เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นายอ่านอะไรsunnyside1909
จะขอรับผิดทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
  • รีวิวเรื่องสั้นยอดเยี่ยมนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปี 2558 

    ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาร์คอะวอร์ดแล้วนะ


    จะขอรับผิดทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

    จิดานันด์ เหลืองเพียรสมุทร

    หากมีสิ่งเดียวที่เขาจะกล่าวโทาได้ เขาจะกล่าวโทษความเหน็บหนาว

    เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นของ จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุทร ซีไรต์คนล่าสุดที่ชนะไปกับ สิงโตนอกคอก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นของเธอที่ชนะนายอินทร์อวอร์ดที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาร์คอวอร์ดและเพิ่มความแมสให้มากขึ้น
    อ้อ ไม่เห็นด้วยกับการเล่าเรื่องในคำประกาศเลยสักนิดนะ
    เรื่องนี้เป็นเป็นเรื่องของชาวเมืองที่กำลังจะอดตาย ในเมืองมีเพียงม้าศึกตัวสุดท้าย หนังสือที่มีค่าควรเมืองในห้องสมุด เจ้าเมืองผู้เที่ยงธรรมและสมกับเป็นเจ้าเมืองที่สุด มอเดร็ด และชาวเมือง

    เนื้อเรื่องนำเสนอได้อย่างมีจังหวะจะโคนที่ดี ภาษาระดับนิยายแปล (บางคนอาจจะไม่ชอบหรือคิดว่ามันดัดจริตก็ได้ แต่ส่วนตัวเราชอบ)

    ประเด็นที่นำเสนอไม่ได้ใหม่ แต่ก็อ่านสนุกและมีเสน่ห์ของความเป็นเรื่องสั้นมากๆ คือสามารถขมวดปมได้อย่างลงตัวภายในจำนวนหน้าเท่านี้ ไม่เยิ่นเย้อเกินไป จังหวะจบก็ดีมาก

    ถึงจะบอกว่าประเด็นที่นำเสนอไม่ใหม่ แต่เราก็ชอบนะ ชาวเมืองที่กำลังจะอดตายและหนาวตาย ทุกอย่างที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ นำมาใช้หมดแล้ว เหลือเพียงหนังสือหายากในห้องสมุดเท่านั้น ไม่มีใครอยากจะยอมตายเพื่อรักษากระดาษเอาไว้ แต่พวกเขาเพียงรอให้เจ้าเมืองเป็นคนพูดออกมาเพราะไม่มีใครอยากจะเป็นคนบาปคนนั้น ชาวเมืองทำท่าอิดออดไม่อยากเผาทั้งที่ใจจริงรอแทบไม่ไหว

    ม้าศึกตัวสุดท้ายถูกนำมาแบ่งกันเป็นอาหาร ศพของครอบครัวที่ตายไม่เคยถูกฝัง มอเดร็ดรู้ว่ามีคนกินศพของครอบครัวตนเอง

    เมื่อฤดูหนาวผ่านไป เวลาผ่านไป มอเดร็ดถูกชาวเมืองโทษว่าเขาเป็นคนบาปผู้เผาหนังสือ เรื่องทั้งหมดในฤดูหนาวนั้นถูกกลบใต้พรม

    "สังคมต้องการโทษใครสักคนเพื่อนเอ๋ย แกกำลังจะกลายเป็นเหยื่อของพวกเรา แกเป็นคนเดียวที่ยังไม่เคยกินศพ ทุกคนรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ และความผิดบาปในใจจะทำให้เขาโกรธแกที่ยังไม่ทำ แกจะกลายเป็นคนนอก"



    พรุ่งนี้จะไปทะเล

    นฤพนธ์ สุดสวาท

    เซตติ้งประเทศไทย ในโลกอนาคตที่จริงๆดูน่าจะห่างจากเราไปแค่รุ่นเดียวหรืออย่างมากก็สองรุ่น เพราะยังมีเรือตกหมึกหรืออะไรทำนองนี้อยู่แล้ว แต่เพียงแค่เวลารุ่นเดียว เทคโนโลยีข้ามไปไกลมากจนตามไม่ทัน คิดว่านี่อาจจะสามารถเปรียบเทียบกับชีวิตในตอนนี้ของคนอายุเยอะที่ไม่ตามเทคโนโลยีได้เหมือนกัน

    ลูกหลานพูดคนละภาษากับพวกเขา และชายในเรื่องนี้ก็แค่ต้องการไปทะเล และต้องการใครสักคนที่ยังพูดกับเขาด้วยปาก

    การไปทะเลในเรื่องเป็นเรื่องยากมาก บางแสนกลายเป็นทริปสุดแพงที่ต้องเก็บหอมรอมริบทั้งชีวิต

    มารดาที่กลายเป็นคนทรงนางอัปสร

    ตัวเขาที่ไม่สามารถสื่อสารกับครอบครัว

    หมอที่ิคิดถึงคนรักที่หายไปที่ทะเล

    เรื่องนี้เราคิดว่าต้องตั้งใจอ่านพอสมควร แต่ต่อให้อ่านผ่านๆก็จะยังจับอะไรได้อยู่ การตัดฉากงงนิดหน่อย แต่คิดว่าคงเป็นที่เราเองเพราะอ่านไม่ต่อเนื่องกัน พลอตและสิ่งที่ใส่เข้ามาน่าสนใจมาก เพราะมันดูไม่เข้ากันอยู่หน่อยๆ

    "รอยจูบที่ปรากฏบนผ้าเช็ดหน้าถึงสาวกครั้งต่อไปอาจะเป็นสีดำ ลงชื่อ ชัยวรมันที่ ๗"


    ชีวิต ๑๐๐ หน้าของเด็กชายผู้ฝันเห็นพระพุทธเจ้า

    หมุด สุดไผท

    อ่านมาสามเรื่องประทับใจเรื่องนี้ที่สุด พลอตไม่ใหม่เลย เป็นพลอตของสามีภรรยาติดเอชไอวี สามีคลั่งเซกซ์ที่พาโรคเอดส์กระจายไปทั่วเหมือนแจกใบปลิวแถมทิชชู่ และภรรยาช่างปั้น

    โดยส่วนตัวไม่ชอบอ่านเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรค โดยเฉพาะเอดส์ เหมือนเป็นโรคจากการทำงาน นอกเวลางานไม่ต้องการได้ยินใครพูดถึงโรคทั้งนั้น หรือเสพสื่อที่เกี่ยวข้อง

    แต่ว่าเรื่องนี้ชอบมากค่ะ

    ภาษาที่คนเขียนใช้เป็นภาษาที่เราชอบมาก มันมีทั้งความดิบ ความชวนให้ชะงักงัน แต่ยังใช้ภาษาบรรยายแบบอิโรติกที่จังหวะไม่ผ่อนเลยแต่ก็มีความลุ้นระทึกอยู่ด้วย ทั้งที่การกระทำของตัวเอกนั้นชวนให้ต่อยเข้าสักหลายๆหมัด

    ฉากที่ชอบสุดคือ ฉากของน้ำ ปกติเป็นคนชอบการบรรยายถึงขาอยู่แล้วในเรื่องแบบนี้ ขา เท้า นิ้วเท้า อะไรพวกนี้ พอมาถึงเรื่องนี้รู้สึกว่าคนเขียนเต็มที่มาก ใส่มาเต็มแมกซ์

    มาฉากสุดท้ายกับบัว คิดว่าคนอ่านน่าจะเดาได้ก่อนต้นซะอีก ว่าบัวคือใคร

    ต้นบอกว่ารู้สึกผิดเกินทนไหว เขาทำลายชีวิตของตนและคนรักพังยับเยิน ต้นไม่ได้พูดถึงมารีเลยสักคำ และต้นยังเคยถามปลายว่า "ทำไมปลายใช้ชีวิตประมาทแบบนั้น"

    แหม ถ้าเข้าไปในหนังสือได้ อยากจะลากต้นมาตบเลยนะ

    น้ำตาของหนึ่งชีวิตเท่ากับหนึ่งมหาสมุทร




    ทีวี

    ดอม

    ไม่เข้าใจ

    มันสั้นมาก ไม่รู้ว่ามันจงใจให้คิดเอาเองเหรอ หรือว่ายังไง ไม่เข้าใจว่าคนเขียนอยากจะสื่อว่าอะไร หรือแค่จะสื่อว่ามีสิ่งลี้ลับเท่านั้น หรือยังไง หรือบางทีเราและคนเขียนอาจจะอยู่บนคนละคลื่นความถี่ดูทีวีกันละช่องละมั้ง




    ราชันย์ไม่ไปไหน

    หทัยสินธุ สินธุหทัย

    นามปากกาจำง่ายมากเลย

    เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่สั้นมากแต่เราค่อนข้างชอบ บรรยากาศของต่างจังหวัด หมู่บ้านเล็กๆ และราชันย์

    เด็กผู้ชายที่เติบโตเป็นเด็กหนุ่มและที่สุดแล้วเป็นชายหนุ่ม แต่ราชันย์ยังเป็นราชันย์ ราชันย์อาจจะเป็นคนที่ไม่เคยไปไหน ไม่เคยเปลี่ยนไปที่สุด

    กับชายอีกคนหนึ่งที่เติบโตมากับราชันย์ เขากลับมาจากอเมริกา มาหาราชันย์ที่ยังเหมือนเดิม

    "ราชันย์เมาแล้ว มันมารอลูกตั้งแต่เที่ยง"
    "ให้กลับบ้านก็ไม่กลับ มันจะรอมึง"
    ราชันย์ใส่เสื้อที่ผมเคยให้
    "ทำไมไม่อยู่ที่นี่เสีย ไปไกลทำไมให้เสียเวลา"
    (แม่งงนี่มันโบรแมนซ์)




    ลืมตาตื่นอีกครั้ง...ในเวลาอันสมควร

    ปองวุฒิ

    ปองวุฒิเป็นนักเขียนคนเดียวในนี้ที่เราเคยรู้จักผ่านๆ แต่ว่าไม่เคยอ่านงานของคนเขียนแบบจริงจังสักที แต่ก็แอบเชียร์อยู่ตลอดนะ

    พอมาอ่านจริงๆเราคิดว่ามันมีบางช่วงของบทสนทนาที่มันดูไม่จริง คือใช่ บทสนทนามันคือคำโกหกแหละ แต่มันดูไม่ธรรมชาติเลย แทบไม่มีใครในชีวิตจริงพูดโดยใช้รูปประโยคแบบนี้ในสถานการณ์แบบนี้ มันเหมือนหลุดมาจากหนังสือสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต หรือบทพูดในหนังสือภาษาไทยอ่ะ ตรงช่วงที่แม่ถามถึงการเรียนของลูกและอีกหลายๆตอน

    ไม่รู้ว่าเรื่องอื่นเป็นยังไง แต่ถ้าจากเรื่องนี้เราไม่ชอบจังหวะการสนทนาของเรื่องนี้ คือถ้ามันเป็นภาพยนตร์มันก็คงแข็งมาก

    แต่นอกจากช่วงพาร์ทสนทนาเราก็ไม่ได้ติดใจที่อื่นแล้ว พลอตก็โอเค มีความหักนิดๆแบบที่ชวนให้นึกถึงวินทร์ในประเทศผีสิง

    "ผมเองก็เรียนตั้งแต่เช้าจรดเย็นเหมือนกัน วันนี้ผมเสนอครูไปด้วยว่าใกล้ถึงช่วงสอบ น่าจะจัดชั่วโมงติวพิเศษให้เพื่อนที่ยังอ่อนอยู่ ในฐานะหัวหน้าห้องผมต้องช่วยครูติวด้วยครับ"
    (หรือคิดไปเองว่ามันดูแข็ง 5555 หรือคนเขียนอาจจะจงใจแข็งๆเพื่อแสดงถึงครอบครัวแบบนี้ก็ได้มั้ง)


    บนแผ่นหลังของเธอ

    มีเกียรติ แซ่จิว

    เป็นเรื่องที่เหมาะแก่การทำหนังที่สุดเรื่องหนึ่งในเล่มนี้ เรื่องมันค่อนข้าง surreal ในบางจังหวะ แต่โดยรวมแล้วชอบมาก ทั้งจังหวะ ทั้งพลอต

    "ผมร่ำไห้ลำพังให้แก่ผีเสื้อกลางคืนที่ผมเพิ่งบดขยี้"


    โศกนาฏกรรมอันซ้ำซ้อน

    กฤติศิลป์ ศักดิ์ศิริ

    วิธีการใช้คำเหมือนนักเขียนรุ่นเก่า โดยเฉพาะตอนที่เล่าเรื่องศรให้เพื่อนพยาบาลฟัง มีประโยคว่า หากเทียบกับสิบมือสิบเท้าที่กระหน่ำลงมาราวกับห่าฝนอยู่ในบทสนทนาด้วย วิธีการพูดบทสนทนาของตัวละครเหมือนบทบรรยายมากยังไงดี มันก็เป็นแนวสะท้อนสังคม แบบปัญหาข่มขืนเด็ก แค่รู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ มันให้อารมณ์เหมือนละครไทยที่ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อสะท้อนสังคมโดยเฉพาะ แต่ก็คงเหมาะกับแนวรางวัลแล้ว

    "เธอจะบอกว่าเกรียงไกรเสพยาบ้าอย่างนั้นหรือ"


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in