เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ONER/BC221 Fan Fictionong_iammai
SECRET BETWEEN US (Couple: Yangyue หยางเยว่) ความลับของเราสองคน
  • "เราต่างก็รู้ดี เธอเองก็มีใคร 
    และฉันก็มีของฉัน
    ฉันรู้ว่าผิด ถ้าคิดจะชอบกัน
    แต่อยากเหลือเกินต่อการจะห้ามใจ"


    ........การท่องเที่ยวในประเทศไทยกับความทรงจำแสนพิเศษที่จะกลายเป็นความลับตลอดไป........
  • "นายแน่ใจนะว่ามาถูกขบวน" 
    ชายหนุ่มชาวจีนเจ้าของความสูง 183 กล่าวขึ้นกันคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

    "แน่ใจดิ จากแอร์พอร์ตมาใครก็ขึ้นขบวนนี้อ่ะ" 
    อดีตนายแบบมิลานเจ้าของความสูง 188 กล่าวตอบ

    "แล้วลงสถานีไหน" 
    เยว่หมิงฮุยถามต่อ

    "เอ่อ...นั้นดิ" 
    มู่จื่อหยางตอบกลับแบบงงๆ เยว่หมิงฮุยได้แต่กรอกตาไปมาเล็กน้อยก่อนพูดต่อ

    "ลองถามคนอื่นดูดิว่าไป..อะไรนะ...สยามเนี้ย ต้องลงสถานีไหน"
    มู่จื่อหยางฟังเสร็จก็พยักหน้าพร้อมกับมองหาเหยื่อบนรถไฟฟ้าที่คนไทยเรียกว่า "แอร์พอร์ตลิ้งค์" บนรถไฟฟ้าช่องบ่ายๆแบบนี้ถึงคนไม่ได้หนาแน่นมาก แต่พวกเขาสองคนก็หาที่นั่งไม่ได้ เท่าที่กะจากสายตา ผู้โดยสารชาวต่างชาติเองก็คงไม่คุ้นเส้นทางเช่นเดียวกับพวกเขา ส่วนผู้โดยสารชาวไทยก็ดูยุ่งอยู่กับสมาร์ทโฟนของพวกเขากันทุกคน

    ‘มันต้องมีสักคนละน้าที่ดูพูดคุยกันรู้เรื่อง’

    และแล้วมู่จื่อหยางก็ตัดสินในเดินเข้าไปถามหญิงสาวคนหนึ่งที่พึ่งเงยหน้าจากสมาร์ทโฟนของเธอขึ้นมาพอดี เยว่หมิงฮุยมองด้วยความขำขันที่มู่จื่อหยางพยายามสุดความสามารถในการถามทางจากเหยื่อผู้โชคร้ายคนนั้นด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ถนัดนักบวกกับท่าทางมือไม้เป็นตัวช่วย ต้องขอบคุณวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่มีเครื่องแปลภาษาบนอินเตอร์เน็ต

    มู่จื่อหยางเดินกลับมาด้วยหน้าตามึนงงเล็กน้อย
    "ได้เรื่องกลับมามั้ยว่าต้องไปไงต่อ" 
    เยว่หมิงฮุยถามโดยพยายามกลั้นขำเต็มทีี่

    "ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า last stop แล้วก็ไปต่อ...." 
    มู่จื่อหยางก็นึกขึ้นมาได้ว่า

    "อ้าว ภาษาอังกฤษนายก็ดี ทำไมไม่ไปถามเองวะ"

    "ก็นายตลกดี" 
    เยว่หมิงฮุยตอบอย่างไม่ยี่หระพร้อมยิ้มมุมปาก

    แค่เริ่มทริปก็ดูเหมือนจะสงบสุขซะแล้ว...
  • คนมักพูดกันว่า เวลามีท่องเที่ยวพักผ่อน สมองคนเราจะผ่อนคลายลงและมักทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยนึกทำ...

    ภูเก็ต จังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะหันไปทางใดก็เจอแต่ความคึกคักและเสียงพูดคุยของผู้คนหลายชาติหลายภาษา

    หากแต่เวลาประมาณ 1 ทุ่มกว่าในวันธรรมดาที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวแบบนี้ ชายหาดที่เคยคึกคักเมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ละขอบฟ้า กลับตกอยู่ในความเงียบสงบจนน่าแปลกใจ

    ลมทะเลชื้นๆปนเค็มพัดผ่านใบหน้าของคนสองคนที่เดินอยู่ข้างกันอยู่เนือยๆ
    ถึงจะเดินอยู่ข้างกัน เยว่หมิงฮุยที่คุยจ้อไม่หยุดกลับไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่เดินอยู่ข้างๆเขา ความคิดกลับลอยไปไกลแสนไกล

    มู่จื่อหยางกำลังคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลา4-5วันที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยด้วยกันเพียงสองคนกับเยว่หมิงฮุย

    ...ทุกความทรงจำ ทุกความรู้สึก...

    ตั้งแต่วินาทีแรกที่นั่งข้างกันบนเครื่องบินจากสนามบินนานาชาติปักกิ่ง

    พวกเขาทิ้งความรู้สึกกังวล ความเครียดที่เคยสะสมตลอด 3 เดือนในแคมป์ ทิ้งไว้ที่สนามบินแห่งนั้น พร้อมรับประสบการณ์ใหม่ๆในประเทศที่ไม่เคยมาเยือน

    หากลองย้อนนึกทบทวนความสัมพันธ์ของเขาและเยว่หมิงฮุย ตอนเป็นเด็กฝึกด้วยกัน แม้จะถือได้ว่าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเกือบทั้งวัน แต่ก็มีเวลาที่ต่างคนต่างอยู่ ซึ่งหมายถึง ต่างคนต่างอยู่กับคนรักของตัวเอง

    ใช่แล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างมีคนรัก เด็กฝึกร่วมค่ายอีกสองคนที่ยังอยู่ในรายการเซอร์ไวเวิลนั้นแหละ 

    น้องรองของทีมที่เข้ากับคนอื่นในทีมไม่เก่งเท่าไหร่ แน่นอนว่าติดพี่ชายคนโตที่เป็นคนรักของเขาแจอยู่เสมอ ส่วนน้องเล็กนะเหรอ ตั้งแต่เข้ามาปักกิ่งครั้งแรกก็มีความจำเป็นต้องมาอยู่หอพักของเขาอยู่พักใหญ่ เขาคือคนที่น้องรักและไว้ใจมากที่สุด และตัวเขาก็รักน้องมากเช่นกัน

    มู่จื่อหยางคิดเสมอว่าตัวเขาและเยว่หมิงฮุยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ถึงจะไม่ได้คุยหรือรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายดีหมดทุกเรื่อง แต่ก็เข้ากันได้ดีเสมอมา มีพูดหยอกล้อกันบ้าง แต่ทั้งคู่ก็รู้ลิมิตของกันและกันเสมอ จะว่าไปก็เหมือน “ทอมแอนเจอรี่” เลยแหละ

    แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา เหมือนเขาได้รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น รวมถึงค้นพบความรู้สึกบางอย่างในตัวเขาที่ไม่แน่ใจว่าพึ่งเกิดขึ้นหรือถูกแอบซ้อนอยู่ข้างในมาตลอดกันแน่ 

    การที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพียงสองคนในประเทศที่ไม่คุ้นเคย 
    นั่งกินข้าวตรงข้ามกันทุกมื้อ 
    ปรึกษาเรื่องชีวิตที่ไม่เคยพูดถึงมาก่อน 
    เข้านอนพร้อมกันทุกคืน 
    ตื่นขึ้นมาพร้อมกันทุกเช้า 
    แชร์ความรู้สึกแปลกใหม่ในสิ่งที่ได้พบเห็นพร้อมๆกัน 
    เถียงกันว่าใครจะเป็นคนกินอาหารชิ้นสุดท้ายที่อยู่บนจาน
    เขาที่ต้องโวยวายในความซนของเยว่หมิงฮุยที่พยายามหาปูมาแกล้งเขา
    ทุกรอยยิ้มและทุกเสียงหัวเราะ
    มันเหมือนทำให้เขาได้เข้าใจอะไรบางอย่าง

    ทุกครั้งที่ได้อยู่กับ “เพื่อน” คนนี้ เขากลับรู้สึกอบอุ่นใจและสงบสุขแบบที่ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกมาก่อน ความรู้สึกโลภได้เกิดขึ้นในใจเขา

    ถ้า...เขาได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ทุกวันก็คงดี
    ถ้า...เขาได้เป็นคนแรกที่อีกฝ่ายอยากแชร์ความรู้สึกก็คงดี
    ถ้า...เขาได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายแบบนี้ก็คงได้
    ถ้า...เขาได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายก็คงดี
    ถ้า...เขาได้เป็นเจ้าของทุกความรู้สึกของอีกฝ่ายก็คงดี

    คำว่า “เพื่อน” ที่เขาใช้เรียกอีกฝ่ายถึงแม้จะอายุน้อยกว่า แท้ที่จริงแล้วเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า ช่วงเวลา 5 วันที่ผ่านมานี้ การที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่หันไปข้างๆก็เจอคนคนนี้ กลายเป็นความเคยชินจนกลายเป็นความสุขหนึ่งของเขาไปแล้ว 

    ...การได้มีเยว่หมิงฮุยอยุ่ในสายตาของมู่จื่อหยางคือความสุขที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน...

    ความคิดบางอย่างโผล่แว๊บขึ้นมาให้หัวของเขา
    เขาอยากอยากเป็นคนที่ได้อยู่ข้างเยว่หมิงฮุยแทนผู้ชายคนนั้น

    ......................

    เยว่หมิงฮุยรู้สึกถึงความเงียบหลังจากที่พูดอะไรออกไปก็ไม่ได้เสียงตอบรับอื้อเบาๆจากคนที่เดินข้างเขา
    เขาหันไปมองผู้ชายที่อายุน้อยกว่าตัวเขาหากแต่สูงกว่าเล็กน้อย คิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนเกือบกลายเป็นปมบนใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้เขาพอเดาได้ว่ามู่จื่อหยางคงกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอย่างหนักแน่ๆ

    เห็นแบบนั้นแล้วเยว่หมิงฮุยจึงไม่อยากขัด ถึงแม้จะอยากแกล้งมากแค่ไหน เห็นแก่อากาศดีๆวิวสวยๆตอนนี้หรอกนะ

    เพราะไม่มีคนข้างๆคอยคุยด้วย เยว่หมิงฮุยจึงใช้เวลานี้สำรวจคนข้างกายแทน 
    พวกเขารู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ
    ปีกว่าเกือบสองปีได้มั้ยนะ 
    ทุกเวลาที่ยากลำบากนั่น พวกเราก็ผ่านพ้นมันมาด้วยกันเสมอ

    มู่จื่อหยางที่ภายนอกดูเย็นชา ตัวสูงโปร่งยิ่งทำให้ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ไหนจะนิสัยที่มีเอกลักษณ์ตามสไตล์คนกรุ๊ปเลือด AB หากแต่ถ้าได้รู้จักกันแล้ว ผู้ชายคนนี้กลับมีนิสัยที่อ่อนไหวและอ่อนโยนกว่าที่มองจากภายนอกหลายขุม เอาง่ายๆก็ปากร้ายแต่ใจดี จึงไม่แปลกที่จะมีคนรู้จักและชื่นชอบในตัวผู้ชายคนนี้เยอะแยะมากมาย

    สำหรับเยว่หมิงฮุยแล้ว ถึงจะตีกันบ่อย แกล้งกันเป็นประจำ แต่ในช่วงเวลาที่เขารู้สึกเศร้าและกดดันแต่กลับต้องแสดงว่าสบายดี จะคอยมีมือจากผู้ชายคนนี้มาแตะเขาเบาๆ ตอนที่อยู่ในรายการและรู้ว่าตัวเองไม่ได้ไปต่อแล้ว มือคู่นี้ไม่ปล่อยจากเขาเลย ทั้งกอดปลอบและกระชับมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน 

    หลายต่อหลายครั้งที่มู่จื่อหยางมักชอบทำแต่เรื่องไร้สาระ และเขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เมหือนกันว่าทำไมถึงยอมคล้อยตามทุกครั้ง

    ...มู่จื่อหยางช่างเป็นเพื่อนที่ดีของเขาจริงๆ...
  • "หยางหยาง"
    "เหล่าเยว่"

    สองเสียงพูดขึ้นมาพร้อมกัน

    "นายพูดก่อนเลย"
    เยว่หมิงฮุยเปิดทางให้มู่จื่อหยางพูดก่อน

    "ไม่ๆ นายก่อนเลย"
    มู่จื่อหยางเมื่อโดนขัดจังหวะแบบนี้ ความกล้าที่สะสมมาใจในเมื่อครู่ก็หายหมด

    "โอเค งั้น...ฉันคิดว่าตอนนี้ฝานจื่อกับเสี่ยวตี้น่าจะเลิกซ้อมแล้ว พวกเราโทรหาพวกเขาดีมั้ย"
    หลังจากได้ยินคำพูดของเยว่หมิงฮุย มู่จื่อหยางเหมือนโดนทุบหนักๆกลางอก ชาแปล๊บๆ และทำได้แค่พยักหน้ารับ

    "อื้อ เอาซิ"
    เท่านั้นเองที่เขาสามารถพูดออกไปได้

    ระหว่างวิดีโอคอลกับคนที่อยู่อีกประเทศหนึ่ง ถึงแม้จะยังคงพูดเล่นหยอกล้อเหมือนปกติ หากแต่ข้างในใจของมู่จื่อหยางไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย และแล้วเขาก็พูดสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนออกไป

    "พวกเราไปว่ายน้ำเล่นกันมั้ย หลังจากนี้"
    เขาพูดออกไปแล้ว
    หากแต่เยว่หมิงฮุยเหมือนไม่ได้ยินประโยคนั้นเพราะสายจากของอีกฝั่งที่ตัดไปเสียก่อนได้ดึงความสนใจไปเสียแล้ว

    จากระเบียงหน้าห้องพวกเขาเดินกลับเข้ามาในตัวห้องพัก ความเงียบปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง 
    คนตัวสูงน้อยกว่าเดินไปหยิบกางเกงขาสั้นมาตัวนึง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป มู่จื่อหยางได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจ เมื่ออีกคนเดินออกมาจากห้องน้ำในกางเกงตัวนั้น

    "เอ้า จะไปเล่นน้ำไม่ใช่เหรอ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ"

    มู่จื่อหยางแปลกใจที่คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของเขา แต่อีกฝ่ายกลับได้ยินและปฏิบัติอย่างรวดเร็ว

    "เฮ่ย โอเค รอแปป"


    ช่วงสามสี่ทุ่มแบบนี้ ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงดาวไม่กี่ดวงและพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยลิบๆของขอบฟ้า ลมเย็นๆที่พัดมาทำให้การแช่ตัวอยู่ในน้ำเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ทำไมเขาถึงเป็นคนที่อยู่ในน้ำแค่คนเดียวละ

    "เหล่าเยว่! จะนั่งอยู่ที่ขอบสระอีกนานมั้ย ทำไมไม่ลงมาในสระห๊าาา"

    "ก็ฉันว่ายน้ำไม่เป็น นายก็รู้"

    "นายจะบ้าหรือ สระนี่ลึก 1.60 เมตรเอง นายสูงแค่ 160 เซนติเมตรหรอ"

    "คนเราสามารถจมน้ำได้แม้ความลึกจะน้อยกว่าความสูงของคนคนนั้นก็ตาม นายเข้าใจมั้ย"

    "นี่นายจะบ้าหรอ ฉันก็อยู่นี่ไง"

    มู่จื่อหยางพูดจบก็เข้าใกล้เยว่หมิงฮุยเข้าไปเรื่อยๆ  ก่อนจะรีบขว้าขาข้างนึงเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกหนี

    "เฮ้ย อย่าดึง"

    "ลงมาซิ"

    ทั้งสองเถียงกันอยู่พักนึงก่อนทั้งคู่จะรู้สึกว่ามันไร้สาระเกินไปและเลิกฉุดกระชากกันไปมา

    "เฮ้อ แย่เลยนะที่นายไม่ได้เอากระบีไม้ของนายมาด้วย"
    อยู่ดีๆเยว่หมิงฮุยก็กล่าวลอยๆ

    "ทำไมอะ"
    มู่จื่อหยางถามขึ้นด้วยความสงสัยพร้อมรู้สึกตะงิดๆ

    "นี่หยางหยาง นายจำได้มั้ยว่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อนแถวนี้เคยเกิดสึนามิ"
    เยว่หมิงฮุยพยายามคิดเรื่องแก้แค้นที่ตัวเองเกือบโดนลากลงน้ำ

    "ไม่เห็นรู้เลย ตอนนั้นฉันก็10ขวบเองมั๊ง จำไม่ได้หรอก"
    มู่จื่อหยางพยายามบอกปัด

    "งั้นเดี๋ยวเล่าให้ฟัง"
    ก่อนที่เยว่หมิงฮุยจะได้พูดอะไรต่อจากนั้น มู่จื่อหยางก็ทำการพุ่งตัวแล้วลากอีกฝ่ายลงมาในสระว่ายน้ำได้สำเร็จ นั่นทำให้เกิดความชุลมุนเล็กๆขึ้นระหว่างคนตัวเล็กกว่าที่ว่ายน้ำไม่เป็นและพยายามตะกุยตะกายสุดชีวิตกับอีกคนตัวสูงกว่าที่พยายามจับอีกฝ่ายให้อยู่เฉยๆ

    "เฮ้ยๆ ตั้งสติ ยืนถึงพื้นแล้ว"
    มู่จื่อหยางรู้สึกเจ็บตามแขนและตัวเล็กน้อย คาดว่าจะเป็นเล็บของอีกฝ่าย
    'เฮ้อ นี่มันคนหรือแมวเนี้ย'

    หลังจากตั้งสติได้และพยายามปรับสายตาท่ามกลางความมืดและหยดน้ำที่เกาะอยู่ทั่วใบหน้า คนทั้งคู่ก็พึ่งรับรู้ถึงท่าทางที่เหมือนไม่ค่อยถูกที่ถูกทางเท่าไหร่ของเขาทั้งสอง

    ...เยว่หมิงฮุยตกอยู่ในอ้อมแขนของมู่จื่อหยางเต็มๆ...

    แรงโน้มถ่วงหรือแรงดึงดูดใดบนโลกนี้ก็ไม่รู้ได้ 

    ดึงใบหน้าของสองคนให้เข้าหากัน 

    หากแต่เสี้ยววินาทีก่อนที่บางอย่างจะเกิดขึ้น 

    "ปั๊ง" เสียงดังคล้ายประทัดจากที่ใดก็ไม่รู้ดังขึ้น

    เมื่อรู้สึกตัวแล้วทั้งสองก็เด้งออกจากกันอัตโนมัติ หากแต่มือข้างนึงของมู่จื่อหยางกลับยังคงค้างไว้บนแขนของเยว่หมิงฮุย

    "ฉันถามอะไรหน่อยสิ นายยเคยคิดมั๊ยว่าพวกเราอาจจะคบกันได้"
    มู่จื่อหยางถามออกไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาด้วยความไม่มั่นใจ หวาดกลัว แต่ความสงสัยใคร่รู้กลับมีมากกว่า

    "เคยสิ"
    เยว่หมิงฮุยตอบกลับไปในทันที ก่อนชะงักเพราะแรงกอดมหาศาลของคนตรงข้าม

    มู่จื่อหยางดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนและกอดรัดไว้อย่างแรงเหมือนเป็นที่หยึดเหนี่ยวจิตใจที่สั่นไหวและหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง 

    "ฉันรู้ว่ามันผิด แต่ฉันขอเป็นคนที่เดินข้างนายแทนคนนั้นได้มั้ย"
    มู่จื่อหยางพูดออกไปแล้ว พูดในส่ิ่งที่เฝ้าคิดมาตลอดหลายชั่วโมง 

    "พอเถอะ หยางหยาง"
    หากแต่สิ่งที่เยว่หมิงฮุยทำ ไม่ใช่การผละออกจากอ้อมแขนของเขาและต่อยหน้าเขาอย่างเต็มแรง หากแต่เป็นการยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบหลังเขาเบาๆคล้ายการปลอบใจ ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่านั่นกลับทำให้ใจเขาสงบลงจริงๆ 

    "ฉันรู้ว่าพวกเราเข้ากันได้ดี เข้าใจซึ่งกันและกันเสมอ แต่สถานะที่พวกเราเป็นอยู่ตอนนี้ มันดีที่สุดแล้วจริงๆ"
    ใช่ว่าเยว่หมิงฮุยจะไม่รู้สึกอะไรกับอีกฝ่าย หากแต่บางครั้งสิ่งที่อยากทำอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และเขาเชื่อสมองมากกว่าเชื่อหัวใจ

    มู่จื่อหยางสงบลงแล้ว บอกแล้วไงว่า การอยู่ใกล้เยว่หมิงฮุยทำให้เขาเป็นสุขและสงบใจได้ 

    "ขอโทษนะ"
    เสียงสั่นเครือหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนตัวสูงกว่า

    "ฉันเข้าใจ"
  • เป็นอีกครั้งที่พวกเขาได้ทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ที่สนามบิน

    ความรู้สึกผิดต่อคนรัก คือสิ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ก่อนทั้งคู่จะเดินขึ้นเครื่องบินเพื่อกลับประเทศบ้านเกิด
    และกลับไปเผชิญกับความเป็นจริง

    หากแต่สิ่งที่เก็บไว้ คือความสุขของการได้อยู่ด้วยกันเพียงสองคน และความทรงจำในสระน้ำคืนนั้น จะคงอยู่ในลิ้นชักในสุดของหัวใจ 
  • [Writer's Talk]

    สวัสดีค่ะทุกคน
    TT ในที่สุดก็แต่งจบแล้ว เป็นโปรเจคที่ลากยาวมาข้ามวันข้ามอาทิตย์ข้ามเดือนข้ามเทอมเลยทีเดียว

    รื้อพล๊อตด้วยซ้ำ 5555555555555

    แต่ในที่สุดก็จบลงได้ (อันที่จริงต้องขอบคุณน้องๆรอบตัวที่แต่งจบจนเหมือนเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองด้วย)

    สารภาพว่าจริงๆเป็นคนชอบอ่านอะไรแบบเบาสมองค่ะ ชอบความฮา แต่ไม่รู้ทำไมแต่งฟิคแล้วกลายเป็นหน่วงแบบนี้ได้ เป็นคนโลกสวยสดใสจริงๆนะคะ (เชื่อเถอะ)

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองในชีวิต คิดว่ายังมีอะไรติดขัดเยอะอยู่ ต้องขอโทษจริงๆนะคะ แต่ว่าต้องแต่งค่ะ โมเม้นต์ช่วงนี้น้อยมาก ปวดใจ และคือความ secret affair ของสองคนนี้มันรุนแรงมากๆจริงๆค่ะ โฮฮฮ

    ยังไงก็ตาม ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วเจอกันใหม่เรื่องหน้า (ถ้ามีโอกาส) นะคะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in