ข้ามคำทักทายไปเพราะความสงสัยนั้นมีมากกว่า “ทำไมวันนี้นายมาทำงานตอนนี้ได้ล่ะ?”

     

     

     

     

    พิชิตก็ดูประหลาดใจกับคำถามจนลืมทักทายตามหน้าที่ไปเหมือนกัน หนุ่มน้อยกะพริบตาสองสามที ก่อนจะรีบขยับยิ้มตื่นๆ มาให้พร้อมตอบคำถาม “อะ อ๋อ…ช่วงนี้เพื่อนผมมีคาบชดเชยกันเยอะน่ะครับ แล้วตารางเรียนผมพอจะขยับได้มากกว่า เลยสลับกะกันบ่อยเลย”

     

     

     

     

    “อ๋อ” ซึงกิลพยักหน้า พูดสั้นๆ “…โอเค”

     

     

     

     

    เสี้ยววินาทีเงียบงันผ่านไปราวกับต่างฝ่ายต่างก็ลังเลว่าจะพูดอะไรต่อดี ก่อนที่พิชิตจะสูดลมหายใจลึกๆ ราวกับบอกให้ตัวเองกล้าตัดสินใจ แล้วก็พูดประโยคง่ายดายพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยีมาให้

     

     

     

     

    “คุณจำได้ด้วย”

     

     

     

     

    …เป็นรอยยิ้มที่ซึงกิลรู้สึกว่าสดใสระดับเหมือนได้เห็นดอกทานตะวันบานใต้แสงแดดเลยทีเดียว และนั่นไม่ใช่ภาพที่ดีกับสุขภาพหัวใจของเขาเลย

     

     

     

     

    ประโยคสั้นๆ นี้ถูกเอ่ยอย่างรวดเร็ว แล้วพิชิตก็รีบถามต่อด้วยเสียงเป็นงานเป็นการขึ้นเล็กน้อย “แล้ววันนี้รับเป็นอะไรดีครับ? เหมือนเดิมใช่มั้ย?”

     

     

     

     

    ซึงกิลมั่นใจว่าตนไม่เคยได้สั่งอะไรซ้ำๆ ที่สตาร์บัคส์สาขานี้บ่อยจนมีเมนู ‘เหมือนเดิม’ แน่ๆ…และท่าทางคำถามว่าหนุ่มน้อยกำลังพูดถึงอะไรอยู่ก็คงถูกแสดงออกชัดเจนผ่านทางสีหน้า เพราะพิชิตก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้างงๆ เล็กน้อยเหมือนกันว่าตนเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า

     

     

     

     

    “ก็ท็อฟฟี่นัทลาเต้ไงครับ” บาริสต้าคนเก่งเผลอตัวชูสองนิ้วขึ้นมาอีกแล้วราวกับจะใช้มันเป็นตราช่วยการันตี “ผมก็จำได้เหมือนกันนะว่าคุณเคยจะสั่งลาเต้ แต่วันนั้นลองมอคค่าแทน”

     

     

     

     

    จะวันนั้นหรือวันไหนฉันก็ไม่ได้จะสั่งท็อฟฟี่นัทลาเต้ ซึงกิลคิดในหัว จะวันนั้นหรือวันไหนฉันก็ไม่ได้จะสั่งกาแฟอะไรทั้งนั้น…

     

     

     

     

    เสียงในหัวขยับจะเอ่ยต่อ

     

     

     

     

    จนกระทั่ง…

     

     

     

     

    ดวงตาสีดำสนิทจ้องตรง ส่วนบาริสต้าคนเก่งก็ยังคงส่งยิ้มมาให้จากด้านหลังเคาเตอร์

     

     

     

     

     

    **

     

     

    “กาแฟนายขมไปรึไงน่ะหา? ทำไมหน้าบึ้งเชียว?”

     

     

     

     

    ซึงกิลขมวดคิ้วใส่คำทักปนแซวของเอมิล แต่ก็แค่ส่ายหน้าพร้อมจิบเครื่องดื่มอีกอึก “ขมบ้าอะไรล่ะ นี่มันท็อฟฟี่นัทลาเต้”

     

     

     

     

    “โอเคๆ…ไม่ขมก็ไม่ขม ฉันก็แค่เห็นนายทำหน้าบี้ๆ เลยสงสัยเฉยๆ น่า” เอมิลยกสองมือเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนจะมองโลโก้ที่ถ้วยแล้วชวนคุยต่อ “ช่วงนี้นายกินสตาร์บัคส์บ่อยจังนะ จะรีบสะสมดาวเหรอ?”

     

     

     

     

    ซึงกิลยิ่งขมวดคิ้วหนัก “หา??”

     

     

     

     

    “ก็ถ้ามีบัตรสมาชิก มันจะเก็บดาวได้ตอนซื้อไง แต่เหมือนช่วงสิ้นปีจะหมดอายุแล้วก็หายไปหมดเลยถ้าไม่ครบยอด” เอมิลยักไหล่ “ช่วงนี้ซาร่าก็กินสตาร์บัคส์ตลอดเลย เห็นว่าจะรีบเก็บดาวให้ทันก่อนสิ้นปีรึไงนี่ล่ะ”

     

     

     

     

    พูดจบแล้วก็ครุ่นคิดนิดหน่อย ก่อนที่จะทิ้งท้ายด้วยคำล้อยิ้มๆ

     

     

     

     

    “หรือที่นายหน้าบึ้งนี่ก็เพราะเก็บดาวไม่ทันล่ะหา?”

     

     

     

     

    ซึงกิลหยิบหูฟังขึ้นมาใส่แทนการบอกตรงๆ ว่าตนจะจบบทสนทนานี้ตรงนี้แล้ว ก่อนจะดำเนินการดื่มท็อฟฟี่นัทลาเต้แบบหวานน้อยต่อไปด้วยสีหน้าบู้บี้เหมือนเดิม…ความบู้บี้ที่เอมิลไม่ได้เดาสาเหตุได้ใกล้เคียงคำว่าถูกต้องเลย และก็คงไม่มีใครเดาได้ด้วยนอกไปจากซึงกิลเองเท่านั้น…ในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงเล็กๆ ของความคิดตัวเอง

     

     

     

     

    จะวันนั้นหรือวันไหนฉันก็ไม่ได้จะสั่งกาแฟอะไรทั้งนั้น…

     

     

     

     

    เสียงแปรเปลี่ยนเป็นภาพ…ผิวแก้มสีแทนกับเรียวปากที่ขยับยิ้มอย่างสดใสจริงใจ

     

     

     

     

    …จนกระทั่งเดินเข้าร้านกาแฟไปแล้วได้เจอนายนั่นแหละ

     

     

     

     

     

    **

     

     

     

    ซึงกิลแวะเข้าสตาร์บัคส์สาขาเดิมอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นตอนเลิกเรียนแล้ว

     

     

     

     

    (แค่สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาเข้าไอ้ร้านกาแฟโลโก้เขียวอื๋อนี่มากกว่าที่เคยเข้ามาตลอดชีวิตรวมกันอีกมั้งเนี่ย…)

     

     

     

     

    จากคำอธิบายของเจ้าตัว…วันนี้หนุ่มเกาหลีเลยไม่งงแล้วที่ได้เห็นพิชิตในร้าน แต่บาริสต้าคนเก่งยังคงได้ประหลาดใจอีกครั้งอยู่ดี…เพราะสิ่งที่ซึงกิลพูดออกมาไม่ใช่เมนูกาแฟเหมือนทุกที

     

     

     

     

    “เปิดบัตรสมาชิกใบนึง”

     

     

     

     

    พิชิตเปลี่ยนจากสีหน้างงๆ มาเป็นรอยยิ้มสดใสของพนักงานขายตรงได้ในเวลาเสี้ยววินาที “อะ โอเคครับ! ลายอะไรดีครับ?”

     

     

     

     

    ซึงกิลส่ายหน้า “นายเลือกมาเถอะ ฉันไม่แคร์เรื่องลายอยู่แล้ว”

     

     

     

     

    แทนที่จะรู้สึกเคืองใจ เหมือนบาริสต้าคนเก่งจะแอบหัวเราะขำกับตัวเองด้วยซ้ำตอนก้มไปค้นเอาบัตรใหม่ขึ้นมา จัดแจงเติมเงินเข้าไปให้ตามจำนวนที่ซึงกิลบอก แล้วก็ชี้แจงคร่าวๆ ว่าเขาสามารถโหลดแอปพลิเคชั่นมาทำการสมัครบัญชีสมาชิกเองได้อย่างไรบ้าง

     

     

     

     

    “แล้วก็แค่กรอกเลขกับโค้ดบัตรเข้าไปได้เลยครับ มันจะเอาเข้าระบบให้เองเลย” หนุ่มน้อยอธิบายคล่องแคล่ว ก่อนจะเอาบัตรใส่ซองกระดาษให้เขา “นี่นะครับ…ขอบคุณมากนะครับ”

     

     

     

     

    ซึงกิลพยักหน้าหงึกๆ อย่างที่ทำมาตลอดการฟังอีกฝ่าย หยิบบัตรออกมาดู…พื้นหลังสีเหลืองเลมอนสดใสกับช่อฮอลลี่เขียวแซมแดง มีกวางตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางภาพ

     

     

     

     

    “ปกติเขาจะชอบออกเป็นลายต้นคริสต์มาสไม่ก็สโนว์แมนน่ะครับ” พิชิตพูดเสริมเมื่อเห็นว่าเขากำลังพินิจลายบัตรอยู่ “เลยคิดว่าเป็นลายกวางแบบนี้น่าจะแปลกดีกว่า”

     

     

     

     

    ซึงกิลยัดบัตรใส่กระเป๋าเสื้อโค้ท “ดีแล้วล่ะที่เลือกลายนี้…ขอบคุณนะ”

     

     

     

     

    น้ำเสียงมีกระแสบอกชัดเจนว่านี่คือคำลาแล้ว และเขาก็หันหลังให้เคาเตอร์แล้วด้วย…เลยต้องหันตัวกลับไปใหม่อีกทีตอนได้ยินเสียงเบาๆ ของอีกฝ่าย

     

     

     

     

    “เอ่อ…”

     

     

     

     

    ซึงกิลเลิกคิ้วนิดๆ แทนการถามว่ามีอะไร

     

     

     

     

    “ถ้า…ถ้าทำบัตรสมาชิกแล้วแบบนี้…” มันก็เป็นการยิ้มปกติ แต่ทำไมก็ไม่รู้…ครั้งนี้ พิชิตกลับมีการเม้มปากนิดๆ เล็กน้อยไปด้วยเหมือนพยายามคุมสีหน้า ท่าทางที่ผสมผสานของความลังเลที่จะพูด…กับความหวังในการจะฮึดพูดออกไปให้ได้ “…ก็แวะมาหากันบ่อยๆ นะครับ”

     

     

     

     

    และนั่นเองที่เป็นวินาทีที่อีซึงกิลรู้ตัวชัดเจนว่าตนหนีไปไหนไม่รอดอีกแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in