นิสิตคนหนึ่งยกมือตั้งคำถามขึ้นในชั่วโมงเรียน
"อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
เวลามีคนบอกว่ายุคนี้เป็นยุคที่เกิดปัญหา
ช่องว่างระหว่างวัย คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า
มีปัญหาการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน"
อาจารย์ประมวลตอบขึ้นว่า
"ลึกๆ แล้ว ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
เวลาใครพูดเรื่องคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่
ในความหมายที่มีเส้นแบ่งอายุ เส้นแบ่งความคิด
สังคมมันไม่ได้ถึงกับแบ่งคนเป็นกลุ่มๆ
แบบวิชา set ในคณิตศาสตร์มัธยมแบบนั้น
พวกเราทุกคนต่างก็มีเส้น timeline ของชีวิตมา
ของใครของมัน แล้วก็เอามาวางเรียงต่อกัน
บางช่วงเวลา เส้น timeline ของคุณและผม
ก็มาซ้อนทับกัน เราจึงมาอยู่ร่วมยุคสมัยกัน
อีกไม่นานเส้น timeline ของผมก็หยุดลง
ผมก็ตายจากไป ส่วนคุณก็อยู่ในโลกนี้ต่อไป
.
.
การเมือง ศิลปะ วัฒนธรรม และอะไรต่อมิอะไร
ที่มนุษย์สร้างขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน
ไม่มีใครควรสามารถ stuff หรือหยุด
โลกในอนาคต สำหรับผู้คนในอนาคตได้
เราควรปล่อยให้มันพลวัตน์ หรือ dynamic
มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
คนรุ่นเก่า กับคนรุ่นใหม่ จะคุยกันรู้เรื่องหรือไม่
มันอยู่ที่เราล้วนต่างเรียนรู้ที่จะปรับตัวของเรา
ให้มี dynamic ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ที่ค่อยๆ เกิดหรือไม่
ถ้าผมจะติดกับการฟังเพลงเก่าๆ..
ไม่ฟังเพลงใหม่ๆ คิดแบบเก่าๆ ไม่คิดแบบใหม่ๆ
แปลว่าผมเอาตัวเองไปติดกับอะไร
บางอย่างที่อาจเป็นความสำเร็จในอดีต
หรือความลงตัวในอดีตเสียแล้ว
ไม่ต่างจากสมัยเด็กๆ ..
ที่ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่ต่อว่าเด็กรุ่นผม
และเมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่..
ผมก็เริ่มได้ยินคนบ่นว่าเด็กรุ่นใหม่กว่า
สิบกว่าปีที่ผ่านมา ..
ผมเองก็เคยบ่นว่าเด็กรุ่นใหม่
ด้วยความไม่เข้าใจของตัวเองเช่นกัน
สมมตินะ สมมติ ...
สมมติว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง
และเราตายกันเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็เกิดใหม่เดี๋ยวนี้
จุติมาในท้องของใครบางคน
ถ้าบังเอิญฟ้าประทานให้เราจดจำทุกสิ่งอย่าง
ที่เคยเกิดมาในชีวิตอดีตที่ผ่านมาได้
ในขณะที่เราอยู่ในร่างใหม่
คำถามคือ เราเป็นคนรุ่นใหม่
หรือเราเป็นคนรุ่นเก่า?
ความเป็นคนรุ่นใหม่ หรือความเป็นคนรุ่นเก่า
วัดกันที่ตรงไหน?
ที่ร่างกายอันเป็นกายภาพใหม่ของเรา
หรือความคิดความทรงจำที่อยู่ในหัวเรานี่?
คนแก่ที่แก่แค่กายภาพ ที่ทรุดโทรมไปตามเวลา
แต่ความคิดในหัวยัง dynamic
เปิดรับความเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ก็จัดเป็นคนรุ่นใหม่ได้
เพียงแต่สิ่งที่เราต้องทำ คือ ..
ต่างต้องปรับจูนทุกอย่างเข้าหากัน
ให้เราอยู่ร่วมกัน dynamic ไปด้วยกัน
จนกว่าเส้น timeline ของเราจะหมดลง
แล้วเราก็จากโลกนี้ไป ..
คนอื่นๆ ก็มีชีวิตล้อตามกันไป
สำหรับผม การมีชีวิตที่ดี
จึงเป็นชีวิตที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ
สนุกไปกับประสบการณ์ใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ
ซึ่งต้องแลกกับการติดกับ comfort zone
ที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ
มนุษย์เกิดความกลัวเมื่อไม่แน่ใจ
หรือไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อกลัวจึงไม่กล้าขยับออกจาก comfort zone
และความกลัวจึงทำให้เสื่อมถอย"
Cr : บทความจาก ผศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน์
อ่านแล้วชอบมากๆ เลยนำมาแบ่งปันกันค่ะ
มาวันนี้ ลูกหลานเรา ถ้าได้รับการอบรมดีๆ
ก็จะมีจริยธรรม เป็นรากฐานในใจเค้า
มีศีลธรรม มีภูมิคุ้มกันในตัวเค้า
ไปที่แห่งหนใด ก็ปลอดภัยมีกัลยาณมิตร
จะแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็เหมาะสม
ไม่ใช้คำหยาบ เพ้อเจ้อ ส่อเสียด เยาะเย้ย
คำนึงถึงผู้รับข่าวสารนั้น ว่ารู้สึกอย่างไร
แต่ในโลก cyber เราก็เจอบ้าง
ที่บางกลุ่มคน หลากหลายวัย
มีการแสดงความคิดเห็น อัตตา อย่างเต็มที่
ใครใคร่เขียน ..เขียน
ใครใคร่วิจารณ์..วิจารณ์อย่างจัดหนัก..
เออ..ทำไมถึงเป็นกัน เช่นนี้หนอ..
หวนคิดถึงคำสอนของครูบาอาจารย์
นำมาฝากและให้ข้อคิดกันนะ
.
.
เธอ..จงระวังความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอ
จะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
เธอ..จงระวังความประพฤติของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอ
จะกลายเป็นความเคยชินของเธอ
เธอ..จงระวังความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินองเธอ
จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
เธอ..จงระวังอุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอ
จะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต
คำสอน : หลวงพ่อชา สุภัทโท
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in