เพื่อนบ้านใจดีหยิบยื่นความรักให้เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง มันเป็นความรักจอมปลอม มันเป็นความรักที่ให้แลกกับเงินตรา เด็กคนนั้นแม้จะรู้ตัวทว่าก็หวังไว้ลึก ๆ ในใจว่าความอบอุ่นที่ฝ่ามือคู่นั้นมอบให้ มันจะไม่เสแสร้งไปเสียหมด
เมื่อความรักแลกกับเงินตรา กว่าเด็กน้อยจะตาสว่าง รู้ซึ้งถึงคำว่าทรยศหักหลัง ความเจ็บปวดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เด็กวัยรุ่นได้สัมผัสเสียแล้ว เจ็บปวดเจียนตาย ทรมานกับการถูกหักหลังจนตายลงไปพร้อมกับบทเพลงเพลงหนึ่งในสถานที่ที่ไม่มีใครเหลียวแล....เพียงลำพัง
.
.
.
พยัคฆ์เขย่าตัวเพื่อนที่นอนแน่นิ่งไปอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผีอะไรนั่นถึงต้องมาตามระรานกันถึงขั้นนี้ ต้องการอะไร เขาถามก็ไม่ตอบ เอาแต่พูดจาให้คนอื่นสงสารตัวเองอยู่ได้ เด็กหนุ่มถอนหายใจ ขนาดไม่ได้ไปยุ่งกับบ้านหลังนั้นแท้ ๆ เชียว
เขาหันไปมองเพื่อนอีกคนที่ยังนั่งตัวแข็งบนเตียงเขา เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยเรียกเบา ๆ "ซัน... ไอซัน ไหวไหม"
เพื่อนของเขากระพริบตาปริบ มันเงยหน้าสบตาเขา แววตามันไหววูบสับสนครู่หนึ่งก่อนมันจะยกยิ้มให้เขา ดวงตากลับมานิ่งสนิทไม่ไหวติง ไอ้ซันพยักหน้า เขาจ้องมองเพื่อสังเกตท่าทีของมันอีกหน่อยแล้วพยักหน้ารับแล้วหันไปคุยกับเพื่อนที่เหลือ
"ยังไงมันก็คงยังไม่ลุกเร็ว ๆ นี้ พวกเราแต่งตัวกันก่อนแล้วค่อยแบกมันลงบ้าน" เขาเอ่ยพลางลุกไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยใบหน้าไม่ไหวติง เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากแสดงสีหน้าวิตกกังวลรังแต่จะทำให้เพื่อนคนอื่น ๆ ของเขากังวลไปด้วย
เด็กหนุ่มทั้งสี่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างรวดเร็วก่อนจะเร่งรีบแบกร่างของเพื่อนที่นอนไม่ได้สติลงจากบ้าน โชคดีที่เวลานี้พ่อกับแม่เขายังไม่ตื่น เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าเขาจะหาเหตุผลอะไรมาบอกยามพวกท่านเห็นพวกเขาแบกเพื่อนลงบันได้บ้านอย่างนี้
"กุญแจไอ้เจ..?" ไอ้เป๋าเอ่ยถามขณะพวกเขาเดินแบกเพื่อนมาถึงประตูหน้าบ้านที่ชั้นหนึ่งแล้ว
ไอ้ชาที่ยังไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เช้าจึงยื่นกุญแจรถมาให้ มันเป็นคนละเอียดรอบคอบพึ่งพาได้จริง ๆ พวกเขามองหน้ากันก่อนไอ้เป๋าจะบอก "กูขับรถไม่เป็นนะ..."
ไอ้ชายอมขยับปากบ้าง "กูขับเป็นแต่รถเกียร์ออโต้"
"กูขับได้แต่มอร์เตอร์ไซค์... โทษทีนะ" ไอ้ซันพูด สีหน้าของมันดูรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
เพื่อนทั้งสามจึงรวมใจหันหันหน้ามามองเขา พยัคฆ์พยักหน้าสองสามทีก่อนจะรับกุญแจมา "กูขับได้ แต่ไม่มีใบขับขี่"
พวกมันตีหน้ายุ่งใส่เขาพลางบ่นเวลาอย่างนี้ใครจะไปสนเรื่องนั้นวะกันออกมา พวกเขาระมัดระวังในการออกจากบ้านให้ส่งเสียงให้น้อยที่สุดจนมาถึงรถกระบะสี่ประตูสัญชาติญี่ปุ่น เด็กหนุ่มเปิดรถแล้วรีบดันไอ้ไอ้เจขึ้นเบาะหลังโดยมีไอ้ชากับไอ้เป๋าประกบ
เขาสตาร์ทรถแล้วออกตัวไปยังวัดที่มีหลวงอาที่พวกเขาคุ้นเคยจำพรรษาอยู่ ท้องถนนในยามเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์เงียบสงบ มีรถราขับขี่สวนมาไม่มาก พวกเขาขับผ่านร้านรถเข็นที่กำลังเปิดขายอาหารอยู่หลายร้านแต่ไม่มีเวลาหยุดรถแวะซื้อกิน
พยัคฆ์เหยียบคันเร่งกว่าร้อยหกสิบกิโลเมตรอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจว่ามีกล้องตัวไหนจับภาพได้ไว้หรือไหม พวกเขาในเวลานี้รีบร้อนมากจริง ๆ จนกระทั่งพวกเขามาถึงวัดขนาดกลางอันคุ้นเคย พยัคฆ์แทบจอดรถอยู่หน้ากุฏิหลวงอาเลยด้วยซ้ำ
"คือกูขอถามหน่อย" ไอ้เป๋าเอ่ยขึ้นพลางกวาดตามองรอบ ๆ ไฟฟ้าในวัดยังถูกเปิดติดอยู่เพราะอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นขอบฟ้าดีนัก "เรามากันตอนนี้พระท่านไม่ไปบิณฑบาตกันเหรอวะ"
พวกเขามองหน้ากันเหมือนลืมคิดถึงเรื่องนี้เสียสนิท พวกเขาอยู่ในความเงียบก่อนจะปรากฏเงาตะคุ่มข้างหน้าต่างรถ เสียงเคาะกระจกดังก๊อก ๆ เรียกพวกเขาให้หันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน พยัคฆ์ลดกระจกรถลงก่อนจะยกมือขึ้นไหว้
"นมัสการครับหลวงอา" ท่ามกลางความตื่นตระหนกของกลุ่มเพื่อน เด็กหนุ่มยังคงรักษาสติได้อย่างดีเยี่ยม เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเห็นผี ดังนั้นพอเห็นเงาตะคุ่ม เงานั้นก็ย่อมต้องเป็นคน
"รีบร้อนกันมาตั้งแต่อาตมายังไม่ได้ไปบิณฑบาต พวกโยมเจอเรื่องอะไรมาอีกหรือ" น้ำเสียงโอบอ้อมอารีที่คุ้นเคยทำให้พวกเขาใจสงบโดยพลัน
ไอ้เป๋าเปิดกระจกรถแล้วยกมือขึ้นบ้าง น้ำเสียงมันคล้ายโล่งอกอยู่หลายส่วน "เกิดเรื่องกับเพื่อนผมครับหลวงอา"
ก่อนที่จะพูดคุยกันมากกว่านี้หลวงอาก็ได้บอกให้พวกเขาไปคุยกันในโบสถ์ใกล้ ๆ แทน พวกเขาจึงลงจากรถแล้วช่วยกันหอบหิ้วไอ้เจไปยังโบสถ์ที่มีไฟฟ้าเปิดทิ้งไว้ ใบหน้าของพระสงฆ์ตรงหน้าดูสงบนิ่งเหมือนทุกที ท่านนั่งลงบนพื้นปูพรมในโบถน์แล้วพวกเขาจึงวางร่างไอ้เจลงแล้วพากันนั่งตาม
หลวงอาพิศสารร่างไอ้เจที่หลับตาไม่ได้สติพลางกล่าว "เจอวิญญาณอื่นหรือโยม"
ไอ้ซันพนมมือแล้วเอ่ยเล่าเรื่องตั้งแต่พวกเขาไปขอขมาวิญญาณผู้หญิงที่บ้านพักครูร้างผ่านไปด้วยดี ทว่าขากลับเพื่อนคนที่ไม่ได้สติกลับพบเจอวิญญาณตนอื่นจนต้องรีบขับรถหนี ระหว่างทางพอเปิดเพลง ๆ หนึ่งเพื่อนคนนี้กลับได้ยินเสียงร้องเพลงคลอไปด้วย กระทั่งเช้านี้ก็ยังโดนผีเข้าแบบเต็ม ๆ
"พวกผมจนปัญญาจริง ๆ ครับหลวงอา เราไม่รู้จะทำยังไงดี" ไอ้เป๋ากล่าวเสริม ดวงตาของมันจับจ้องไปยังร่างของเพื่อนที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้สติ
บนคอไอ้เจยังมีสร้อยหนังและเศษพระที่แตกประดับอยู่ พระสงฆ์ชรามองพลางยกมือขึ้นลูบสร้อยพระที่แหลกละเอียดบนอกไปมาเบา ๆ
"โยมบอกว่าเขาทรมาน เขาต้องการความรัก และเขาโดนเผาหรือ" น้ำเสียงท่านยังคงโอบอ้อมอารี ทว่ามันเจือไปด้วยความเศร้าหมอง
"อาตมานึกว่าคราวที่แล้วโยมเจอวิญญาณดวงนี้เสียอีก" หลวงอาสมรเอ่ยคล้ายคุยกับตนเอง "แต่ก็ยังไม่ไปเกิดสินะ"
พวกเขาสี่คนมองตากัน ดูเหมือนว่าพระสมรจะรู้จักวิญญาณดวงที่รังควานเพื่อนของพวกเขา พระสงฆ์ชราเงยหน้ามองออกไปยังประตูโบสถ์ที่เปิดทิ้งไว้ มองไปยังแสงแรกของวันที่กำลังเข้ามาทักทาย ท่านดูอ่อนล้าและแก่ชรากว่าที่พวกเขาจดจำได้
แม้ไม่อาจเรียกได้ว่านับถือมากมายหรือสนิทสนมกับท่าน แต่พวกเขาก็ถือว่าท่านเป็นความสบายใจ เป็นที่พึ่งในยามที่พวกเขาร้อนรน ท่านคล้ายจมอยู่ในภวังค์จนพวกเขาไม่กล้าสอดปากพูดอะไร
"อาตมามีลูกอยู่คนหนึึ่ง เป็นลูกคนเดียว อาตมากับภรรยามีเขาตอนพวกเราอายุใกล้เลขสี่แล้ว" พระสงฆ์ชราเริ่มเล่าเรื่องราวบางอย่าง
"อาตมาเป็นคนหัวโบราณและจริงจังกับการทำงาน อาตมาจึงโยนหน้าที่เลี้ยงดูลูกให้ภรรยา แต่ภรรยาของอาตมาดูแลทั้งลูกและทำงานไปด้วยไม่ไหว เธอจึงส่งลูกของเราไปอยู่กับญาติ นั่นทำให้สายใยระหว่งพ่อแม่และลูกเริ่มห่างเหินกัน อาตมามารู้ว่าลูกชายของอาตมาอยากเป็นผู้หญิง และมันทำให้อาตมารับไม่ได้" หลวงอาสมรเล่าด้วยน้ำเสียงที่เสียใจเกินจะกล่าว
"อาตมาตัดขาดกับลูกเพราะมองว่าเขาเป็นตัวน่าอับอายแล้วมุ่งทำงานหนักขึ้นจนไม่รู้ข่าวคราวของลูกอีก ทั้ง ๆ ที่อาตมารักเขา... รักเขามาก แต่มันก็ผิดที่อาตมานั้นใจแคบเหลือเกิน" ท่านหลับตาลงและที่หางตานั้นมีหยาดน้ำไหลลงมา "อาตมากับภรรยามารู้ข่าวอีกทีคือตอนที่ลูกของอาตมาตายแล้ว.... เขาโดนเผาทั้งเป็น"
"เป็นผีมือของเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่อาตมาไม่รู้จัก รู้อีกทีเขาก็หนีไปเสียแล้ว ทิ้งตายายที่แก่ชราไว้กับการถูกตำรวจสอบสวน เรื่องของลูกอาตมาถูกปิดเพราะเป็นคดีสะเทือนขวัญ อีกทั้งทางจังหวัดยังต้องการรักษาหน้าในฐานะจังหวัดท่องเที่ยว อาตมาทำอะไรไม่ได้เลย ภรรยาของอาตมาตรอมใจ เธอกล่าวโทษอาตมา บอกว่าเป็นเพราะอาตมาลูกถึงได้จากไป เธอพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะอาตมานั้นรักหน้ามากกว่าลูก มันถึงลงเอยแบบนี้
เรื่องของเราจบลงที่หย่าร้างกัน เธอรับเรื่องนี้ไม่ไหว ตรอมใจอย่างหนักจนต้องอยู่โรงพยาบาลจิตเวช ส่วนอาตมาก่อนหน้าเข้าหาร่มผ้าเหลืองก็คอยตามความคืบหน้าจากตำรวจ คอยตามหาคนที่ทำร้ายลูกของอาตมา แต่อาตมาตามหาอะไรไม่เจอ มันเหมือนเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย อาตมาร้อนรน ในใจมีแต่ความโกรธเคืองเคียดแค้นจนต้องพยายามหาทางดับมัน อาตมาจึงบวชเป็นพระ หวังว่ามันจะช่วยให้อาตมาสงบใจและให้อภัยตัวเอง หวังว่าการบวชนี้จะสร้างบุญกุศลเผื่อแผ่ไปถึงลูกของอาตมา อาตมาไม่เคยรู้เลยจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าดวงวิญญาณของลูกอาตมายังอยู่"
พระสมรลืมตาขึ้น ในดวงตามีแต่ความรู้สึกสั่นไหว อยู่ ๆ ร่างไอ้เจก็ลุกขึ้นต่อหน้า ทั้งพวกเขาและพระสมรได้แต่นั่งนิ่งไปกันหมด ใบหน้าเพื่อนของเขาหันช้า ๆ ไปทางพระสงฆ์ ที่ดวงตาของมันมีน้ำตาไหลอยู่
"พ่อรักหนูจริง ๆ เหรอคะ...."
TBC.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in