เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมมิตรpokchanymph
Turn On the Write / life
  • magical (adj.) - Beautiful or delightful in a way that seems removed from everyday life

    มันอาจจะฟังดู cheesy หน่อย...แต่เราว่าสิ่งที่ magical มากที่สุดในชีวิตก็คือชีวิตนี่แหละ
    555 อย่าเพิ่งแบบ โหย กว้างราวมหาสมุทรอะไรขนาดนั้นนะ แต่ถ้าไม่มีชีวิตแล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไง ถ้ามีชีวิตเป็นคนอื่นเราจะยังเป็นเราเหมือนเดิมมั้ย จะยังชอบอะไรแบบเดิมรึเปล่า หรือโลกที่ไม่มีเรา คนอื่นจะเป็นยังไง คนคนนี้จะเป็นแบบไหน เค้าจะยังทำอะไรแบบนี้รึเปล่า
    เอ่า พูดจนรู้สึก existential crisis 555

    เรามีความรู้สึกว่าการให้ความหมายการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง ของคนอื่น ได้นี่เป็นเรื่องที่สุดยอดมากเลยนะ และไม่ว่าศาสตร์ไหนๆ สุดท้ายมันก็สะท้อนกลับไปที่การมีอยู่ของชีวิตทั้งนั้น ศาสตร์บางศาสตร์มีเพื่อให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น บางศาสตร์เพื่อสะท้อนความไม่สมบูรณ์ของชีวิต บางศาสตร์เพื่อตามหาสิ่งที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ มาหมดทั้งวิทย์ทั้งศิลป์
    ของพวกนี้เป็นเหมือนเครื่องตอกย้ำว่า เออ แก ชีวิตมัน magical มากจริงๆ
    สำหรับเราถึงจะมีช่วงทีหดหู่ เศร้า น้อยใจกับอะไรในชีวิตแต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีสเน่ห์ในตัวของมัน

    คือจริงๆ ก็จะมาเสนอว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันมีมนตร์ขลัง มัน magical บางทีมันอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่เกินเลย เป็นความสวยงามที่อลังการขนาดนั้น บางทีมันอาจจะอยู่ในชีวิตธรรมดาๆ เนี่ยแหละ

    สำหรับเราที่ชอบศิลปะ ศิลปะเป็นสิ่งที่ magical แหละ เพียงแต่ถ้ามองลึกๆ แล้วเราไม่ได้ชอบแค่งานชิ้นๆ หนึ่งมันสวย มันดี แต่เราชอบเพราะมันทำให้ชีวิตเรารู้สึกอะไรบางอย่าง ทำให้รู้สึกว่าแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันธรรมดาๆ อย่างการกิน การนอน การมีความรักก็เป็นอะไรที่ magical แล้ว เราเลยชอบชีวิตที่ออกมาผ่านศิลปะเป็นตัวอักษร เป็นภาพ เป็นเพลง 


    เทอมนี้เรียนประวัติเอเชียทั้งเอเชียตะวันออกและใต้จากที่ไม่ค่อยสนมาตลอดชีวิตการศึกษา (555) วันก่อนระหว่างที่รีเสิร์ชรายงานที่จะทำเกี่ยวกับญี่ปุ่นหลังสงคราม ก็ไปเจอภาพถ่ายช่วง 60s มาจนถึงร่วมสมัย ดูแล้วมีความรู้สึกโหวงเหวงมาก

    อย่างภาพนาฬิกาข้างบนเป็นภาพ Atomic Bomb Damage: Wristwatch Stopped at 11:02, August 9, 1945, Nagasaki, 1961 (printed 1980) โดย Tomatsu Shomei ช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่ถ่ายรูปญี่ปุ่นหลังสงคราม รูปนี้ถ่ายนาฬิกาที่หยุดเดินหลังระเบิด Fat Man ลงที่นางาซากิ ตัวนาฬิกาอยู่ที่ Nagasaki Atomic Bomb Museum


    ภาพนี้คนถ่ายคนเดียวกัน คือภาพ Melted Bottle, Nagasaki, 1961 (from series Nagasaki 11:02) เป็นภาพขวดที่ถูกหลอมจากความร้อนของระเบิดที่นางาซากิ พอเห็นภาพสองภาพนี้ก็พาให้คิดแล้วเกิดคำถามว่า ตอนนั้นชีวิตคนที่อยู่ที่นั่นเป็นยังไงน่ะ แล้วชีวิตคนที่อยู่รอดมาเป็นยังไง แล้วชีวิตของคนในปัจจุบันที่รับรู้เรื่องเหล่านี้เป็นยังไง ชีวิตเป็นสิ่งที่มีสเน่ห์แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวไปพร้อมๆ กัน อย่างภาพที่ยกมา เราในฐานะผู้มองมองว่ามันเป็นศิลปะ แต่คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในภาพคงมองมันเป็นเศษซากของชีวิตที่หายและถูกบิดไป

    (ใครสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหรือคนญี่ปุ่นหลังสงครามโลก ลองเสิร์ชเกี่ยวกับ Hibakusha ที่เป็นคำญีปุ่นเรียกเหยื่อสงครามจากระเบิดฮิโรชิมา,นางาซากิ นะ มีข้อมูลให้อ่านเยอะเลย)
    พอพูดถึงเรื่องสงครามนึกถึงตอนที่ไปกาญแล้วเดินที่สุสานทหารผ่านศึกแล้วอ่านข้อความจารึกของทหารหนุ่มคนหนึ่งที่ญาติเขียนข้อความจากไบเบิลว่า 'He died so we may live' เห็นแล้วรู้สึกมันอิมแพคต์มากเลย เหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งมีผลกับชีวิตคนมาก ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ใน battlefront หรือ homefront ไม่ว่าคนเป็นหรือคนตาย

    ชีวิตมันโคตรหวานอมขมเลยอะ... ซึ่งก็ไม่ได้มองว่ามันเลวร้ายนะ มองว่ามัน magical ด้วย อีตัวเหตุการณ์อะเลวร้าย แต่การ treat เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตที่แตกต่างกันไปของแต่ละที่น่ะมันมีสเน่ห์

    อ่านถึงตรงนี้อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะ glorify สงครามและการตายของผู้คนเด้อ แต่เราว่าเหตุการณ์ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนจำนวนมากมันก็แสดงให้เห็นอะไรหลายอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการ cope ของคนที่รบหรือคนที่รอ การใช้ชีวิตในสังคม แล้วงานศิลปะหรือสิ่งที่สังคมสื่อออกมามันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมันเป็นสิ่งที่น่าพิศวงจริงๆ ที่สำคัญศิลปะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้คนในสังคมตระหนักอีกว่า เราไม่ควรอนุญาตให้เกิดอะไรแบบนี้อีก

    เพราะชีวิตมันเชื่อมโยงกับความตายเลยคิดว่าการ treat เรื่องราวความตายก็เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของการมีชีวิต ยกตัวอย่างเทศกาลความตายของวัฒนธรรมแม็กซิกันช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มันเป็นการทรีทความตายให้เป็นความสุข ให้สนุกสนาน ให้มีสีสันมากกว่าขาวกับดำ เราว่าน่าสนใจมาก

    ความตายถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือหลายอย่างมากเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เกมโอเวอร์ เป็นสิ่งที่ทำให้คนอ่าน/ดูมีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่อง (ใช่ เรากำลังพูดถึงลุงอยู่ ลุงมาร์ติน ฮึ่มๆ)


    ทั้งนี้ทั้งนั้นชีวิตก็ไม่ได้มีแค่เกิดกับตายเนอะ มันมีหลายมุมมองมากๆ เรื่องความสัมพันธ์งี้ เรื่องการเจริญเติบโตงี้ เรื่องการมีตัวตนในสังคมงี้ 
    แค่การมีอยู่ของชีวิตก็ magical แล้วอะ ทุกวันนี้ยังสงสัยว่าตัวเองเกิดมาทำไม แต่กลัวพูดลอยๆ แล้วคนนึกว่าเพ้อ 555 มันมีสเน่ห์มากตรงที่เราเองที่จะ define ให้มันเองได้ ไม่ใช่พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวอะไรแบบนี้ (หรือถ้าใครเชื่อแบบนั้นก็ไม่ขัดศรัทธาจ้ะ)

    เอ๊ะ ตอนแรกว่าจะพูดถึงงานศิลปะ ไปๆ มาๆ ทำไมมาพูดเรื่องประวัติศาสตร์อะ เอ้อ งงไปอีก 
    แค่คิดว่ามีคนมานั่งอ่านอะไรที่เราเขียนเพ้อๆ แบบนี้อย่างน้อยสักคนนึงก็รู้สึกว่ามัน magical แล้วอะ 555

    ถึงวิธีการมองชีวิตของแต่ละคนจะต่างกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าสเน่ห์ของชีวิตแต่ละคนมากกว่าน้อยกว่าเลย มันคูลก็ตรงนี้แหละเนอะ

    (เขียนเสร็จกลับมาอ่านก็คิดว่านี่กูเขียนตรงตามตีมมั้ย แต่ก็ เอ๊อะ น่านะ เขียนไปแล้วง่ะ 555)
  • ขอบคุณหัวข้อ Turn On the Write สัปดาห์นี้ <3 ตอนแรกว่าจะเขียนความเมจิคัลลลลเกี่ยวกับ Fantastic Beasts ในฐานะติ่งที่ดี แต่กลัวเรื่องที่ติ่งอื่นๆ น้อยใจ ฮิฮิ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in