เรื่องสั้นตีพิมพ์ปี 2018 โดยนักเขียน คิมโชย็อบ (김초엽)
เป็นเรื่องที่อ่านจบแล้วรู้สึกว่าอารมณ์เรามันไหลไปตามเนื้อเรื่องเลย
บางตอนก็รู้สึกเหงา บางตอนก็รู้สึกอบอุ่น บางตอนก็รู้สึกสงสัย
เรื่องนี้เล่าจากมุมมองของหลานสาวสลับกับมุมมองของบุคคลที่ 3 (นักเขียน)
หลานสาวเล่าว่าย่าของตัวเองเคยเป็นนักวิจัยที่ขึ้นยานอวกาศ
ไปสำรวจว่าในจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไหม
แต่อยู่ดี ๆ ยานของย่าก็หายไปจากระบบ แล้วกลับมาเจออีกที
ตอนลอยเคว้งคว้างอยู่ในจักรวาลหลังจากผ่านไปประมาณ 40 ปี
ย่าได้กลับมายังโลกอีกครั้ง นักข่าว นักวิจัยหลายสำนักได้มาสัมภาษณ์
ย่าก็บอกว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ในจักรวาลจริง แต่ไม่ยอมเล่ารายละเอียดอะไรเพิ่มเติม
นอกจากบันทึกที่เขียนขึ้นเองก็ไม่มีหลักฐานอื่นยืนยัน
พอเวลาผ่านไปทุกคนเลยเลิกให้ความสนใจ และมองว่าย่าอาจจะเลอะเลือนแทน
หลังจากย่ากลับมาอยู่บ้านก็ชอบเล่าเรื่องให้หลานฟัง เล่าหลายรอบด้วย
แม้ว่ารายละเอียดเล็กน้อยจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่เนื้อเรื่องหลักยังเหมือนเดิม
และพอเล่าถึงอดีตบนดาวดวงอื่น เรื่องจะตัดมาเป็นมุมมองของบุคคลที่ 3
เริ่มตั้งแต่ยานที่ฮีจินนั่งไปเกิดขัดข้อง ทำให้ไปตกอยู่ที่ดาวไหนก็ไม่รู้
ชัตเทิล (เป็นส่วนที่ใช้นั่งกลับมาโลกได้ ข้างในมีอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสาร) ก็หายไป
ทำให้ติดต่อกลับมายังโลกไม่ได้ ระหว่างนั้นก็ไปเจอกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เดินสองขา
ลักษณะคล้ายคนมาก ๆ แต่ตัวสูงกว่าและมีอาวุธ ฮีจินคิดว่าตัวเองจะถูกฆ่าแล้ว
แต่คนนึงในกลุ่มนั้นเอาตัวมาบังไว้ แล้วก็ช่วยสื่อสารกับสมาชิกคนอื่น ๆ ด้วยภาษาที่ฮีจินไม่สามารถวิเคราะห์เสียงได้ แต่ได้ยินคำว่า "รุย" เลยเรียกคนที่มาช่วยตัวเองด้วยชื่อนั้น
ฮีจินถูกพาไปอยู่ในถ้ำบนหุบเขาด้วย แล้วรุยก็คอยดูแล หาอาหารมาให้
แต่นอกจากเวลาเหล่านั้น รุยก็จะชอบนั่งง่วนอยู่กับการวาดรูปทุกวัน
มีวันนึงฮีจินออกไปข้างนอกแล้วเจอสิ่งที่น่าจะเป็นอะไหล่ของยานตัวเอง
เลยเอากลับมาอวดรุย แต่ปรากฏว่ารุยพูดอะไรก็ไม่รู้ แล้ววันต่อมาก็เอาอาหารมาให้เยอะกว่าเดิม
ฮีจินคิดว่ารุยคงอยากแสดงความยินดีที่หาชิ้นส่วนยานเจอ
พอเจอชิ้นส่วนที่สอง ก็กะจะเอาไปให้รุยดูอีก แต่พอกลับมาถึงถ้ำก็ได้รู้ว่ารุยตายไปแล้ว
คนในเผ่า (เรียกเผ่าได้มั้ยนะ?) จัดงานศพให้รุย
โดยเอาศพใส่ภาชนะ (อาจจะหม้อหรือไห)แล้วลอยไปตามแม่น้ำ
พอรุยลอยไป คนอื่น ๆ ก็ชี้ให้ฮีจินดูอะไรบางอย่างที่เดินข้ามมาจากอีกฝั่ง นั่นก็คือรุยคนที่ 2
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ฮีจินได้รู้ว่าอายุขัยของคนพวกนี้สั้นมาก ไม่เกิน 3-5 ปี
แต่พวกเขาเชื่อว่าวิญญาณจะสละร่างเก่าไปตามหาร่างใหม่ แล้วกลับมาอีกครั้ง
ดังนั้น การตายจึงไม่ได้หมายความว่าหายไปตลอดกาล
รุยคนที่ 2 กลับเข้ามาในถ้ำ นอกจากคอยหาอาหารให้ฮีจินแล้ว
ก็ยังง่วนอยู่กับการวาดรูปเหมือนรุยคนเดิมด้วย
ที่เพิ่มเติมคือทั้งสองคนเริ่มสื่อสารกันผ่านท่าทางเป็นคำง่าย ๆ ไม่กี่คำได้
คือคำว่าขอโทษ ขอบคุณ สวัสดี ฝันดี แต่คำธรรมดาไม่กี่คำเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับฮีจิน
หลังจากนั้นฮีจินก็ได้พบกับรุยคนที่ 3 4 อีก
ซึ่งพอรุยคนใหม่เข้ามา ตอนแรก ๆ ก็จะนิ่ง แต่พอนั่งดูรูปที่รุยคนก่อนวาดไว้ไปพักนึง
ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง เช่น มีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น หรือบางคนก็หันมาหาฮีจินแล้วพยายามจะยิ้มให้
ฮีจินเดาเอาว่าภาพวาดอาจจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้
พอรุยคนใหม่ได้มาอ่าน เลยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรุยคนก่อน ๆ หรือฮีจินเป็นใคร
(ต้องอย่าคิดว่าเป็นภาพคนหรือภาพเหตุการณ์นะ เพราะภาพที่รุยวาดจะเป็นแนว abstract)
ฮีจินเดาเอาอีกว่าสีต่าง ๆ ที่รุยใช้วาดอาจจะเป็นตัวแทนสื่อความหมาย
เหมือนกับเสียงของมนุษย์เวลาเปล่งออกมาเป็นคำหรือประโยคที่สื่อสารกัน
สำหรับรุย สีท้องฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดินอาจจะเป็นเรื่องราวเรื่องนึงก็ได้
เหตุการณ์หลังจากนั้นคือมีศัตรูเข้ามาบุกเผ่าที่ฮีจินอาศัยอยู่ด้วย
ทำให้ตัวเองต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่หนีไปหนีมาก็ไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้
จากนั้นมาเลยไม่ได้เจอรุยอีกเลย แต่โชคดีที่วันนึงบังเอิญเจอชัตเทิลสำหรับกลับมาโลก
เลยส่งสัญญาณกลับมาขอความช่วยเหลือได้
นี่คือเรื่องที่ย่าเล่าให้หลานฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วง 10 ปีที่อยู่กับพวกของรุย
หลายคนอาจจะคิดว่าเพราะเวลาไม่เหมือนกัน 10 ปีที่นู่นอาจจะเท่ากับ 40 ปีบนโลก
แต่ตัวหลานกลับคิดไปอีกแบบนึงว่า
หรือว่าหลังจากย่าขึ้นยานชัตเทิลแล้ว ไม่ส่งสัญญาณกลับมาที่โลกทันที
รอให้ยานออกมาให้ไกลจากดาวดวงนั้นที่สุด ไม่ให้คนบนโลกแทรคดาวดวงนั้นได้
แล้วค่อยส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือกลับมา
เพราะตอนที่ยานของย่าไปตกลงบนดาวดวงนั้น
สภาพของย่าเป็นแค่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่น่าสงสาร เลยได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มของรุย
แต่ถ้าสมมติว่าย่าติดต่อกลับมาที่โลกทันที มนุษย์อาจจะหาทางกลับไปที่ดาวนั้นอีก
คราวนี้คงไปด้วยอาวุธพร้อมสรรพ
แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นคงไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่ย่ากับรุยเคยมีร่วมกัน
สิ่งที่ย่าถือออกมาด้วยตอนหนีออกมาจากหุบเขาคือภาพวาดไม่กี่แผ่นของรุย
ย่าพยายามจะหาวิธีถอดความหมายจากสีของรูปภาพพวกนั้นมาตลอด
ทำให้พอจะแปลสิ่งที่รุยบันทึกไว้ออกมาได้บ้าง หนึ่งในนั้นมีส่วนที่เกี่ยวกับตัวฮีจินด้วย
และมีประโยคนึงที่ย่ามักจะอ่านด้วยรอยยิ้มเสมอ คือ
"เธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าประหลาด และงดงามมาก"
คนเขียนทำให้เรารู้สึกได้ถึงความผูกพันของฮีจินกับรุยที่มันไม่มีคำพูดใด ๆ มาบรรยายได้
แต่รู้สึกถึงความอบอุ่นได้ผ่านภาพวาด รอยยิ้มที่รุยพยายามจะยิ้มให้ ผลไม้ที่รุยหามาให้
หรือแม้แต่การที่ฮีจินเลือกปกป้องรุยจากมนุษย์ ทั้งที่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วรุยยังมีชีวิตอยู่มั้ย
ฮีจินไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารุยคนที่ 2 3 4 ที่เดินมานั่งวาดรูปจุดเดิมทุกครั้งมันคือคนเดียวกับรุยคนแรกรึเปล่า
แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อ และรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตตัวเอง
คือมันดืออออออ ดือตั้งแต่ต้นจนจบ ดือแบบไม่ไหวว่ะ นั่งอ่านแล้วจะร้องไห้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in