เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
me : 2020panpanmeme
( the power of ) take a break , take a deep breath.
  • ‘ นั่งนิ่ง ๆ ’

    “Calm down, and learn that I am God! 
    All nations on earth will honor me.” 
    Our God said.
    — Psalms 46:10 NIV

    — ประมาณปีที่แล้ว ทุกครั้งเวลาเขาถามฉันว่ากำลังทำอะไรอยู่หลังจากกลับจากออฟฟิศ — ฉันจะตอบกลับไปว่า ‘ นั่งนิ่ง ๆ ’  และนั่นคือคำตอบที่ตอบเขากลับไปเสมอเสมอมันเป็นสิ่งที่ (ต้อง) ทำหลังจากกลับมาถึงบ้าน


    ... ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิม
    แมวตัวเดิมที่กระโดดขึ้นมาบนตัก
    ท้องฟ้าผืนเดิม ที่ขยับ เคลื่อนตัวตลอดเวลา ...


    มันเป็นคำตอบที่ตอบทุกคน
    แต่มีเพียงเขาที่เข้าใจ ว่าทำไมต้องนั่งนิ่งๆ 
    และรู้ว่าคนเราจะต้องมีเวลาแบบนี้เสมอในแต่ละวัน
    หรือแม้กระทั่งเวลาที่เราเจอกัน ;

    ฉันบอกเขาว่า 
    ‘ เราโอเคกับการที่จะอยู่เงียบๆ นะ
    เราไม่ต้องคุยอะไรกันก็ได้
    ขอแค่รับรู้ว่า เราอยู่ตรงนี้
    อยู่ข้างๆกัน เท่านี้พอแล้ว ’

    [ ในความสัมพันธ์
    บางครั้งเราก็ไม่ต้อง take action ตลอดเวลาก็ได้นี่นะ เราหน่ะ มีเวลาที่ active และก็ต้องมีเวลาที่ passive — ก็อารมณ์ ทำให้เรากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ที่มีไดนามิก ขึ้น ลง แปรผกผันได้เสมอเลย ; เพราะแบบนั้นเราจึงควร Balance ร่างกาย จิตใจอยู่เสมอ ไม่ให้เป็นบ้าไปซะก่อน :P

    อืม รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุดนิ่ง
    เมื่อไหร่ควรเคลื่อนไหว

    ซึ่งโดยปกติ
    ฉันก็ทำได้ไม่ดีนักหรอก

    ( 555 )

    ก็ถ้ารู้ดีไปทั้งหมด เราคงเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งอื่นไปแล้ว ที่ไม่ใช่มนุษย์ ใช่มั้ยล่ะ ]

    แต่เมื่อชีวิตของเราพลัดหลงเข้าไปในวังวนของมิติชีวิตที่บังคับให้ต้องทำอะไรมากมาย เราจะกลับมาจัดการตัวเองยังไงให้ได้ ‘ นั่งนิ่ง ๆ ’ อย่างที่อยากจะทำล่ะ 

    สามปีที่ผ่านมา
    ฉันเลือกที่จะมีชีวิตเหมือนทำไร่เลื่อนลอย
    เลือกพักอาศัยในที่ที่ใกล้กับที่ทำงาน
    ลดระยะเวลาในการเดินทาง

    เพราะกลัวการที่จะต้องฝ่าฟันกับการจราจรที่น่าปวดหัว ( แบบที่คนอื่นเขาบอกกัน ) วิธีนี้ มันเคยดีสำหรับฉันที่ชอบทำงาน และมีชีวิตอยู่กับงาน

    แต่สามปีที่ผ่านมา ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า
    ชีวิตนั้นไม่มีรูปแบบตายตัว วิธีเดิมที่เคยส่งผลดี มันอาจจะไม่เหมาะอีกต่อไปแล้วในตอนนี้ จากที่เคยชอบทำงานก็ไม่ได้ชอบทำงานขนาดนั้นแล้ว 

    จิตใจของมนุษย์หน่ะ หมุนเร็วยิ่งกว่าเทรนด์โลกเสียอีก
    เราเปลี่ยนแปลงและเป็นคนใหม่กันอยู่เสมอ

    และสามปีต่อมา
    ฉันก็กลายเป็นคนที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็น

    วันนี้ ตอนนี้
    ฉันเลือกที่จะเอาตัวเองออกมาให้ห่างงานมากขึ้น
    สองปีกับงานที่ใหม่ ( ที่ตอนนี้ กลายเป็นเก่าไปแล้ว ) มันทำให้ตัวเราเองเข้าสู่สภาวะ Burn out อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้

    เมื่อยังลาออกจากงานไม่ได้
    หรือหนีไปเรื่อยๆ ไม่ได้อีกแล้ว เหมือนที่ผ่านมา
    สิ่งที่ต้องทำคือ กลับมาสำรวจ ปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นภายในตัวเองได้แล้ว

    มันเกิดอะไรขึ้น ?

    ชีวิตส่วนตัว
    กับงานมันใกล้กันเกินไป
    มันมีระยะห่างกันเพียง ห้าถึงสิบนาทีเท่านั้น
    ต่อให้จะถึงบ้านเร็วและมีเวลาได้ทำอะไรมากขึ้น
    แต่ช่องว่างมันน้อยเกินไป



    ฉันตัดสินใจ ย้ายออกมาอยู่ที่ที่ไกลขึ้น
    ใช้เวลาเดินทางมากขึ้น
    แน่นอนว่ามีการจ่ายราคาเกิดขึ้น
    ทั้งค่ารถ และเวลาที่หายไป

    การจ่ายราคานี้ ฉันหวังว่าตัวเองจะตระหนักมากขึ้น
    ถึงเวลาที่จะใช้ เรามีเวลาอยู่เท่าๆกันก็จริง
    แต่การลงมือทำสิ่งต่างๆมากเกินไปก็ไม่ได้หมายความว่าเราคือผู้ชนะในการใช้เวลาได้คุ้มที่สุด เพราะฉะนั้น ความคุ้มค่าที่ว่าคือ ... เราใช้มันอย่างเหมาะสม (ต่อตัวเอง) จริงๆ หรือเปล่า?
     
    เราถูกหล่อหลอมด้วยค่านิยมบางอย่างที่แปลกพิลึกและไม่ทันได้เอะใจเลยว่ามันเหมาะกับมนุษย์จริงๆหรือเปล่า ?

    หลายครั้งเราเผลอรับเอาค่านิยมแปลกๆ มา เพราะคนอื่นก็ทำกัน แต่เราไม่ได้คิดเลยว่า จริงๆแล้ว เราต้องการจะทำอะไรกันแน่

    และเราก็เลือกที่จะทำตามคนอื่น
    เพราะเรากลัวเกินไปที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์
    เราจำเป็นต้องเป็นเหมือนคนอื่น
    เพราะเรากลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะถูกกีดกัน 
      
    แต่สุดท้ายแล้ว
    เราก็ต้องเป็นเราอยู่ดี



    ;

    มาร์ติน ลูเทอร์ เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า
    คนเรามีอยู่ 2 ประเภท 
    ประเภทแรก คือเป็นตะปู
    ประเภทที่สอง คือเป็นค้อน

    ถ้าเราไม่เป็นค้อนเราก็จะถูกคนอื่นทุบเราให้เข้ารูปอย่างที่เขาจะทำให้มันเป็น แต่ถ้าเราเป็นค้อนเสียเอง เราก็จะไม่ถูกทุบ ... เมื่อเห็นภาพแบบนั้น ก็มีคำถามแหละว่า เราจะยอมถูกคนอื่นหล่อหลอม หรือจะเป็นผู้หล่อหลอมคนอื่น

    มันเป็นความจริงที่น่ากลัว...
    เมื่อไหร่ที่เราปล่อยชีวิตไปตามกระแสสังคม
    มันเท่ากับว่า เรากำลังปล่อยตัวเองให้ถูกสังคมหล่อหลอมโดยไม่รู้ตัว

    กลายเป็นคนที่ไม่ได้อยากเป็น
    เหมือนที่ฉันกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้

    เวลาที่ฉันจ่ายไป เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างงานและบ้าน
    เป็นราคาที่ฉันจ่ายให้กับการนั่งนิ่งๆ 20-30 นาที ก่อนไปทำงาน และ 20-30 นาทีก่อนจะเดินทางถึงบ้าน

    เตรียมใจก่อนลงมือทำ วาดภาพคร่าวๆ ถึงสิ่งที่ต้องทำ นำสิ่งนั้นเข้ามาอธิษฐานกับพระเจ้าและขอการนำ การดูแล การปกป้อง ตลอดทั้งวันที่เราต้องเผชิญ — ทบทวนสิ่งที่ผ่านพ้นมา ฉันมีเวลา 20-30 นาทีให้ตัดสินใจว่าจะ ทิ้งอะไรออกไป หรือจะเก็บอะไรกลับไปที่บ้านบ้าง  — ได้รู้สึกขอบคุณสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางบ้าง 

    ความน่ารักของการเป็นลูกพระเจ้าคือ
    พระเจ้าไม่ได้ต้องการพิธีรีตอง แต่พระเจ้าต้องการหัวใจเหมือนเด็กตัวน้อยๆ เรียบง่าย ซื่อตรง เพราะแบบนั้น ต่อให้นั่งอยู่บนรถเมล์ หรือเดินบนถนนฉันก็สามารถที่จะอธิษฐานหรือมีบทสนทนา (ในใจ) กับพระเจ้าได้
     


    อย่างน้อยตอนนี้ ;
    • ฉันก็ตัดสินใจเลือกที่จะทุบค่านิยม ' เอาตัวเองไปอยู่ใกล้ที่ทำงาน หลีกเลี่ยงการเดินทาง โดยเฉพาะกรุงเทพ ' ทิ้งไป มันอาจจะเหมาะกับบางคน แต่ไม่เหมาะสำหรับตัวฉันเอง

    • ทิ้งให้ชีวิตได้มีสเปซสำหรับการหายใจบ้าง ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา ถึงแม้ชีวิตจะมีอะไรให้ทำเยอะมากก็จริง แต่การนั่งนิ่งๆ ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ชีวิตไร้ค่า — การพัก มีค่ามากพอ ที่จะทำให้ชีวิตที่เหลือของเรามีคุณภาพมากขึ้นกว่าการดันทุรังแบบมาราธอน

    ฉันรักการเดินทาง
    แม้ต้องเดินทางทุกวัน 


    ฉันรักการพบเห็นผู้คน
    แม้มันวุ่นวาย
    แต่มันกลับทำให้ใจฉันสงบลง 


    เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง มันทำให้ฉันมองเห็นความมนุษย์มากขึ้น รถที่ติดแหง่กหรือเคลื่อนไปช้า ๆ ทำให้ฉันได้มีเวลาสังเกต คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม คนที่นั่งข้างๆ  หรือแม้แต่คนเก็บเงิน คนขับ ที่พึ่งขึ้นมา คนที่พึ่งลงไป ; ฉันไม่ได้ไปไหนไกลเลย แต่การได้พบกับผู้คนเหล่านี้ มันทำให้โลกทัศน์ของฉันขยายออกไปมากกว่าเดิม มากกว่าการมีโลกของตัวเอง แมว และ งาน  

    โลกข้างนอกอันตราย
    สภาพที่เจอเป็นของจริง

    แต่เพราะแบบนั้น
    จึงทำให้ฉันสัมผัสถึงความเป็นมนุษย์มากขึ้น

    มนุษย์ที่ทีมุมที่น่ารักให้ได้สัมผัสอยู่ที่ปะปนอยู่ในอันตรายนั้น 
    ความเมตตา กรุณา ที่ปะปนอยู่กับความเห็นแก่ตัว
    ความเร่งรีบที่ปะปนอยู่ในความเชื่องช้า
    ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและทำให้เราได้เห็น —

    ฉันรักที่จะต้องทำอะไรหลายอย่าง แม้ว่าฉันจะเหนื่อย แต่เพราะฉันเป็นแบบนี้ และฉันเลือกที่จะยอมรับและรักตัวฉันเองในแบบที่ฉันเป็น ขอบคุณและใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ปฏิเสธคำวิจารณ์ที่ไม่จริง — เพราะพระเจ้าสร้างฉันให้เป็นแบบนี้

    สิ่งเดียวที่ฉันจะยอมให้ทุบ ให้หลอม ชีวิตฉันให้เข้าที่คือพระเจ้า

    นั่งนิ่งๆ หายใจลึกๆ สำรวจตัวเองอีกครั้งว่า
    มีอะไรที่ต้องเก็บ มีอะไรที่ต้องทิ้ง
    หรือมีอะไรที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตอนนี้ ; ขอพระเจ้าพระผู้สร้างเรา เปลี่ยนแปลงเรา ให้เป็นคนที่ดีขึ้น อย่าให้เราต้องกลายเป็นเศษซากความแตกสลายที่จะไปทิ่มแทงคนอื่นอีกเลย

    ขอให้แข็งแกร่ง —
    ไม่ว่าอะไรจะทุบ กระแทก สักเท่าไหร่ก็ไม่บุบสลาย ไม่บิดเบี้ยวเพราะเราจะไม่ยอมเป็นตะปูงอๆ ให้คนอื่นทุบเรา หลอมเราอีกต่อไปแล้ว

    ความหวังใจ ;
    • ฉันหวังใจให้มนุษย์ที่ฉันพบเจอมีความสุข
    ( รวมถึงตัวฉันเองด้วย ) แน่นอนว่าฉันมีพระเจ้า แต่ฉันเองก็ยังพบเจอความทุกข์ยากทั้งกายและใจ แต่ฉันมีความหวังและกำลังใจอยู่ได้ เพราะฉันรู้ว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นแผนการเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่ทุกขภาพ และฉันอยากให้ผู้คนได้สัมผัสถึงพระเจ้า

    • ฉันหวังใจให้มนุษย์ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ถ้าสุขภาพกาย ใจ และจิตดี ผู้คนก็จะมีเรี่ยวแรงมาใส่ใจสังคมให้ดีขึ้นด้วยได้

    เมื่อเราไม่สามารถหวังใจในรัฐบาลหรือผู้นำได้
    แต่เราไม่ควรหมดหวังในตัวเองและชีวิต 

    เมื่อเรามีชีวิตที่แข็งแกร่งมากพอ เราจะเป็นค้อนที่แกร่งพอจะทุบสิ่งที่เราต้องการทุบทำลาย — หวังใจหวังใจ












Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in