แสงแดดยามสายส่องลอดผ้าม่านที่ปิดไม่สนิทกระทบกับใบหน้าของเด็กหนุ่ม พยัคฆ์ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนพักผ่อนยังไม่เพียงพอ แต่เขาก็ขยับกายลุกขึ้นจากเตียงนอนไปชำระร่างกาย ระหว่างนั้นก็หวนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่ามีจริงได้ใกล้ชิดที่สุด ถึงจะมองไม่เห็น ไม่รู้สึก สัมผัสอะไรไม่ได้เหมือนเพื่อนที่เหลือก็ตาม เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเขาคนเดียวที่ปกติดีทุกอย่าง ว่ากันว่าหากเห็นหนึ่งครั้งก็จะเห็นตลอดไป หวังว่าเพื่อนของเขาจะไม่เป็นแบบที่ใครว่าเอาไว้
วันนี้เด็กหนุ่มและเพื่อน ๆ นัดกันไปวัดเมื่อคืนเพื่อสอบถามพระท่านเรื่องการขอขมาวิญญาณที่บ้านพักครูร้างหลังนั้น แม้ไม่รู้ว่าจะทำให้เธอคนนั้นหายไม่พอใจได้หรือเปล่า แต่เพื่อความสบายใจของพวกเขา พวกเขาจึงอยากไปสอบถามวิธีจากพระท่านมากกว่าพึ่งพาอินเทอร์เน็ต
เขาแต่งตัวและทานมื้อเช้าได้ไม่กี่คำ แอพพลิเคชั่นแชทก็เด้งเตือนว่าใกล้ถึงเวลานัดของพวกเขาแล้ว คราวนี้ไอ้เจก็ยังรับหน้าที่เป็นสารถีอยู่ มันให้เหตุผลว่าจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำมัน ไม่ก่อมลพิษ ทางเดียวกัน ไปด้วยกันดีกว่า และเขาก็ส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะก๊ากไปให้มันหลังอ่านข้อความนั้น
เขาตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรที่หน้าบ้าน เด็กหนุ่มไหว้ลาพ่อแม่แล้วเร่งรีบออกจากบ้านในทันที และเป็นไปดังคาด เพื่อน ๆ ของเขานั่งหน้าสลอนกันในรถอย่างพร้อมเพรียงแล้ว สีหน้าพวกมันดีขึ้นกว่าเมื่อคืน แม้จะยังหน้าซีดกันอยู่ แต่ก็ดูสดใสมากขึ้น
"เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมวะ" เขาเอ่ยถามหลังจากปิดประตูรถ เมื่อคืนหลังกลับมาถึงบ้านเขาก็หลับเป็นตาย แถมเมื่อเช้าพวกเขาแชทสนทนากันเพียงไม่กี่ข้อความ จึงยังไม่ได้ถามไถ่เรื่องราวส่วนนี้
ไอ้เจเริ่มออกรถขณะไอ้เป๋าเปิดหาตำแหน่งวัดจากจอจีพีเอส ไอ้ซันที่นั่งตรงกลางของเบาะหลังหันมายิ้มตาหยีให้เขาแล้วตอบคำถาม "ทางกูไม่มีนะ ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าที่บ้านกูแรงหรือเพราะกูเหนื่อยจนไม่รู้สึกอะไรไม่รู้ กลับไปถึงก็นอนเลย"
ไอ้ชาพยักเพยิดหน้าตามคำไอ้ซัน มันคงกำลังเห็นพ้องด้วย ด้วยความที่มันเป็นคนประหยัดคำพูดมันถึงไม่พูดอะไรออกมา ไอ้เป๋าที่มือกดยิก ๆ แต่ปากยังว่างอยู่จึงพูดบ้าง "กูก็มีกังวลบ้างแต่ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร นอนหลับสนิทเลยว่ะ"
ข้างแก้มมันแปะพลาสเตอร์เป็นแนวยาวไปตามรอยแผล ไอ้เป๋านิ่วหน้าทุกครั้งเวลาขยับปาก มันคงจะเจ็บไม่น้อย รอยแผลทั้งยาวทั้งลึกขนาดนั้นเขาอยากจะรู้เหมือนกันว่ามันอธิบายที่มาของรอยนี้กับพ่อแม่ว่าอย่างไร
"ส่วนกูก็กลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร หลับเป็นตายเหมือนพวกมึงนั่นล่ะ" ไอ้เจว่าพลางเหลือบมองไอ้เป๋าที่ยังค้นหาจุดหมายปลายทางไม่ได้
"แล้วมึงล่ะไอ้ยัก" ไอ้ซันถาม เพื่อน ๆ เรียกเขาว่ายัก เพราะเขาไม่มีชื่อเล่น ชื่อจริงพยัคฆ์ ชื่อเล่นก็เป็นพยัคฆ์ พวกมันคงขี้เกียจเรียกเกินสองคำถึงได้เรียกเขาสั้น ๆ ว่าไอ้ยักแทนที่ไอ้พยัคฆ์
เขาตอบกลับพวกมันเหมือนก้อปคำพูดกันมา "ทางกูปกติดี กลับไปก็หลับเป็นตายเหมือนกัน"
หลังจากจบการถามตอบพวกเขาก็นั่งเงียบใส่กันคล้ายนึกเรื่องสนทนาไม่ออก ในหัวคงมีแต่เรื่องรีบไปขอขมา รีบทำบุญแล้วรีบกลับบ้านกัน จีพีเอสที่บอกเส้นทางเป็นเสียงเหมือนหุ่นยนต์ไปเรื่อย ๆ เป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในรถระบะคันนี้ จนกระทั่งเสียงยานคางเอ่ย ถึงจุดหมายปลายทาง แล้วจึงเงียบไป
ไอ้เจจอดรถที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้โบสถ์ที่พวกเขามากันเมื่อคืน พวกเขาลงจากรถแล้วเอ่ยสอบถามถึงพระสงฆ์รูปนั้นจากเด็กวัด เด็กชายหน้าตามอมแมมเพราะกำลังฟัดกับสุนัขเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วเอ่ยถาม "พวกพี่ถามถึงใครนะครับ"
"พระสงฆ์ที่เมื่อคืนท่านเจริญภาวนารูปเดียวในโบสถ์น่ะน้อง น้องรู้ไหมว่าท่านอยู่ไหน" ไอ้เป๋าเอ่ยถาม ในมือมันมีดอกไม้ ธูป เทียน อาหารคาวหวาน และถังสังฆทาน ไอ้เจเห็นแล้วคงหงุดหงิดใจจึงช่วยมันถือถังนั่นเสีย
เด็กชายนิ่งอยู่นานแล้วจึงส่งเสียร้องอ๋อออกมายาว ๆ "พี่หมายถึงหลวงตาสมรเหรอครับ ถ้าเป็นพระที่ชอบเข้าไปนั่งในโบสถ์ตอนค่ำ ๆ หลังทำวัตรเย็นก็คงมีแค่หลวงตาสมรแหละครับพี่"
เด็กน้อยยิ้มแป้นเมื่อตอบคำถามเสร็จ ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมตอบคำถามสำคัญเสียได้ ไอ้เป๋าจึงเอ่ยกระตุ้นอีกครั้งจนเด็กชายส่งเสียงหัวเราะอาย ๆ ออกมาก่อนจะชี้นิ้วไปทางกุฏิไม้หลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณโบสถ์นัก
พวกเขากล่าวขอบคุณก่อนจะยกโขยงไปทางกุฏิที่ว่า เดินไปยังไม่ทันถึงพระท่านก็เดินลงมาจากกุฏิเสียก่อน
"นมัสการครับหลวงอา" พวกเขาเอ่ยแล้วพนมมือขึ้นไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน ถึงเด็กน้อยจะเรียกว่าหลวงตา แต่ท่านดูเยาว์วัยกว่านั้นอยู่บ้าง พวกเขาจึงเรียกท่านว่าหลวงอาตามไอ้เป๋ากัน
เมื่อพระท่านเห็นก็เอ่ยเจริญพรแล้วชวนพวกเขามานั่งรับลมที่ม้านั่งใต้กุฏิท่านแทน "โยมมาทำอะไรกันหรือ"
ท่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโอบอ้อมอารีเช่นเคย ไอ้เป๋าได้ทีก็รีบเอ่ยตอบ "มาถามวิธีขอขมาจากท่านครับ แล้วก็อยากทำบุญให้เธอด้วย"
พระสงฆ์ชราเพียงพยักศีรษะแล้วเอ่ยบอกวิธีการ แม้ไม่รู้ว่าวิญญาณเด็กสาวจะรับฟังกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่รู้สึกผิดหรือไม่ก็ตาม วิญญาณดวงนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดมานาน จะยังมีสตินึกคิดอย่างตอนมีชีวิตอีกหรือ
พยัคฆ์สังเกตเห็นดวงตาที่มีคลื่นความรู้สึกไหลวนในนั้นของพระท่านมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ยามพูดถึงผีสาวที่บ้านพักครูร้างท่านมักมีแววตาที่เหมือนยังตัดไม่ขาดกับโลก
"พวกผมขอนมัสการเชิญท่านไปที่นั่นแล้วทำบุญให้เธอไปพร้อมกันเลยได้ไหมครับ" เขาเอ่ยถามในที่สุด พวกเพื่อน ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย คงรู้สึกอุ่นใจเมื่อมีพระใกล้ตัวในสถานที่น่ากลัวเช่นนั้น
ทว่าพระท่านกลับเอ่ยปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่มีใครสามารถไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมของใครได้ แม้กระทั่งพระสงฆ์อันเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเอง พวกเขาจึงยินยอม จัดการทำบุญให้ผีสาวกับท่านแล้วจึงกราบลาเพื่อไปขอขมาดังคำที่พระท่านแนะนำ
ลับหลังกลุ่มเด็กวัยรุ่นพระสงฆ์ชราได้แต่ภาวนาให้พวกเขาทำให้สำเร็จ ทั้งขอขมาดวงวิญญาณด้วยจิตตั้งมั่น และขออโหสิกรรมที่ได้ล่วงเกินและบุกรุกไปยังสถานที่ที่ดวงวิญญาณยึดติด
หากเป็นไปได้ก็อยากจะไปดูที่นั่นให้เห็นกับตา ให้หายคลางแคลงใจ ให้ความรู้สึกเย็นสงบใต้ร่มผ้าเหลืองมันกลับมาอีกครา
ลูกจะหลงอยู่ในความโกรธแค้นอีกนานเท่าไร หากปล่อยวางไปก็จะได้ไปเกิดแล้วแท้ ๆ
พระสมรผ่อนลมหายใจแผ่ว บวชครั้งนี้ก็เพื่อลูก บุญกุศลใดก็ขอมอบให้ลูก ผ่านไปแล้วหลายปีจนคิดว่าดวงวิญญาณจะยอมปลดเปลื้องพันธนาการในใจแล้วไปเกิดใหม่ แต่ทว่าความจริงแล้ว... ลูกกลับยังคงยึดติดและหลงทางอยู่ในสถานที่เดิมซ้ำ ๆ
"เป็นความผิดของพ่อเองที่ทำให้ลูกต้องกลายมาเป็นวิญญาณที่น่าสงสาร หากพ่อไม่มัวทำงานจนไม่มีเวลาให้ลูก จนลูกหลงใหลได้ปลื้มไปกับไอ้คนพรรค์นั้น จนมันทำร้ายลูก... จนมันทำให้ลูกตาย พ่อไม่รู้จะทำอะไรแล้วจริง ๆ"
น้ำเสียงอบอุ่นแหบพร่าพร้อมกับหยดน้ำตาที่รินไหลไม่ขาดสาย
TBC.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in