เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จดหมายจากลาดัคห์ปลายฝัน พันดาว
Day7: ทิ้งหัวใจไว้ในลาดัคห์ Good bye Love in Ladakh
  • 25 กรกฎาคม พ.ศ.2559

    ปลายฝันที่รัก

    วันนี้ตื่นมาอย่างเศร้าๆ นี่เราจะต้องจากลาดัคห์ไปแล้วหรือ เวลา 5 วันในลาดัคห์ช่างสั้นเสียเหลือเกิน แม้ว่าฉันจะพลาดไม่ได้ไปเยี่ยมชมแปงกองสมดังที่ตั้งใจ แต่ลาดัคห์สร้างความประทับใจและสอนอะไรหลายอย่างให้ฉันได้เรียนรู้ ประการแรก ร่างกายคนเรามีขีดจำกัด พึงมีสติตั้งอยู่ในความไม่ประมาทไว้เสมอ อย่าได้ทนงหลงลืมตน อาจมีวันหนึ่งที่ร่างกายของเราเสื่อมสลายไม่สามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างใจต้องการ ประการต่อมา ความงามตามธรรมชาติที่แตกต่างมีเอกลักษณ์ของประเทศตามแนวหิมาลายาคงตราตรึงในความทรงจำและอัลบั้มของฉันอีกนาน และประการสุดท้ายวัฒนธรรมศาสนาพุทธแนวธิเบตที่ฝังรากลึกในดินแดนแถบนี้ มีส่วนทำให้ผู้คนที่นี่จิตใจดี เอื้อเฟื้อเอื้ออาทร ช่วยเหลือ คนดีๆเหล่านี้เป็นเสน่ห์อีกประการของดินแดนแห่งนี้

    6 โมงเช้า ริ๊กซินมารับตามสัญญา ทุกคนวุ่นวายกับการขนของขึ้นรถ สุดท้ายเมื่อพวกเรานั่งประจำที่บนรถ เพิ่งสังเกตุเห็นว่า ตรงเบาะหลังที่เคยเป็นที่เก็บของถูกจัดให้เป็นที่นั่ง พวกเราเริ่มคุยกันว่า อ้าวใครจะมานั่งกับเรานี่ ยังไม่ทันขาดคำริ๊กซินนั่นเองผลุบขึ้นมาจากกะบะท้ายรถ พร้อมยิ้มยิงฟันขาวเห็นหมดทุกซี่ ตัดกับใบหน้าคล้ำแดด ตลอดทางริ๊กซินเล่าให้ฟังถึงงานต่อไปซึ่งจะต้องออกไปในไม่กี่ชมข้างหน้า เขาต้องนำกลุ่มนักท่องเที่ยวไปปีนเขา งานของเขาคงแน่นไปตลอดจนถึงเดือนตุลาคมซึ่งย่างเข้าหน้าหนาว หลังจากนั้นพวกเขาคงต้องลงใต้ไปทำงานที่เดลีซึ่งเขาไม่ชอบนัก ริ๊กซินเล่าด้วยความยินดีว่า จริงๆแล้ววันนี้เององค์ดาไลลามะเสด็จมาเยือนเลห์ เขาหวังว่าเขาคงหาเวลาได้สักช่วงหนึ่งมานมัสการท่าน

    ในความรู้สึกของฉัน เส้นทางระหว่างโรงแรมและสนามบินช่างสั้นเสียเหลือเกิน สั้นกว่าตอนที่เรามาถึงลาดัคห์เสียอีก เมื่อถึงสนามบิน ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นอีกครั้ง จากภารกิจตามหากระเป๋าตัวเองแล้วลากไปเข้าแถวเรียงรายเข้าไปภายในสนามบิน ริ๊กซินเข้าไปไม่ได้ ได้แต่ยืนรวมกลุ่มกับคนอื่นตรงทางเข้า เมื่อฉันอยู่ในแถวหันกลับมามองอีกครั้ง ริ๊กซินโบกมือให้ฉันจนลับสายตา ฉันรู้สึกใจหาย ราวกับอยู่ๆใจหล่นวูบไปยังตาตุ่ม เส้นทางเราคงเหมือนวงโคจรของดาวหางสองวงที่คู่ขนาน นานๆจะวนมาเจอกันสักครั้งหนึ่ง ไม่มีคำร่ำลา วันหนึ่งเราคงได้เจอกันอีกนะ ริ๊กซิน

    ขากลับไปเดลี เจ้าหน้าที่สนามบินยอมให้เช็คอินเป็นกลุ่มได้ จึงไม่มีปัญหาน้ำหนักเกินอีก เหลือแต่ช่วงพิธีการศุลกากรที่ต้องเสียเวลาตรวจค้นร่างกาย และเอกซเรย์กระเป๋าถือเป็นรายคน เครื่องบินออกจากสนามเลห์ สนามบินที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งรายล้อมด้วยเทือกเขาหิมาลัย.   
     
     วิวข้างหน้าต่างที่ส่องลงเห็นเทือกเขาหิมาลัยทอดยาวที่เคยสวยตอนขามากลับไร้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูด ณ ยามนี้ ฉันรู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของฉันหายไป คงทิ้งไว้ที่ลาดัคห์เสียแล้ว ได้แต่นั่งคุยไปเงียบกับนุ่มนิ่มและเพื่อนร่วมทางอีกท่านหนึ่งจนถึงนิวเดลี

    ณ สนามบินนิวเดลี พ่อหนุ่มอินเดียคนเดิมมารับพวกเราขึ้นรถบัสคันใหญ่ โชคดีที่ติดแอร์ เพราะทั้งอากาศและผู้คนที่นี่ต่างกับลาดัคห์โดยสิ้นเชิง สถานที่แรกที่เราไปเยี่ยมมีนามว่า อุตุมีนา (Qutb Minar Complex) ซึ่งคล้ายๆอยุธยาของเราที่เป็นเมืองเก่าถูกทำลาย ส่วนใหญ่เป็นอนุสาวรีย์และสุสาน สร้างด้วยสถาปัตยกรรมมุสลิมโดยสุลต่านแห่งเมรอลี (Mehrauli) ราชวงศ์โกริด (Ghorid Dynasty) ที่เด่นสุดคือหอคอยสูงสำหรับเรียกคนมาสวดมนต์ (minaret) สร้างด้วยอิฐสูงถึง 72 เมตร ที่นี่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO World Heritage site) ด้วย ว่ากันว่าที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจจากหอที่อัฟกานิสาถานตะวันตก ( Minaret of Jam – South western Afghanistan) ซึ่งสลักด้วยลวดลายละเอียดสวยงามเป็นมรดกโลกจริงๆ
     

    อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจคือเวลาเปิด-ปิดทำการของที่นีค่ะ เข้าได้ตลอดตั้งพระอาทิตย์ขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตกง่ายๆและชัดเจนดี
     

    ประมาณเที่ยงพวกเราถูกพาไปรับประทานอาหารที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง อาหารจัดเป็นบุฟเฟท์อาหารจีนผสมอินเดียคล้ายวันแรกที่มา

    รายการถัดไปของวันนี้ คือ สุสานของท่านฮุมายุน (Humayun’s tomb) มรดกโลกของยูเนสโกอีกแห่งหนึ่ง (UNESCO World heritage site) เป็นสุสานของจักรพรรดิราชวงศ์โมกุลนามว่าฮุมายุน สร้างขึ้นในปี 1533 โดยใช้หินทรายสีแดง
     

    จากนั้นเป็นรายการช้อปปิ้งค่ะ พวกเราถูกนำมาปล่อยที่ตลาดจันพัทธ์ (Janpath market) เป็นร้านค้าประเภทห้องแถวเรียงรายอยู่ถนนเรเดียลที่ 1 (Radial road) ส่วนใหญ่เป็นร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ หัตถกรรมและของชำร่วย มีทั้งร้านที่ขายสินค้ามีดีไซน์ซึ่งราคาแพงหน่อย และร้านประเภทย่อมเยาว์ลงมาต่อราคาได้ ชื่อจันพัทธ์จริงๆหมายถึงเส้นทางของมวลชน (People’s path) ซึ่งก็สมชื่อจริงๆ เพราะเต็มไปด้วยมวลชนชาวอินเดียประเภทหาบเร่ถือของด้วยสองมือกรูกันเข้ามาห้อมล้อมทันทีที่เห็นนักท่องเที่ยว ส่วนราคานะเหรอ ลดลงได้เร็วกว่าตลาดหุ้นตอนตกใจเสียอีก นอกจากนี้มวลชนประเภทไม่มีของ แต่มาขอให้ทำทานคว้ามือไม้เป็นรวิงก็มี ก็ถือว่าเขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ต้องทำใจ และหลบหลีกกันไป

    เสียในฝูงมวลชนเสียเยอะ โชคดีที่อาหารเย็นจัดเป็นอาหารไทยในร้านฝีมือแม่ครัวไทย มีทั้งกระเพราหมู ไข่เจียว ปลาทอด ปลาทอดสามรส ซุปเกาเหลาลูกชิ้น ต่อด้วยทับทิมกรอบและโรตี อร่อยจนลืมคนที่ลาดัคห์ไปได้ชั่วขณะ

    หลังอาหารท่ามกลางการจราจรที่อุ่นหนาฝาครั่ง พวกเราใช้เวลาชั่วโมงกว่าจึงถึงโรงแรมซึ่งเป็นโรงแรมระดับห้าดาวดูดีทีเดียวแห่งเดียวกับที่พักเมื่อวันแรกที่เหยียบประเทศอินเดีย  

    ขณะนั่งรถรู้สึกตาแทบปิด ตามประสาท้องอิ่ม หนังตาหลับ

    แต่เมื่อก้าวเข้าห้องกลับรู้สึกไม่ง่วงขึ้นมาเสียนี่

    จาก คนนอนห้องหรู แต่ไม่หลับ



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in