เจสซีไม่เคยมีปัญหากับใบหน้าไร้อารมณ์ ราบเรียบและไร้รสชาติที่ไม่มีใครนึกอยากเข้าใกล้ของผม เขาคงประหลาด หรือไม่ผมเองก็ประหลาดยิ่งกว่าที่ยอมใช้เวลาของรอยต่อระหว่างรอต้นฉบับพร้อมสรรพกับการนั่งหน้ากระจกเพื่อยกยิ้มมุมปาก ทั้งที่มันประหลาด ผมมีปัญหากับใบหน้าไร้อารมณ์ของตัวเองมากกว่าที่คาดไว้แต่แรกทันทีที่มีความหวังว่าจะหายในสักวันหนึ่ง
นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขาอาจกลัวผมท้อใจกับการทำกายภาพเฉพาะส่วน จึงจับจูงมาที่ Sweven C. ของเขาเพื่อแนะนำให้รู้จักกับใครบางคน เขาว่าไม่ใช่จิตแพทย์ ผมจึงยอมนั่งรอ มองดูเขาฉวัดเฉวียนกับการสีไวโอลินให้ใครก็ตามที่มีบุญหนักมากพอจะฟังนักดนตรีแห่งยุคเล่นไวโอลิน เจสซีว่าว่าตนเองเมื่อสามสิบปีก่อนที่แล้วโด่งดังมากทีเดียว ผมไม่เชื่อ จวบจนกระทั่งเขาลากใครคนหนึ่งลงมาจากชั้นสองของร้านเพื่อยืนยันว่าเขาพูดจริง ทั้งที่ผมไม่ทันเอ่ยว่าไม่เชื่อออกมาแม้แต่ครึ่งคำ
"ดรักส์เป็นจอมเวทย์ เขาช่วยคุณได้ด้วยการให้เห็นว่าคุณยิ้มได้ แม้จะท่ามากไปหน่อย" เขาแนะนำ จรดปลายนิ้วกับริมฝีปากบางสวย "แต่อย่าบอกใครเชียวล่ะ"
"ไม่มีใครเชื่อผมอยู่แล้ว"
"คิดถูกแล้วมนุษย์"
"คุณเล็กมีชื่อ"
"ครับ คุณเล็ก"
ดรักส์ ผู้เป็นหุ้นส่วนของเขาตัวสูงมากโข สูสีพอๆ กับเจสซี นอกจากใบหน้าที่ติดเฉื่อยชาแล้วยังมีทรงผมไถข้างสีเทาฟ้าหม่น มัดครึ่งหัวที่ดูดีเสียจนใครบางคนเทียบไม่ติด ถ้าเพียงแต่ ผมจะมองคนที่หน้าตาแต่แรก ทั้งดวงตาของเขาก็ยังเป็นสีอำพัน ขีดครึ่งเสี้ยวด้วยสีเข้มราวกับกับเพชรตาแมวเมื่อร่ายมนต์ด้วยทวงท่ามากสิ่ง อย่างที่เจสซีเคยเอ่ย มุมปากของผมขยับขึ้นละเล็กน้อย แม้ปวดตึง กระทั่งทุกอย่างแล้วเสร็จ ดรักส์จึงลากปลายนิ้วผ่านแก้วนมสดคาราเมลให้กลายเป็นกระจกบานใสเพื่อเพ่งมอง
ริมฝีปากของผมกำลังยกยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ และกว้างมากกว่านั้นพอๆ กับความหวังของผมเมื่อหันไปหาเจสซีที่นั่งเท้าคางมองอยู่ เขาสะดุ้ง ในทันทีที่เสียงหัวเราะของดรักส์ดังขึ้น ใบหน้าของเจสซีถูกแต้มด้วยสีชมพูเพราะอะไรบางอย่าง
"เหมือนจะมีใครบางคนตั้งรับไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของคุณนะ"
"เปล่าเสียหน่อย" แวมไพร์หนุ่มส่ายหัวพัลวัน ยกมือปิดมุมปากถึงจมูกโด่ง พูดด้วยเสียงอู้อี้ "นี่ไม่ใช่คุณเล็กหรอกน่า"
"แต่ก็เป็นรอยยิ้มคุณเล็ก เมื่อเขายิ้มได้ในสักวัน หรือแกจะเถียงก็ตามใจ" ดรักส์เอ่ย แสยะยิ้มมุมปากตอนที่ประสานมือใต้คาง จ้องหน้าเจสซีด้วยดวงตาของแมว "แต่ช่วยซ่อนแก้มแดงๆ นั่นทีเถอะ อย่างกับลูกลิง น่าอายเป็นบ้าไอ้ตัวเหลือบไร"
ราวกับโทสะของเจสซีถูกยั๊วด้วยคำว่าตัวเหลือบไร เจสซีกัดฟันกรอดจนได้ยินเสียงครึ่ก เริ่มต้นสงครามที่มีผมอยู่หว่างกลางโดยไม่สนสิ่งใด ไม่แม้แต่ละอองสีฟ้าที่อยู่บนมือของหุ้นส่วนเหนือธรรมชาติ ผมนึกกลัวว่ามันจะเป็นเวทย์มนต์อันตรายเหมือนหนังแฟนซีที่เคยดู เมื่อประกอบกับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของดรักส์
"ด้วยปากอย่างนี้ ฉันล่ะสงสัยจริงว่าแกอยู่รอดมาเป็นศตวรรษได้ยังไง ไอ้เฒ่าหัวจุก"
"อยากพิสูจน์ด้วยคาถาใหม่ของฉันหรือเปล่าล่ะ ไอ้แวมไพร์เขี้ยวกุด"
"กุดยังไงก็ทำคอแกเหวอะได้เหมือนกัน จอมเวทย์ปัญญาอ่อน"
"เพื่อให้แกดิ้นชักแหง็กอยู่บนพื้นเพราะแพ้เลือดฉัน มาสิ เข้ามา แวมไพร์สมองนิ่ม"
ต่อเมื่อมีพนักงานสาวเรียกดรักส์ เขาจึงยุติสงครามกับแวมไพร์หนุ่มไว้ หันมาจดจ้องผมนิ่งๆ พึมพำภาษาละตินบางอย่าง ดีดนิ้วเพียงครั้ง ใบหน้าของผมจึงกลับมาเป็นปกติดังเดิมก่อนจอมเวทย์จะผละจากไปจัดการกับสินค้าของร้านต่อ ผมเมื่อยแก้มเสียจนบีบนวดย้ำซ้ำ เจสซีสังเกตเห็นถึงอาสานวดให้ ใบหูของเขายังคงแดงก่ำ เมื่อผมเอื้อมมือไปหาเพื่อต้องการวัดอุณหภูมิ เอ่ยถามว่าเขาอาจเป็นไข้ อีกฝ่ายถึงกับดีดกายถอยหนี เบือนหน้าและพึมพำคำบางคำ โดยที่ใบหูยังเป็นสีแดง
ดรักส์อาจจะรู้ก็ได้ว่าคุณเป็นอะไร ผมงึมงำ ตั้งใจจะลุกไปตามจอมเวทย์ที่หายไปหลังร้านกว่าสองชั่วยาม ถ้าท่อนแขนจะไม่ถูกฉุดกลับมาที่เดิมด้วยฝีมือของแวมไพร์หนุ่มเสียก่อน
"เขามักจะพูดว่าตัวเองมีสเน่ห์กว่า เพราะประสบการณ์หลายร้อยปี ติ๊ต่างว่าตัวเองรุ่นใหญ่ สุดเก๋าจนสาวหนุ่มเหลียวหน้ามองหลังจนหมอนรองกระดูกเคล็ด"
"ดรักส์มีเสน่ห์" ผมผงกหัวอย่างเห็นด้วย แต่กลับได้ยินเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจ นึกสงสัยว่าเขาเป็นอะไรไปพอๆ กับท่อนแขนที่เขาไม่ยอมปล่อยออก กระทั่งผมจ้องมองจึงสะบัดหนีพร้อมกับบางอย่างที่บีบรัดหัวใจเท่ากำปั้นของผม
"คุณเล็กชอบอย่างนั้นหรือเปล่า"
"...ไลฟ์สไตล์ของดรักส์ฉูดฉาดเกินไปสำหรับผม"
"ผมดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ" เขาพึมพำ อีกครั้งที่ใบหูแต้มสีแดงอย่างประหลาด "ไม่ว่าคุณเล็กจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"
ผมโคลงหัว จรดแก้วนมสดคาราเมลลงสู่ลำคอ จรดคำพูดที่ต่อให้ตายไปร้อยปีก็ไม่มีวันเอ่ยให้เขาหรือใครได้ยินนอกจากตัวเอง
ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็น่ารักได้ไม่เท่ารุ่นเขา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in