[Album Review #3]
AJR - The Click (2017)
"วัยรุ่นคิดมาก"
ผลงานชุดที่สอง The Click จากสามพี่น้องตระกูล Met จาก New York ในการพยายามสร้างสรรค์งานดนตรีตามแบบฉบับของวงอินดี้ด้วยงานเพลงสาย mainstream
Genre: Indie pop, synthpop, electropop, classical music
Release Date: June 9, 2017
AJR คือวง indie pop ที่มีผลงานอยู่ในโลกออนไลน์ตั้งแต่ปี 2005 ด้วยการคัฟเวอร์เพลงของศิลปินชื่อดังมากมายลง Youtube
AJR: Ryan, Jack, and Adam Met
สมาชิกของทรีโอ้นี้ประกอบไปด้วยสามพี่น้อง Met ที่มี Adam (25), Jack (19), และ Ryan (23) ที่ได้เริ่มทำเพลงของวงจริงจังครั้งแรกในปี 2013 กับเพลง "I'm Ready" ที่ได้สร้างกระแสให้กับวงได้มากขึ้น บวกกับได้รับการตอบรับที่ดีจากสื่อต่าง ๆ จนได้ออก EP แรกที่มีชื่อเดียวกับเพลงแรกที่ปล่อยมา และหลังจากนั้น สามพี่น้องก็ได้ปล่อยงานเพลงออกมาเรื่อย ๆ กับ EP ชุดที่สอง Infinity (2014) และงานเพลงอัลบั้มเต็มชุดแรก Living Room ในปี 2015 จนถึงปี 2016 ที่ทางวงได้ปล่อย EP ที่สาม What Everyone's Thinking ที่จัดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของงานเพลงเต็มชุดที่สอง The Click
งานเพลงแรกของ AJR "I'm Ready" จาก I'm Ready - EP (2013)
You get nervous, you start stressing So how am I supposed to fit this In three minutes and thirty seconds?"
3:30 คือเวลาเฉลี่ยของเพลง pop ทั่วไปในกระแส และวงทรีโอ้นี้ก็ได้หยิบเวลานี้มาตั้งเป็นชื่อเพลงที่จัดว่ามีประเด็นแน่นมากที่สุดใน The Click ในท่อนเพลงที่โควทไว้ข้างต้นก็ได้บอกภาพรวมของเพลงที่พูดถึงเรื่องราวสารพัดในชีวิตมายัดอยู่ในเพลงเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชื่อเสียง ADHD (โรคสมาธิสั้น) หรือแม้กระทั่งความไม่จีรังของชีวิต แทรคนี้จึงจัดว่าเป็นการแต่งเพลงด่าตัวเองถึงความบ้าของตัวศิลปินเอง และอยากจะถ่ายทอดความบ้านั้นออกมาใส่เพลง ในท่อนสุดท้าย AJR ยังมีการตัดพ้อถึงว่า "If Ed Sheeran writes my song / I'll finally top the charts" ด้านดนตรีของเพลงนี้ก็ยังคงมีความน่าชื่นชมเป็นอย่างมากด้วยการใช้การร้องกึ่งการบ่นเร็วในช่วงท่อน verse และตัดด้วยการร้องอย่างช้า ๆ ในท่อนฮุค และเมโลดี้ยังมีความละเอียดในซาวน์ต่าง ๆ ที่ตลอดการฟังจะได้ยินซาวน์เล็ก ๆ เสริมมาตลอด
9. Call My Dad
"I feel so broke up
I wanna go home"
"Call My Dad" น่าจะจัดได้ว่าเป็น interlude ของอัลบั้มนี้ ด้วยความที่มีความยาวเพียงสองนาทีกว่า และเดินเพลงแบบ a cappella บวกกับการใช้ autotune แต่งเสียงร้องแบบจัดหนัก ในด้านเนื้อเพลง สามพี่น้องก็บอกเล่าความคิดถึงบ้านและความอบอุ่นของครอบครัวหลังจากพบเจอกับความเลวร้ายของการใช้ชีวิต ทำให้เพลงนี้ช่วยสร้างความเศร้าให้กับผู้ฟังที่คิดถึงการได้ใช้เวลาที่ดีกับครอบครัวได้อย่างดี
10. I'm Not Famous
"It don't matter what my name is
I don't got one, I'm not famous, no
And I don't hate it, no"
"I'm Not Famous" คืองานเพลงที่ปล่อยออกมาเป็น buzz single และผู้เขียนก็ดีใจที่ทางวงได้นำเพลงนี้ลงใน The Click มาด้วย ด้วยตัวเพลงที่มีจังหวะสนุก ๆ บวกกับบีทปรบมือและซาวน์ electronic ที่ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มทำให้เพลงนี้ติดหูผู้ฟังได้อย่างรวดเร็ว แต่จุดเด่นของเพลงนี้กลับเป็นการกัดจิกวงตัวเองในเรื่องของการไม่ได้เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง AJR เคยหยิบยกประเด็นเรื่องชื่อเสียงมาพูดครั้งหนึ่งแล้วใน "I'm Ready" ที่บอกถึงความพร้อมในการเป็นศิลปินที่ต้องออกไปอยู่ท่ามกลางจุดสนใจของผู้คน แต่ในเพลงนี้ AJR เหมือนรับรู้ถึงความไม่ประสบความสำเร็จของงานเพลงตัวเองแต่ก็ได้พลิกมุมมองนั้นให้เป็นเรื่องที่ดีที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ถูกระรานจากเหล่า paparazzi หรือข่าวฉาวใด ๆ
11. Netflix Trip
"Let's take it back and take in every moment
Who am I to tell me who I am?"
แทรคที่สิบเอ็ดของอัลบั้มที่ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นเพลงที่มีเทคนิคในการแต่งเนื้อร้องได้ล้ำที่สุด เพราะ AJR ได้หยิบเอาซีรี่ย์ชื่อดังจากอเมริกา The Office มาใช้เป็น reference หลักในการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่สามพี่น้องเจอในชีวิตตามลำดับของการ binge watch ซี่รี่ย์ไปเรื่อย ๆ หากผู้ฟังที่ไม่คุ้นกับตัวละครต่าง ๆ ในซีรี่ย์ชุดนี้ (หรือแม้แต่ Steve Carell) ก็คงจะงงตึ้บไปกับการ drop name ต่าง ๆ ผู้ฟังจะได้สัมผัสถึงการเจริญเติบโตของตัวศิลปิน บวกกับการที่พวกเขาทำการเปรียบเทียบตัวพวกเขาเป็นตัวละครในซีรี่ย์และทิ้งข้อคิดให้กับผู้ฟังว่า "But who I am is in these episodes / So don't you tell me that it's just a show" เพราะเวลาพวกเราดูละครหรือหนัง ก็มักจะเกิดความอินและเกิดฉุกคิดได้ว่าบางทีชีวิตก็ยิ่งกว่าละคร สำหรับตัวดนตรี เพลงนี้มีจุดเด่นที่ใช้บีทกลองคล้ายกับจังหวะของทหารที่ฟังดูฮึกเหิมดี และมีการเสริมเสียงเครื่องเป่าใน background อีกด้วย
12. Bud Like You
"Way up, way up
Way up to the moon
Boy it's good to know I got a bud like you"
อีกหนึ่งเพลงใน The Click ที่มีการเล่นคำสองแง่สองง่าม 'bud' คือคำเอาไว้ใช้เรียกเพื่อนและในขณะเดียวกันก็ยังใช้เป็นแสลงของกัญชาอีกด้วย ซึ่งใน "Bud Like You" (ที่จัดว่าเป็นเพลงที่มีเนื้อหาบวกที่สุด) ก็็ได้พูดถึงความสุขของการได้ใช้ชีวิตร่วมกับเหล่าผองเพื่อน ("Would you come and pick me up? / I could really use a bud like you") และการใช้ยาเสพติด ("Way up to the sky / When everybody here is sneaking in and getting high") และถ้าหากลองฟังมาถึงเพลงนี้ ผู้ฟังจะพบว่าดนตรีของเพลงใน The Click จะมีความคล้ายกันเกือบทุกเพลง แต่ความเหมือนนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเบื่อแต่อย่างใด เพราะอย่างเพลงนี้ก็จะมีเอกลักษณ์ในเรื่องของการใช้ acoustic guitar เข้ามาสร้างมิติในเพลง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in