เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จดหมายจากลาดัคห์ปลายฝัน พันดาว
Day 6: วันสบายในลาดัคห์ nice day in Ladakh
  •   24 กรกฎาคม พ.ศ.2559

    ปลายฝันที่รัก

    วันนี้ ดูเหมือนเป็นวันสบายๆสำหรับทุกคน พวกเราตื่นสายหน่อย มีเวลารับประทานอาหารเป็นเรื่องเป็นราว แล้วจึงเริ่มออกเดินทาง

    วันนี้พวกเราจะไปเที่ยวเมืองอูเล(Ule) ซึ่งอยู่ห่างจากเลห์เป็นระยะทาง 70 กิโลเมตร และ เมืองลามายูรู (Lamayura)ซึ่งอยู่ห่างจากเลห์เป็นระยะทาง 125 กิโลเมตร แม้จะอยู่ค่อนข้างไกล แต่เส้นทางเป็นทางราบอาศัยเส้นทางจากเลห์ไปสู่เมืองศรีนาคา ออกจากตัวเมืองมาได้ระยะหนึ่ง โซนัม ขอแวะเติมน้ำมันรถ (อือ ขับมาได้ตั้งหลายวันไม่เคยเติมเลยนะ) สิ่งที่ประทับใจฉันมาก คือ เครื่องดับเพลิงในปั๊มน้ำมันซึ่งก็คือถังทรายนั่นเอง ถังสีแดงแขวนให้เห็นเด่นชัดว่า FIRE  
       

    ตลอดหลายวันมานี้ อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราชอบ และเล่นแข่งกันถ่ายภาพป้ายเตือนสตินักซิ่งระหว่างทาง อย่างเช่น

    Enjoy the beauty of nature ขับช้าๆชื่นชมธรรมชาติไป

    We care for you, drive slow เราเป็นห่วงคุณนะ ขับช้าๆเถอะ

    Expert expect the ununexpected นักขับมือเก๋าระมัดระวังกับสิ่งที่ไม่คาดฝันเสมอ

    East or West, save driving is the best ไม่ว่าคุณมาจากไหน ขับปลอดภัยดีที่สุด

    Don’t be Gama in the land of Lama เอ้อ… อันนี้จะแปลอย่างไรดีหล่ะ

    ไม่นานพวกเรามาถึงจุดสำคัญสำหรับถ่ายภาพอีกแล้ว ระหว่างทางจากเลห์ถึงคาร์กิล เมืองสำคัญเมืองหนึ่ง ระหว่างทางไปศรีนาคา เป็นจุดที่แม่น้ำสองเส้นสำคัญของอินเดียมาบรรจบกัน คือแม่น้ำสินธุ (Indus) และ แม่น้ำซันสการ์ (Zanskar) ซึ่งแม่น้ำทั้งสองมีสีที่ต่างกันจึงบังเกิดเป็นแม่น้ำสองสีไหลไปคู่กันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่แปลกไปอีกอย่างหนึ่ง
     

    และแล้วพวกเราก็มาถึงวัดอัลชิ (Alchi Monastry) เป็นวัดที่แตกต่างจากวัดอื่นๆที่เราเคยเยี่ยมชมมา คือเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแคชเมียร์เป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก ผสมระหว่างทางอินเดียฮินดูและศาสนาพุทธ ในขณะที่วัดอื่นๆสร้างในสไตล์ธิเบต วัดนี้เก่าแก่มากสร้างมาตั้งแต่ค.ศ. 958 และถูกบูรณะอีกครั้งในศตวรรษที่ 11 ไม่รู้ว่าเพราะคนสมัยก่อนตัวเล็กหรือเพื่อแสดงความเคารพประตูที่นี่เตี้ยมากประมาณบ่าของพวกเราเท่านั้น จึงต้องก้มตัวลอดเพื่อเข้าประตูเสมอ
     

    ถึงช่วงเที่ยง พอดี พวกเราพักทานข้าวที่ร้านข้างทาง แต่ไม่ทานอาหารของเขาหรอกนะ ริ๊กซินเตรียมอาหารกล่องมาให้อีกแล้ว ดูข้างนอก เหมือนเมื่อสองวันก่อน ข้าวผัดในกล่อง กับไก่ทอด แต่พอเปิดกล่องออกมา ไข่ดาวสองฟอง ทอดกายนอนเรียงรายบนข้าวผัด ทุกคนดีใจมาก ไข่ดาวอินเดียกับข้าวผัดถือเป็นอาหารหรูเลยทีเดียว ลืมไก่ทอดไปได้เลย

    วันนี้ริ๊กซินขับรถคันหนึ่งเอง เนื่องจากคนขับไม่ค่อยสบาย รถที่ริ๊กซินขับนำหน้ารถที่ฉันนั่ง ระหว่างทางไปวัดลามายูรู อยู่ๆรถของริ๊กซินก็แวะจอดข้างทาง ซึ่งหญิงชาวเขา 2 คน และเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ แล้วรถของฉันก็แซงหน้าขึ้นไปจนถึงวัดลามายูรู เมื่อรถริ๊กซินตามมาจอดลงข้างจึงได้รู้ว่า เขารับหญิงชาวเขาที่พบข้างทางติดรถมาด้วย โดยเปิดกะบะหลังให้นั่ง ส่วนเด็กหญิงรับให้นั่งข้างในกับพวกเขา นี่คงเป็นวิธีสัญจรของคนในแถบนี้ซึ่งผู้คนยังมีน้ำใจไมตรีต่อกันอย่างมีน้ำใสใจจริง ไม่ต้องคอยระแวงว่าจะไม่ปลอดภัยทั้งเจ้าของรถและคนอาศัยเหมือนเช่นเมืองที่เจริญแล้วทั้งหลาย

    วัดลามายูรู (Lamayuru) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดในลาดัคห์ พระอาศัยประจำวัดอยู่ที่นึถึง 150 รูป ตัววัดตั้งอยู่บนเขาหินทราย แวดล้อมด้วยเนินหินทรายตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวโลกพระจันทร์จึงเรียกพื้นที่แถบนี้ว่า Moon land วัดแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ยุงดรุง ทาปาลิง กอมปา (Yungdrung Tharpaling Gompa) ตามตำนานที่เล่าว่า พระอรหันต์รูปหนึ่งนามว่าอารฮัท นิมากอน (Arahat Nimagon) เดินทางมาจาริกแสวงบุญแถบนี้ แต่ก่อนพื้นที่แถบนี้เป็นทะเลสาป แต่ท่านนิมากอนเมื่อมาถึงมีนิมิตรว่าจะมีวัดมาเจริญศาสนาอยู่ที่นี่ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานแผ่กุศลโดยการหว่านเมล็ดข้าวโพดให้กับวิญญาญพญานาคที่อยู่ในทะเลสาป ซึ่งต่อมาเมล็ดข้าวโพดได้งอกงามขึ้นเป็นรูปสวัสดิกะ ดังนั้นเมื่อวัดแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในภายหลังจึงได้ชื่อว่า ยุงดรุง ซึ่งแปลว่า สวัสดิกะนั่นเอง
     

    จากวัดลามายูรู พวกเราลงมาเยี่ยมชมวิถีชาวบ้านในแถบนั้น พร้อมทั้งกระจายรายได้ไปสู่ชาวบ้านแถบนั้น ด้วยการซื้อพลัม แอปเปิ้ลทั้งสด แห้ง ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านที่นี่ แถมยังมีถั่วชนิดต่างๆนำมาเสนอ จึงเสียเงินกันไปเบาๆ

    จุดหมายปลายทางถัดไปคือ วัดลิคีร์ (Likir Gompa) วัดแห่งนี้อยู่ห่างจากเลห์เพียง 53 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเนินเขา ดังนั้นถ้าถ่ายภาพจากถนนขึ้นไปเป็นภาพที่สวยมาก วัดแห่งนี้เป็นของนิกายเกลุคปา (Gelugpa)หรือนิกายหมวกเหลือง ซึ่งเป็นนิกายเดียวกับองค์ดาไลลามะแห่งธิเบตนั่นเอง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1065 โดยลามะชื่อ ดูวัง โชเจ (Duwang Chosje) ในรัชสมัยของกษัตริย์องค์ที่ 5 ของลาดัคห์ ต่อมามีการบูรณะใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 18 เนื่องจากถูกไฟไหม้ คำว่าลิคีร์หมายถึงแวดล้อมด้วยงู (The Naga encircled) เชื่อกันว่าวิญญาณงูใหญ่ 2 ตัวปกป้องอยู่ ที่วัดลิคีร์แห่งนี้ นอกจากมีชื่อเสียงในความเก่าแก่ ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ์สูง 75 ฟุต
     
    ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ประมาณ 150 รูป นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นโรงเรียนสงฆ์อีกด้วยโดยสอนเป็น 3 ภาษา (ฮินดู สันสกฤต และอังกฤษ) และถือเป็นที่พำนักขององค์ลามะ นการิ ริมโปเช (Ngari Rinpoche)น้องชายขององค์ดาไลลามะ แม้ว่าจะไม่ได้พำนักอยู่ตลอดเวลา ท่านมักจะมาร่วมงานสำคัญที่นี่เสมอ โดยเฉพาะงานเทศกาลหน้ากากประจำปี

    เนื่องจากถนนเป็นทางเรียบใช้เวลาไม่นานนัก ขบวนรถของพวกเราถึงที่พักเร็วกว่าวันอื่นๆ แต่ด้วยโซนัมขับเรื่อยตามสบายให้ถ่ายรูปเล่นไปตามทาง รถของพวกเราไปถึงคันสุดท้ายอีกแล้ว พอเดินเข้าไปถึงล๊อบบี้ ริ๊กซินกำลังจับมือร่ำลาลูกทัวร์ที่เข้าแถวเรียงรายอยู่ ได้ยินว่าพรุ่งนี้เขาคงมาส่งพวกเราขึ้นเครื่องไม่ได้ เพราะติดงานต้องไปรับอีกกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงคิวของฉัน ริ๊กซินดูเหมือนจะเปลี่ยนใจในทันที

    “พรุ่งนี้ เราเจอกันนะ ผมจะมาส่งคุณขึ้นเครื่อง”

    จาก คนฝันดีอย่างน้อยอีกหนึ่งคืน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in