เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จดหมายจากลาดัคห์ปลายฝัน พันดาว
Day 5: สู่หุบเขาแห่งดอกไม้ Along way to Nubra valley
  •  23 กรกฎาคม พ.ศ.2559

    ปลายฝันที่รัก

    วันนี้ถูกปลุกตีสี่อีกแล้ว คราวนี้เตรียมการดี อาบน้ำตั้งแต่กลางคืน นัดริ๊กซินและพวกให้มารับตั้งแต่ตีห้าท่ามกลางฝนตกพรำๆ คราวนี้อาหารเช้าจัดเป็นอาหารกล่องนำติดตัวใส่รถไป แต่ดูเหมือนไม่มีใครเรียกหา หรือสนใจอยากทาน

    อากาศหนาวมาก ท้องฟ้ายังไม่เปิด นั่งมาประมาณสองชั่วโมงจึงเริ่มเห็นแสงอาทิตย์รำไรเหนือขอบขุนเขา เส้นทางเส้นนี้ต้องผ่านด่านตรวจพาสปอร์ตเช่นเดียวกับทางสู่แปงกอง เราเดินทางไปนูบราวัลเล่ย์โดยผ่านเส้นทางรถยนต์ที่สูงสุดที่สุดในโลก ชื่อ Kradungla Pass (ถ้าค้นหาในกูเกิลอาจพบว่า Kradungla Pass ไม่ใช่เป็นเส้นทางที่สูงที่สุดแต่เป็น Uturuncu ซึ่งอยู่ใน Bolivia แต่ป้าย ณ จุดสูงสุดของ Kradungla Pass ยังคงเขียนว่าเป็นถนนที่สูงที่สุดอยู่)

    สองข้างทางจากเลห์สู่จุดสูงสุดของKradungla Pass เต็มไปด้วยหมอกหนา ถนนช่วงแรกๆเป็นทางตรง ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นทางขึ้นเขาตลอด บางช่วงเหมือนแค่นำหินมาถมๆ ไม่ใช่เส้นทางลาดยาง เส้นทางขรุขระทำเอาพวกเรากระเด้งกระดอนเบียดกันไปมาบนรถ รถเราเริ่มโยกซ้ายป่ายขวาจนนุ่มนิ่มที่นั่งกลางต้องเริ่มขุดเอายาดมขึ้นมา นอกจากโซนัม(ซึ่งเราฝากชีวิตไว้เต็มที่)จะต้องระวังรถสวน ยังต้องคอยขับหลบหินก้อนใหญ่ที่อยู่ๆโผล่ขึ้นมาขวางทาง ในขณะที่อีกฝั่งเป็นริมผาติดเหวลึก หนำซ้ำบางช่วงหิมะเริ่มละลายเป็นน้ำเจิ่งนองให้คอยหลบอีกต่างหาก โชคดีที่คณะเราออกมาเช้ามากจึงไม่ค่อยเจอรถผ่านไปมา ส่วนใหญ่ที่พบเป็นรถบรรทุกที่เพิ่งเริ่มจะออกปฏิบัติการซึ่งมองพวกเราพลางคิดในใจว่า พวกเอ็งจะออกมาเที่ยวอะไรกันเช้าเสียขนาดนี้ รถบรรทุกที่นี่ค่อนข้างใจดี บางครั้งหลบให้รถเล็กไปก่อนถ้าเขาเห็น คนที่นี่ขับรถกันอย่างมีน้ำใจและมีถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

    จนประมาณแปดโมงครึ่ง พวกเราได้มาถึงจุดสูงของเส้นทาง Khardungla Pass ซึ่งเป็นเส้นทางรถยนต์ที่สูงที่สุดในโลก สูงประมาณ 5,602 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เส้นทางเส้นนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เคยใช้เป็นเส้นทางกองคาราวานจากเลห์ไปยังคัชการ์ (Kashgar) ตอนกลางของทวีปเอเชีย อากาศหนาวมาก หิมะตกขาวโพลนไปทุกหนแห่ง เจดีย์เล็กๆตั้งข้างถนนปกคลุมด้วยธงมนตร์จนเกือนมิด สีเขียวเหลืองแดงของธงมนตร์ตัดสีขาวของหิมะสร้างความสวยงามในแบบฉบับที่ไม่ซ้ำใคร

     มุมหนึ่งของถนนเราสามารถเห็นพระอาทิตย์เริ่มไต่ขึ้นจากเทือกเขาคาราโครัม ริ๊กซินเดินเท่ห์ราวกับกัปตันยูซุจินในคราบหนุ่มอินเดียมาบอกว่านี่คือเทือกเขาคาราโครัม ทอดยาวขวางกั้นระหว่างอินเดีย และอีกฟากหนึ่งคือประเทศปากีสถานและประเทศจีน


    จากนั้นโซนัมพาพวกเราไต่ลงมาสู่หุบเขานูบราวัลเลย์ อากาศเริ่มอุ่นขึ้น สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากหิมะล้วน เป็นทิวเขาที่มีหิมะบ้าง ผสมกับหินสีน้ำตาล ค่อยๆไล่ลงมาเรื่อยๆจนทัศนียภาพเริ่มเปลี่ยนไปเป็นภูเขาสีน้ำตาลเรียงรายทอดยาวเป็นเทือก ยอดปกคลุมด้วยก้อนเมฆที่อ้อยอิ่งลงมาคลอเคลีย ตีนเขาทอดยาวด้วยสายน้ำ สวยงามราวกับภาพวาดจนอดไม่ที่ต้องถ่ายรูปกันคนละหลายช็อต.


    ระหว่างทางผ่าน ขุนเขาทับซ้อนเรียงรายสอดแทรกด้วยสายน้ำผ่าตรงกลางงามนัก นี่แหละที่เคยได้ยินคนบางคนกล่าวว่า
    จุดหมายปลายทางอาจมิใช่ที่สุดของความงดงาม รสชาติแห่งการเดินทางและความสวยงามแต่ละย่างก้าวต่างหากคือความงามที่ไม่รู้เลือน


    เมื่อลงมาเรื่อยๆ อีกไม่นานถึงหุบเขานูบราวัลเลย์ ริ๊กซินเล่าให้ฟังว่านูบราหมายถึงดอกไม้ นั่นคือที่นี่เป็นหุบเขาแห่งดอกไม้นั่นเอง อ้าวแล้วทำไมเราไม่เห็นดอกไม้เลยหล่ะ ริ๊กซินตอบอย่างจริงจังและสุภาพว่า ที่นี่ดอกไม้จะบานในช่วงเดือนสิงหาคม แต่อากาศจะร้อนมาก หน้าท่องเที่ยวที่เหมาะสมจะเป็นเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่เรามานี่แหละ อากาศที่เราต้องเผชิญในแต่ละวันช่วงที่ผ่านมีครบทุกฤดู อย่างเช้านี้ตอนออกจากโรงแรม ฝนตก พอขึ้นมาถึง Khardungla Pass ก็เจอหิมะ ณ บัดนี้ในหุบเขา แม้จะมีลมพัดผ่านพอเย็นแต่แดดแรงเสียเหลือเกิน

    ประมาณเก้าโมงครึ่ง ริ๊กซินแวะให้เราเข้าห้องน้ำตรงที่พักข้างทาง ระหว่างที่รอทุกคนจัดการธุระกิจ ริ๊กซินสั่งชาให้ดื่ม ชานมร้อนธรรมดาๆเข้าบรรยากาศจากร้านข้างทาง แต่เสริฟโดยหนุ่มหล่ออย่างริ๊กซินอร่อยกว่าชาในโรงแรมเสียอีก

    จุดแรกที่แวะเที่ยวเป็นวัดอีกแล้ว เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ค่อนข้างสูงต้องเดินขึ้นบันไดเยอะ ผู้สูงวัยจึงรอกันอยู่ข้างล่าง เหลือเพียงรถ 3 คันจาก 5 คันที่ขึ้นไป ทันทีที่ลงจากรถ ฉันเผลอตัวรีบเดินขึ้นบันไดวัด แต่ไม่วายเสียฟอร์ม รู้สึกหน้ามืดจนต้องนั่งลงนิ่งๆสักพักตรงบันไดวัด พวกเพื่อนๆที่เดินนำหยุดชะงัก ยืนคอยอย่างละล้าละลัง สักพักฉันรู้สึกดีขึ้น กลัวเพื่อนจะเป็นห่วงค่อยๆพยุงตัวค่อยๆเดินไป อยู่ที่เราใช้ชีวิตอย่างประมาทไม่ได้ ต้องมีสติรู้ตัวเสมอ ไกลออกไปริกซินที่กำลังนำกลุ่มขึ้นไปมองลงมาอย่างห่วงใย

    วัดที่เราเยี่ยมชมนี้มีนามว่า วัดดิสกิต (Diskit Monastery) เป็นที่ประดิษฐานของพระพระศรีอารยะเมตตรัยองค์ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหุบเขาแห่งนี้ วัดนี้ปกครองโดยพระสงฆ์นิกายเกลุกปา (Gelugpa) หรือนิกายหมวกเหลือง ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกับวัดธิคเซย์ที่ไปเยี่ยมชมเมื่อสองวันก่อน วัดแห่งนี้มีการจัดพิธีเฉลิมฉลองประจำปีเช่นกัน เรียกว่า เทศกาลแห่งแพะรับบาป (Festive of the Scapegoat) จัดในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ ซึ่งหิมะตกหนักยากแก่การสัญจรจึงมีเพียงชาวบ้านในแถบนี้เท่านั้นที่มีโอกาสได้ชม
     จากวัดดิสกิต เราสามารถมองเห็นวิวได้ทั่วหุบเขานูบราวัลเลย์ เจดีย์สีขาวเล็กๆเรียงรายมากมายอยู่ตามริมถนนสะท้อนศรัทธาอันแรงกล้าในพุทธศาสนาของผู้คนแถบนี้


    ริ๊กซินประชดเล็กๆอยู่หลายครั้งว่าพวกเรามาเที่ยวที่นี้ทำอยู่แค่สองอย่าง เยี่ยมชมห้องน้ำทุกที่ กับถ่ายรูปทุกอย่าง ตอนเขาอธิบายประวัติศาสตร์ละก็ทำท่าทางสนใจมาก หลังจากเยี่ยมชมห้องน้ำกันอีกครั้ง พวกเราเคลื่อนทัพต่อไปยังที่ที่จัดเป็นเนินทราย ริกซินตั้งใจพาพวกเรามาขี่อูฐสองโหนกถ่ายรูปในทะเลทราย แต่เอ้อ ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยง พระอาทิตย์ตั้งฉากเสียขนาดนี้ จะให้ไปนั่งหลังทำชิลได้อย่างไรคะสุดหล่อ. แต่อย่างไรก็ตามฉันตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลและอ่อนหวาน "เออ ฉันมีประสบการณ์นั่งอูฐมา 2 ครั้งแล้วละค่ะ วันนี้เลยไม่ค่อยอยากนั่งเท่าไหร่" พวกเราเปลี่ยนเป็นเดินตามเนินทรายถ่ายรูปแทน

    การท่องเที่ยวในแถบลาดัคห์นอกจากใช้คาราวานรถโฟร์วิลหรืออินโนว่าแบบพวกเรา การเดินทางโดยใช้มอเตอร์ไซด์คันใหญ่หรือบิ๊กไบท์ก็เป็นที่นิยม ระหว่างทางที่ผ่านมา พวกเราพบคนไทยที่มาขับบิ๊กไบท์อยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งดูอ่อนระโหยโรยแรง AMS ทำให้การเดินทางของพวกเขายากลำบากมากว่าพวกเรา บิ๊กไบท์ที่นิยมมากที่นี่ดูเหมือนจะเป็นโรยัลเอนท์ฟิลด์ (Royal Enfield ) ผลิตขึ้นเองในอินเดียซึ่งเริ่มมาจากรัฐบาลอินเดียเสาะหารถมอร์เตอร์ไซด์สำหรับตำรวจและกองทัพสำหรับลาดตระเวณในแถบชายแดน ที่นี่พวกเราก็พบกับคาราวานบิ๊กไบท์อยู่กลุ่มหนึ่ง เพื่อความเป็นศิริมงคลของนักบิด บิ๊กไบท์คันหนึ่งนำธงมนตร์กับคันจับหน้ารถ สร้างสีสรรไปอีกแบบหนึ่ง คงคล้ายๆกับในเมืองไทยที่นิยมนำพระพุทธรูปเล็กๆหรือสายสิญจน์มาไว้ในรถยนตร์


    ดูเหมือนคนอื่นๆนอกจากพวกเราไม่มีใครนั่งอูฐเลย ริ๊กซินจึงตัดสินใจใช้เวลาไม่นานนักสำหรับที่นี่ แล้วเคลื่อนย้ายทัพไปรับประทานอาหารเที่ยง วันนี้ริ๊กซินพาไปทานอาหารที่นูบราวัลเลย์ออแกนิครีทรีตเซ็นเตอร์ ซึ่งจัดเป็นกระโจมเต็นท์สีขาวแวดล้อมด้วยแปลงผักออร์แกนิคและไม้ยืนต้นประเภทต้นพลัมและแอปเปิ้ลเขียว ระหว่างรอเตรียมอาหาร คนดูแลอนุญาตให้พวกเราเดินเล่นในสวน เก็บพลัมและแอปเปิ้ลจากต้นมารับประทาน ผลไม้จากสดจากต้นหวาน กรอบ อร่อย การได้นั่งพักใต้ร่มเงาต้นไม้เงียบๆ คุยกันเบาๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ภายในสวน ช่างเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบผ่อนคลายที่เราหาได้ยากเมื่อใช้ชีวิตปกติประจำวันอันรีบเร่งในกรุงเทพ แม้ว่าจะไม่สามารถบันทึกความรู้สึกเหล่านี้ด้วยการถ่ายภาพ ได้เพียงแค่นั่งดื่มด่ำเก็บไว้ในความทรงจำก็พอแล้ว


    ระหว่างเดินเล่น ฉันได้เจอกับเด็กน้อยตากลมโตใสบริสุทธ์ แก้มยุ้ย หน้าผากเติมแต่งด้วย “บินดิ” จุดสีดำ กลางหน้าผาก (โดยทั่วไป เรามักจะพบหญิงสาวชาวอินเดียแต้มบินดิสีแดงเป็นเครื่องหมายว่าเธอแต่งงานแล้ว แต่ในบางส่วนของอินเดียผู้หญิงไม่ว่าแต่งงานแล้วหรือไม่ ไม่ว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็แต้มบินดิ ชาวอินเดียที่นับถือฮินดูเชื่อว่า บินดิเป็นสัญญลักษณ์อันเป็นมงคล อาจเป็นสีอื่นก็ได้ แล้วแต่พิธีกรรม) เด็กน้อยไม่ว่าชาติใดในโลกใสบริสุทธ์ น่ารักเสมอ ใครคนหนึ่งยื่นขนมให้เธอ เธอรับมากอดไว้อย่างหวงแหนราวสมบัติมีค่า โลกทั้งโลกของเด็กน้อยคงมีแต่เพียงแค่นี้


    อาหารที่เตรียมร้อนๆสำหรับพวกเรา แน่นอนเป็นออร์แกนิค แม้ว่าจะพยายามให้เป็นอาหารจีน แต่ก็ยังมีกลิ่นไอของความเป็นอินเดีย จึงไม่ถูกปากพวกเรานัก หลังอาหารหลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวตามอัธยาศัย ขบวนของพวกเราเริ่มเดินทางกลับ ดูเหมือนคราวนี้ริ๊กซินจะไม่รีบนัก ขบวนรถจอดแวะพักระหว่างทางเป็นระยะ ให้เก็บภาพทิวทัศน์สวยงามข้างทาง
    อาจจะเนื่องจากเส้นทางค่อนข้างไกลจากชุมชน รถที่ขับกันไปมาต่างช่วยเหลือกันเอง ขบวนของพวกเราพบรถคันหนึ่งมีปัญหาจอดอยู่ข้างทาง ทีมของริ๊กซินไม่รีรอที่จะจอดไปช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนเหลือบ่ากว่าแรงจึงต้องทิ้งพวกเขาไว้ที่เดิม

    บางช่วงที่เราผ่านธารน้ำไหลรินจากภูเขา ริ๊กซินแวะจอดรถลงไปกรอกน้ำใส่ขวดแจกจ่ายไปตามรถคันต่างๆ ไว้ให้คนขับรวมทั้งโซนัมไว้ดื่ม เคยอ่านพบว่า พื้นที่แถบลาดัคห์เป็นทะเลทราย ฝนตกน้อยมากประมาณ 40-70 มิลลิเมตรต่อปี แหล่งน้ำที่ใช้ดื่มกิน หรือเพาะปลูกมาจากหิมะหรือกราเซียร์ที่หลอมละลาย ถ้าเป็นแถบนี้ก็คือกราเซียร์ Khardungla

    ระหว่างทางขบวนรถของพวกเราหยุดพักเข้าห้องน้ำอีกครั้งหนึ่งตรงร้านเดิมที่ริ๊กซินเสิร์ฟชาให้ดื่มเมื่อเช้า ฉันและนุ่มนิ่มเดินไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เหมือนคนทะเลาะกัน คนขับรถคนหนึ่งในทีมของเรากำลังทะเลาะกับผู้ชายในชุดทหารกลุ่มหนึ่ง ริ๊กซินและพวกที่ยืนเป็นกำลังหนุนอยู่ข้างหลัง เฮ้อ ทะเลาะกับใครไม่ทะเลาะ ดันทะเลาะกับทหารหน้าเหี้ยม หนวดเฟิ้ม ดงบังอื่นๆยืนรายล้อมเชียร์อยู่ ส่วนพีไทยมุง เช่นฉันหลบอยู่ไกลๆ นัยว่ารถพวกเรามีหลายคัน จอดกันระเกะระกะ ทำให้รถทหารซึ่งบรรทุกของมาผ่านไม่ได้ โวยวายเสียงดังกันพักใหญ่ให้พอตื่นเต้น สุดท้ายรถของทีมเราคันนั้นก็เลื่อนให้ ริ๊กซินเห็นพวกเรายืนหน้าตื่น จึงทำท่าพระเอกโบกมือแล้ว ยิ้มเป็นสัญญาณว่าเรียบร้อยไปกันต่อได้
    คราวนี้ดูเหมือนเราใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึง Khardungla pass. บริเวณอนุสาวรีย์ไม่เหลือร่องรอยหิมะให้เห็นเลย ทิวทัศน์รอบข้างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หิมะปรากฎให้เห็นแค่เพียงยอดเขาไกล คราวนี้สามารถเห็นทิวเขาคาราโครัมได้ชัดเจนเป็นแนว


    ใช้เวลาเพียง 1 ชมก็กลับมาถึงโรงแรมที่เลห์ ริ๊กซินและคุณโดเรมอนมาคุยกับพวกเราเพื่อตกลงโปรแกรมพรุ่งนี้ เนื่องจากเมื่อวานพวกเราร่ำร้องขอแยกตัวไปแปงกองในวันพรุ่งนี้ ริ๊กซินกลับมาพร้อมข้อเสนอจากทางออฟฟิศของเขาว่าสามารถจัดให้พวกเราแยกกันไปเอง 1 คันได้โดยเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย พร้อมทั้งแจ้งว่าเส้นทางที่มีปํญหาเมื่อวานนั้นตอนนี้จัดการเรียบร้อยผ่านได้ไม่มีปํญหา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าพรุ่งนี้ ฝนจะตกหรือเกิดปัญหาดินถล่มขึ้นมาอีกหรือไม่ พวกเราหันมามองหน้ากัน พร้อมกับตรวจสอบอาการของแต่ละคนด้วย น้องนุ่มนิ่มอาการแย่ที่สุดในวันนี้ อ๊ะและเลี้ยงก็รู้สึกล้าจากการนั่งรถ สุดท้ายพวกเรายกเลิกความตั้งใจที่จะไปแปงกองในวันรุ่งขึ้นแล้ว จึงหันมาแจ้งกับริ๊กซินซึ่งดูงงๆว่าทำไมเปลี่ยนใจกันง่ายจัง แต่หลังจากอธิบายสภาพร่างกายของทุกคนแล้ว เขาก็เข้าใจในที่สุด
    น้องนุ่มนิ่มขึ้นไปพักที่ห้อง ในขณะที่อ๊ะ เลี้ยง และฉันซึ่งดูเหมือนสบายดีที่สุดในกลุ่มติดตามคุณโดเรม่อนออกไปเดินตลาดอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเราเหลือเวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนัก

    ตัวเมืองเลห์ไม่ได้สงบ เล็กๆ น่ารัก เหมือนที่เคยวาดภาพมาก่อน เลห์ ณ วันนี้ เต็มไปด้วย ร้านพิซซ่า อินเตอร์เนตคาเฟ่ และ เกสต์เฮ้าส์ตามการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มเข้ามาตั้งแต่ปี 1974 ถ้าให้เปรียบเทียบ ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้เลห์ยังคงมีเสน่ห์กว่าส่วนอื่นของอินเดีย นอกจากทิวทัศน์อันสวยงามแล้ว ก็คือผู้คนนั่นเอง ผู้คนที่นี่ยังดูซื่อสัตย์ จริงใจไม่คดโกง ไม่พยายามเซ้าซี้ ยื้อยุดให้ซื้อสินค้า ทำให้พวกเราเดินในตลาดที่นี่ได้อย่างสบายใจ ตลาดด้านนอกติดถนนเป็นตลาดขานอาหารสดพวกผักสด ผลไม้ ซึ่งชาวบ้านนำมาวางเรียงรายขายบนพื้นริมถนน คุณโดเรมอนพาพวกเราทะลุตรอกซอกซอยจากตลาดหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งทะลุติดต่อกันโดยอาศัยตรอกซอกซอยนี้ สินค้าค่อนข้างหลากหลายมีตั้งแต่เสื้อผ้าทั้งชุดพื้นเมือง และชุดสมัยใหม่ซึ่งดูไม่แตกต่างจากย่านประตูน้ำ หรือสำเพ็งบ้านเรา เครื่องประดับ ของที่ระลึกประเภทขันสวดมนตร์ที่ใช้ไม้มาวนตรงปากขันทำให้เกิดเสียงกังวาน ซึ่งฉันลองกี่รอบก็ไม่สำเร็จ 
    นอกจากนี้ยังมีธูปเครื่องหอมสำหรับสวดมนต์ เครื่องใช้สมัยก่อนที่หาได้ยากในบ้านเราแล้ว เช่น เตารีดที่ใช้ถ่าน ปิ่นโต ตาชั่งแบบใช้ลูกตุ้ม 
    สุดท้ายเลี้ยงเป็นคนเดียวที่มีของติดมือ คือองค์จำลองพระศรีอารยอารยะเมตตรัยศิลปะแบบอินเดีย คุณโดเรมอนเล่าว่าองค์จำลองที่เป็นของเก่าจริงก็พอหาได้ที่นี่ แต่ถ้าจะนำออกต้องตรวจสอบให้ดีก่อน เนื่องจากทางการอินเดียห้ามนำวัตถุโบราณที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีออกนอกประเทศ ในทางเมืองไทยก็เช่นกันจะนำเข้าได้ต้องมีใบรับรองจากร้านค้าที่ซื้อว่าถูกกฎหมาย

    เมื่อพวกเรากลับมาถึงที่พักเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี หลังจากรับประทานไปได้สักพัก น้องนุ่มนิ่มลงมาจากห้องพักมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเรา เธอบอกว่าหลังจากนอนพักสักครู่อาการดีขึ้นแล้ว แต่ดูเหมือนจะรับประทานอาหารไม่ลงทานได้แต่ซุป เหมือนอาการของฉันเมื่อวานเลย วันนี้ฉันรู้สึกสบายดี แต่ดูเหมือนจะนอนไม่หลับอีกแล้ว

    From whom who is sleepless in Ladakh


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in