เขากอดปลอบผมเวลาที่ผมทำผิดพลาด
ผมกอดปลอบเขาเวลาเขาร้องไห้บนเตียงกลางดึก
เขายอมนั่งเล่นเกมส์กับผมจนดึกดื่นเพียงเพราะต้องการให้ผมลืมเรื่องเศร้าทั้งๆที่บ่นว่ามันไร้สาระ
ผมนึกถึงเขาคนแรกเวลามีคนถามว่าอยู่กับใครแล้วสบายใจมากที่สุด
เขายิ้มให้ผมเสมอไม่ว่าจะเป็นวันแรกที่เจอกันหรือแม้กระทั่งวันที่ผมกับเขาต้องจากกัน
ผมจับมือเขาเวลาที่ผมตื่นเต้นและขาดความมั่นใจ
ผม...เขา...เมื่อไหร่ถึงจะมีคำว่า ‘
ตั้งแต่เล็กจนโต ชีวิตประจำวันของผมเหมือนจะประกอบไปด้วยเสียงแม่ปลุก ข้าวเช้า ข้าวเที่ยง ข้าวเย็น เกมส์ และ.....เยว่หมิงฮุย
นอกนั้นไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว
ทำไมเสียงแม่ปลุกถึงสำคัญเพราะเสียงแม่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมได้ตื่นมาเจอสิ่งที่เหลือ –
แน่นอนครับว่าอาหาร3มื้อคือช่วงเวลาดีๆของวัน
เกมส์คือการเปิดโลกกว้างของผม- ช่วงเวลาเดียวที่ทำให้ผมคลายความคิดถึงเยว่หมิงฮุยได้
และ...
เยว่หมิงฮุย - คนที่ผมอยากจะลืมตาขึ้นมาในทุกเช้าและอยากจะปกป้องด้วยแรงกำลังทั้งหมดที่มี
เยว่หมิงฮุยเป็นใครนะหรอครับ
พี่ชายข้างบ้านคนนั้นไง
ตอนเด็ก...ไม่มีใครเดาได้หรอกครับว่าโตแล้วผมจะสูงถึง192 เซนติเมตร
ตอนเด็ก...เยว่หมิงฮุยคือคนที่นั่งข้างผมบนรถโรงเรียนทุกเช้าและทุกเย็น
ตอนเด็ก...เยว่หมิงฮุยคือคนที่คอยแบ่งปันขนมให้ผมกินทุกพักเบรก
ตอนเด็ก...เยว่หมิงฮุยคือคนที่คอยติวหนังสือสอบให้ผม
ตอนเด็ก...เยว่หมิงฮุยคนคือที่คอยเล่นกับเด็กตัวผอมดูแกร็นๆคนนี้
ตอนเด็ก...เยว่หมิงฮุยคือคนที่ปลอบผมตอนร้องไห้เพราะตกจากจักรยาน
ตอนเด็ก...เยว่หมิงฮุยคือคนที่คอยปกป้องปู่ฝานฝานคนนี้
ช่วงเวลาเด็กของผม เต็มไปด้วยคนที่ชื่อเยว่หมิงฮุย
เวลาผ่านไปผมสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ หลายอย่างเปลี่ยนไป แต่เยว่หมิงฮุยไม่เคยเปลี่ยน
ถึงเราจะเรียนกันคนละคณะแล้วแต่ทุกครั้งที่ผมต้องขึ้นเดินแบบเขาจะแวะมาให้กำลังใจเสมอ เยว่หมิงฮุยหนะ ได้บัตรสตาฟฟ์เข้าหลังเวทีจากผมตลอดเลยนะ
“ฝานจึนายทำได้อยู่แล้ว”
พร้อมรอยยิ้มเดิมที่มีให้ตั้งแต่ที่เขาย้ายมาข้างบ้าน รอยยิ้มที่บางครั้งผมมองว่าเขาปั้นแต่งแต่สายตาของเขาไม่เคยหลอกผมได้
ทุกครั้งที่ผมตื่นเต้น มือของเขาคือสิ่งที่ผมอยากจับเขาเหมือนเป็นแหล่งพลังงานของผม เป็นที่พึ่งทางจิตใจที่ดีที่สุดเมื่อผมได้รับพลังนั้น ไม่ว่าอะไรผมก็พร้อมเจอ
“พี่ ผมทำพลาดอีกแล้วหวะ”
ผมพุ่งเข้ากอดเขาทันทีหลังจากที่ดูเทปย้อนหลังแล้วเห็นว่าตัวเองก้าวผิดจังหวะบนรันเวย์
“ไม่เป็นไรหน่าคนเราไม่ได้เพอร์เฟคร้อยเปอร์เซ็นต์ นายก็แก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ครั้งหน้าก็ระวังมากขึ้นเท่านั้นเอง”
เขาพูดพร้อมเอามือเล็กๆคู่นั้นลูบหัวผมแบบทุกครั้งที่ปลอบโยนผม
“เล่นเกมส์กันเหอะผมเซ็ง”
“เฮ้ยเดี๋ยวคุณน้าก็ว่าหรอก เมื่อวันก่อนก็เห็นเล่นจนตี1-2ไม่ใช่หรอตื่นสายจนเสียงปลุกของคุณน้าดังไปบ้านพี่”
“ไม่หรอก แม่ไม่ว่าหรอกมีพี่อยู่ด้วย”
“แต่...”
“โหพี่นี่ผมเศร้าอยู่นะ ถ้าผมเครียดจนคิดสั้นทำไงวะพี่”
“นายมันไร้สาระ”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ยกแลพท๊อปรุ่นเจ๋งของเขามานั่งเล่นเกมส์กับผมจนดึก...จนเผลอหลับไป
คืนนั้น ทำให้ผมรู้อะไรอยู่อย่าง
...เยว่หมิงฮุยช่างเหมือนกระต่ายอะไรขนาดนี้นะ
และผมได้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำไม่รู้ด้วยซ้ำมันถูกต้องหรือไม่ แต่ผมไม่รู้สึกผิดที่ได้ทำมัน
---จุ๊บ---
หลังจากคืนนั้นเองที่ผมเริ่มถามตัวเองว่า ผมกับเขา...เป็นอะไรกัน
น้องชายข้างบ้าน
รุ่นน้องที่มหาลัย
น้องชายคนสนิท
คำไหนถึงจะอธิบายสถานะตอนนี้ที่ผมเป็นอยู่ได้
การที่ผมไปนอนค้างบ้านเขาแทบนับครั้งไม่ถ้วน
การที่ไปเรียนในตอนเช้าพร้อมกันและรอกลับบ้านพร้อมกันตอนเย็น
การที่ผมยอมทำกับข้าวให้เขากินคนเดียว
การที่เขายอมให้ผมกอดและจับมือทั้งๆที่บอกเองว่าเป็นคนไม่ชอบให้คนแตะตัว
การที่ผมและเขาแบ่งปันเรื่องราวทุกเรื่องตั้งแต่เด็กยันโต
การที่มองตากันก็แทบจะสื่อถึงกันได้
การที่ผมและเขานอนเบียดกันบนโซฟาเล็กๆหลังจากวันที่แสนเสร็จเหนื่อย
การที่เขายอมให้ผมเป็นคนเดียวที่ได้เห็นเขาร้องไห้
หรือแม้กระทั่งการที่เราจูบกัน
ใช่ครับมันเกิดขึ้นมากกว่า 1 ครั้ง ไม่ใช่แค่ตอนเขาหลับ
วันที่เขาสอบชิงทุนไปประเทศในฝันไม่ได้เขาพูดกับทุกคนพร้อมรอยยิ้มเดิมๆว่า
“เรื่องแค่นี้เอง ผมโอเค”
ไหนจะเสียงหัวเราะปลอมๆที่สร้างมาเพื่อหลอกคุณลุงคุณป้าว่าสบายดีบนโต๊ะอาหารคืนนั้นอีกแต่ผมใครล่ะ ‘น้องชายคนสนิท’
ห้าทุ่มกว่าคืนนั้นตอนที่ทุกคนปิดไฟนอนหมดแล้ว ผมแอบปีนทางหน้าต่างเข้าห้องของเขา และก็เป็นตามที่ผมคิดก้อนผ้านวมขนาดใหญ่กำลังสั่นน้อยๆและมีเสียงสะอื้นออกมา
...กระต่ายของผมแอบร้องไห้คนเดียวอีกแล้ว...
แน่นอนว่าพอผมเดินเข้าไปใกล้กระต่ายตัวนั้นก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา
“แอบร้องไห้อีกแล้วนะพี่”
“....ใช่ที่ไหนเมื่อกี้....จะใส่แว่นแต่ขาแว่นมันจิ้มตาพอดี..น้ำตามันเลยไหลออกมามันเป็นปฏิกิริยา....”
ผมได้กรอกตาไปมา มุกอะไรของเขาวะข้ออ้างธรรมดาแบบฝุ่นเข้าตาก็ได้มั้ง
ก่อนที่เขาจะลากเข้าหลักการไปมากกว่านี้ผมก็เดินเข้าไปกอดกระต่ายตัวนั้นเอาไว้ แล้วลูบหัวของมันเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก
กระต่ายตัวนั้นชะงักไปสักพักใหญ่ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาและเสียงสะอื้นเล็กๆออกมาอีกครั้ง
“ไม่เท่เลยหวะแบบนี้นายห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาปากเล็กๆนั่นก็พร่ำกำชับผมให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ตาของผมละออกจากริมฝีปากบางๆนั่นไม่ได้เลยและไวเท่าความคิด
ผมปิดปากนั้นด้วยปากของผมเอง
ที่น่าตกใจกว่าคืออีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบรับ...ที่ไม่ใช่การต่อต้าน
ผมผละออกพร้อมกับถามสิ่งที่ค้างคาในใจมาสักพัก
“สำหรับพี่แล้วผมเป็นใคร”
ผมกลัวจนแทบหยุดหายใจ
เยว่หมิงฮุยหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“น้องชายที่พี่สนิทใจที่สุด”
“น้องชาย..หรอ”
ผมพูดอะไรต่อไม่ถูก เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว แล้วเมื่อกี้มันคืออะไร
ผมไม่กล้าถามต่อแล้วผมรู้สึกหน่วงจนไม่สามารถรับอะไรไปได้มากกว่านี้แล้ว
เท่าที่ผมจำได้ในคืนนั้น ผมเป็นฝ่ายคลายกอดก่อน และบอกว่าต้องกลับไปนอนแล้วผมกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง แต่ตาของผมไม่สามารถปิดลงได้ สมองผมตื้อไปหมด...
จากนั้นคืนนั้นผมพยายามหาข้ออ้างไม่เจอเขา ไปเรียนเอง กลับบ้านเอง เล่นเกมส์คนเดียวพอเขาโทรมาหรือมาหาที่บ้าน ผมจะหาข้ออ้างว่าต้องออกไปหาเพื่อนตลอดนัดทำงานกลุ่มบ้างละ ติวสอบบ้างหละ อะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องคุยกับเขาความจริงแล้วผมอยากเข้าไปคุยให้ชัดเจน แต่ผมขี้คลาดเกินไป
แต่มันก็เป็นแบบนั้นได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นแค่7วัน เพราะอย่างที่คุณก็รู้ ชีวิตประจำวันของผมจะขาดคนที่ชื่อเยว่หมิงฮุยไปได้ยังไง มันไม่ครบสมบูรณ์แบบแต่ก่อน
ผมตัดสินใจแล้วจะเป็นแค่น้องชายก็ได้ ขอแค่มีเขาในชีวิตผมก็พอ
ก่อนไปหาเขาที่บ้านผมแวะซื้อสตอเบอรี่ของโปรดของกระต่ายน้อยตัวนั้นก่อน
---กระต่ายของผมสูง 183เซนติเมตรแล้วจะทำไม ยังไงก็เป็นกระต่ายน้อยของผมอยู่ดี---
สายที่ไม่ได้รับเป็นร้อยสายข้อความในโปรแกรมแชทอีกเกือบพัน ผมไม่ได้เข้าไปอ่านเลย น่าจะโดนโกรธแน่ๆ
ผมเดินเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านของผมตอนนี้บ่าย 3 โมงกว่า คุณลุงกับคุณป้าคงยังไม่กลับจากที่ทำงานผมจำได้ว่าตารางเรียนของเขาวันนี้ไม่มีเรียนและโดยปกติวันที่ไม่มีเรียนเยว่หมิงฮุยจะอ่านหนังสืออยู่บ้าน
ผมเดินเข้าไปในห้องครัวของบ้านที่ผมรู้จักดีเท่าๆกับบ้านของตัวเองเอาสตอเบอรี่ล้างน้ำแล้วใส่ชาม ผมเดินขึ้นบันไดไปห้องนอนของกระต่ายน้อยที่อยู่ชั้น 2 ของบ้าน ในหัวผมมีเรื่องเป็นล้านอย่าง ความเป็นไปได้นับพันไม่นับความรู้สึกอีกมากมาย ทุกอย่างตีกันไปหมด สิ่งเดียวที่ผมแน่ใจตอนนี้คือผมขาดคนที่ชื่อเยว่หมิงฮุยในชีวิตไม่ได้ เรื่องอื่นผมไม่สนใจแล้ว
ใจผมแทบระเบิดตอนเคาะประตูห้องนอนของเขาประตูถูกเปิดออกโดยเยว่หมิงฮุยคนเดิม กระต่ายน้อยตัวเดิมของผมที่ต่างออกไปคือเขาดูซูบลงเล็กน้อย แค่เขาซูบลงใจผมก็เหมือนโดนกรีด ความผิดผมแท้ๆ
ตาของเขาเบิกกว้างทันทีที่เห็นผม เขามองลงไปยังชามสตอเบอรี่หยิบชามนั่นออกจากมือผม แล้วต่อยหน้าผม 1 ที
“ทำไมไม่อ่านไลน์ทำไมไม่รับสายวะ!!!”
“ทำไมต้องคอยหลบหน้ากันพี่สอนนายมาแบบนี้หรอวะ มีอะไรก็คุยกันดีๆดิ ไม่หลบปัญหาดิ”
ก่อนที่เยว่หมิงฮุยจะระเบิดไปไกลกว่านี้ผมตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
“โอเคงั้นเอาตรงๆเลยนะพี่ ที่พวกเราเป็นกันอยู่ตอนนี้ ตั้งแต่ต้นสำหรับผมมันเกินคำว่าแค่พี่ชายน้องชายไปนานแล้ว...”
อยู่ดีๆเยว่หมิงฮุยก็หยิบสตอเบอรี่ขึ้นมากัด เฮ้ย..ผมซีเรียสอยู่นะเนี้ย
“...อาทิตย์นึงที่ผ่านมาหลังจากพี่ให้ผมเป็นแค่น้องชายที่พี่สนิทใจที่สุด ถึงแม่งจะเจ็บแต่พี่สำคัญกับผมมาก ผม...”
คำพูดของผมหยุดแค่นั้นเพราะปากของผมไม่ว่างแล้วสตอเบอรี่ถูกส่งเข้ามาในปากผมพร้อมริมฝีปากของกระต่ายน้อย ....หวานอมเปรี้ยวนิดๆ...
อย่าถามเลยครับว่าหัวใจของผมตอนนี้ยังดีอยู่มั้ยมันเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก
“นายก็สำคัญกับพี่มากนายไม่ใช่น้องชายธรรมดา แต่เป็นน้องชายที่พี่สนิทใจที่สุดเพราะนั่นหมายความว่านายอยู่ใกล้หัวใจพี่ที่สุด”
กระต่ายน้อยหน้าแดงมาก แต่ก็ยังยิ้มพร้อมส่งสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าจะไม่มีสิ่งใจบนโลกใบนี้ที่จะทำให้ผมรู้สึกดีเท่านี้อีกแล้ว
“พี่ก็เป็นพี่ชายที่ผมสนิทใจมากที่สุดเหมือนกัน”
“งั้นเราก็อยู่ใกล้หัวใจของกันและกันซินะ"
เรากอดปลอบกันเวลาที่พวกเราเศร้า
เรานั่งเล่นเกมส์ด้วยกันจนดึกดื่น
เรา
เรา
เรา
ต่อไปนี้จะมีชื่อเรียกสถานะว่าอะไรใครจะไปสนแล้วละครับ มีแค่ “เรา” ก็เพียงพอแล้ว
-----------------------------------------------------------
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in