แสงแดดอ่อนๆที่ส่องลอดผ้าม่านเป็นสัญญาณว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
อุณหภูมิภายในห้องพักของนักศึกษาขนาดไม่ใหญ่นักเริ่มสูงขึ้นแม้เครื่องปรับอากาศจะยังคงทำงานอยู่ก็ตาม
ถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรว่ายังทำงานอยู่ก็เสียงดังฟู่ๆที่ดังออกมาจากเครื่องปรับอากาศตัวเก่าตัวนั่นนั่นแหละ
ด้วยแสงแดดและความร้อนทำให้ความสบายตัวใต้ผ้าห่มที่เคยมียามค่ำคืนหายไป
ร่างสูง 188 เซนติเมตรที่นอนอยู่บนฟูกบางๆบนพื้นเริ่มขยับตัว
สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาหาใช่ผนังห้องสีขาวขุ่นๆหากแต่เป็นมือข้างหนึ่ง มือที่แสนคุ้นเคย รอยแทะนิ้วตัวเองแบบนั้นจะให้ลืมก็คงยาก
ว่าแต่ เจ้าของห้องอย่างมู่จื่อหยางมาทำอะไรบนพื้นห้องตัวเองแล้วเจ้าของมือข้างนั้นเป็นใคร
คงต้องย้อนความหลังกันไปเมื่อวานตอนเย็นที่ทุกคนฉลองสอบไฟนอลตัวสุดท้ายเสร็จมันก็เป็นธรรมดาที่อยากจะปลดปล่อยความเครียดหลายสัปดาห์ด้วยการสังสรรค์พร้อมแอลกอฮอล์ปริมาณมาก
แน่นอนว่าหลังงานจบพวกขอแข็งหรือสายมอมคนอื่นก็คือทหารรอดชีวิตพวกที่เป็นเหยื่อและไม่รู้จักประมาณตัวเองก็คือศพในสนามรบตัวเขาเองไม่ใช่ทั้งทหารและศพ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในสนามรบเลยต่างหาก เขาเป็น 'เพื่อน'
เจ้าเพื่อนคนนั้นก็คือเยว่หมิงฮุยผู้บริโภคแอลกอลฮอล์เข้าไปจนเหงื่อออกเป็นแอลกอฮอล์ได้แต่อย่างว่าเจ้าตัวก็คงเครืยดกับการสอบปลายภาคสาขาวิชาวิศวะกรรมการบินปีสามจนแทบสิ้นสติที่เขารู้ก็เพราะเยว่หมิงฮุยบ่นกับเขาทุกครั้งที่เจอหน้ากันถึงต่อให้ไม่บอกเขาก็สังเกตุได้จากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันตลอดเวลาของอีกฝ่ายตัวเขาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะเรียนคนละสาขาวิชา ทำได้เพียงแค่พูดปลอบใจและส่งเสบียงยามอีกฝ่ายขลุกตัวอยู่ในห้องเท่านั้น
เหตุที่ต้องขลุกตัวอยู่แต่ในห้องเพราะเยว่หมิงฮุยอ่านหนังสือร่วมกับเพื่อนคนอื่นแล้วบอกว่าไม่เข้าหัวและอ่านในที่คนเยอะๆไม่ได้ถึงเวลาใกล้สอบจึงกลายเป็นหมีจำศีลเก็บตัวอยู่ในห้องเป็นส่วนใหญ่บางครั้งตัวเขาเองก็เข้าไปนั่งอ่านเป็นเพื่อนเยว่หมิงฮุยบอกว่าถ้ารักษาระดับเสียงให้อยู่ในไม่เกิน 10 เดซิเบลก็สามารถอยู่ในห้องเดียวกันได้สรุปก็คือ เขาทำได้แค่นั่งหายใจนั่นเอง แต่มันก็ถูกต้องแล้วที่เขาต้องอยู่ด้วยเจ้า
แต่ก็นั่นละถึงอ่านคนเดียวแต่ก็ต้องฉลองกับเพื่อนตัวเขาถูกโทรตามจากเพื่อนในคณะของเยว่หมิงฮุยเมื่อคืนตอนเกือบตีหนึ่งให้ออกไปรับ..ไม่สิ..เก็บร่างกระต่ายที่นั่งกอดกระถางต้นไม้หน้าร้านเหล้าอันที่จริงแล้วเขาก็กำลังจะออกไปรับอยู่แล้วด้วยรู้นิสัยของเยว่หมิงฮุยดีว่าเคยกลับจากงานสังสรรค์แอลกอฮอลล์ด้วยสภาพคนปกติเสียที่ไหนและด้วยความที่ร้านอยู่ใกล้หอของเขามากกว่าอีกฝ่าย การลากร่างของผู้ชายสูง 183 เซนติเมตรมาที่ห้องเขาจึงเป็นเรื่องที่ที่ควรทำมากกว่าการลากร่างนั้นกลับไปอีกหกที่ห่างไปอีกเกือบสองซอย
เจ้ากระต่ายพอถึงห้องของเขาแล้วก็ทิ้งตัวลงเตียงด้วยความคุ้นชินกับห้องของเขาเป็นอย่างดีไอ้ตัวเขาเองก็คร้านจะไปลากอีกฝ่ายลงจากเตียงโบราณท่านว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา หลังจากจัดการถอดรองเท้าถุงเท้าและยัดเจ้ากระต่ายให้อยู่ใต้ผ้าห่มได้แล้วเขาถึงลากเอาฟูกผ้าห่มและหมอนสำรองออกมาจากตู้เสื้อผ้าและปูลงบนพื้นข้างๆเตียงของเขาเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมเดินไปปิดไฟเตรีนมเข้านอน มู่จื่อหยางก็หยุดยืนมองคนที่ยึดเตียงของเขาไป
ในห้องที่ตอนนี้มีแค่แสงจากพระจันทร์ที่ส่องผ่านช่องผ้าม่านสลัวๆตกกระทบคนบนเตียงเดี่ยวที่พยายามถีบผ้าห่มของตนเองออก ร้อนถึงคนที่ยืนมองอยู่ให้ต้องช่วยจัดผ้าห่มให้เข้าที่ระหว่างที่มู่จื่อหยางโน้มตัวลงไปนั้นเอง ใบหน้าของเจ้ากระต่ายและเขาก็อยู่ตรงกันพอดีคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และปากเล็กๆที่ขมุบขมิดงึมงัมในคอ
เฮ้อ น่าเอ็นดูแบบนี้เสมอเลยนะ
ตามความเป็นจริงใกล้กันขนาดนี้ เขาได้กลิ่นเหล้าจากอีกฝ่ายชัดเจนมาก แต่มันคุ้มค่าในทุกวินาที
ช่วงเวลาที่เยว่หมิงฮุยหลับคือช่วงเวลาเดียวที่เขาสามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาได้ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันแต่ก็ใช้ว่าเสี่ยวฮุยจะรู้ใจเขาไปทุกเรื่องและตัวเขาเองก็มีเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับเสี่ยวฮุย
“จริงๆกูน่าจะเรียนวิศวะแบบมึงนะเผื่อวันนึงกูจะได้เป็นนักอวกาศ”
“นักอวกาศอะไรของมึง” เจ้ากระต่ายงึมงัมๆเหมือนรู้เรื่อง
“กูอยากเข้าใกล้ดวงจันทร์ให้มากกว่านี้”
แต่เหมือนเจ้ากระต่ายก็เหมือนจะไม่รอฟังคำตอบจากเขาและชิงเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปเรียบร้อยแล้ว
เฮ้อ เอาเถอะ ที่เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วมั๊ง
จากนั้นมู่จื่อหยางจึงล้มลงนอนบนฟูกของเขาโดยหันตะแคงเข้าหาเตียงเดี่ยวหลังนั้นเฝ้ามองพระจันทร์ของเขาในความมืด
กลับมาปัจจุบันที่เขานอนมองเสี้ยวหน้าของเยว่หมิงฮุยอีกครั้งในแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เอาจริงสภาพของคนเมาที่ยังไม่ตื่นนอนดีมันจะไปดูดีได้ยังไง แต่อย่างว่า ในสายตาเขากระต่ายตำข้าวตัวนี้น่าเอ็นดูเสมอ
ถึงเวลาที่เขาต้องปลุกกระต่ายจากนิทราซะแล้ว
สิ่งที่เขาเลือกทำคือยกขาขึ้นไปบนเตียงเพื่อเขี่ยเยว่หมิงฮุยให้ตื่น
“มึงจะยึดเตียงกูไปถึงพรุ่งนี้เช้าเลยมั้ยตื่นได้แล้วมึง”
เสียงตะโกนพร้อมระบบสั่งปลุกด้วยเท้าแบบต่อเนื่องจากมู่จื่อหยางทำให้เยว่หมิงฮุยยอมลืมตาขึ้นมาสู่แสง
“โอ้ย กูขอนอนต่ออีกหนอ่ยไม่ได้หรอวะ เอ้อ มึงปรับแอร์ลงอีกหน่อยได้มะ เริ่มร้อนละ” และเยว่หมิงฮุยก็หลับตาลงอีกครั้งหนึ่งตะแคงตัวไปอีกฝั่ง
“พ่อมสิ ตื่นโว้ยยยย” มู่จื่อหยางโวยวายเตรียมจะลุกขึ้นมาลากเจ้ากระต่ายลงจากเตียง หากแต่คำถามของอีกฝ่ายกลับหยุดเขาไว้
“เมื่อคืนมึงพูดว่าอยากเรียนวิศวะแบบกูหรอวะ”เยว่หมิงฮุยงัวเงียถามเช่นเคย
มู่จื่อหยางค่อนข้างแปลกใจที่เยว่หมิงฮุยจำได้
“อ่อกูก็พูดไปงั้นอะ .....กูก็แค่อยากทำงานอยู่นาซ่าร์และขับยานอวกาศ”
“กูอยากเข้าใกล้ดวงจันทร์มากกว่านี้”
มู่จื่อหยางพูดสิ่งที่คิดออกไปแต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความมหายโดนนัยของมันหรือเปล่า
“มึงแม่งไร้สาระหวะ” เป็นไปตามคาดเยว่หมิงฮุยคงไม่เข้าใจมัน
หากแต่บางสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น
“มึงจะไปเป็นนักอวกาศทำไมแค่นี้มึงยังใกล้พระจันทร์ไม่พออีกหรอ” ระหว่างพูดก็ยื่นมือข้างที่เก็บเข้าไปในผ้าห่มก่อนหน้านี้พร้อมกระดิกนิ้วน้อยๆเหมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง
บอกแล้วว่าเจ้ากระต่ายของเขาน่าเอ็นดูจะตาย
มู่จื่อหยางยกมือข้างหนึ่งมาจับมือที่ยื่นลงมาจากเตียงพร้อมบอกว่า
“เออ ใกล้พอก็ได้วะ”
เพียงเท่านี้มู่จื่อหยางก็พอใจมากแล้วจะขอมากกว่านี้ไปเพื่ออะไร เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกเหมือนได้สัมผัสพระจันทร์แล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in