กว่าพวกเขาจะมายืนถึงจุดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเด็กเล่นขายของ บทเรียนในวันนั้นทำให้พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างไปมาก
“ข้าไม่โทษพวกท่านหรอกข้าพอเข้าใจ คนทำธุรกิจใครจะยอมมาเสียเปรียบล่ะ”
เกรเทลเอ่ยขึ้นมาหลังจากเงียบไปพักใหญ่ เธอมาจากอีกโลกจึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในวงการธุรกิจเรื่องต้นทุนขาดทุนถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขณะเดียวกันในสายตาเธอการเป็นชนชั้นทาสถือว่าลำบากมากเพราะไม่มีใครอยากถูกกดขี่ ไม่มีใครอยากถูกมองว่าเป็นสิ่งไร้ค่า
แม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่สบายกว่าทาสคนอื่น ๆ ในตลาดที่อาจไม่ได้รับโอกาสจากนายใหญ่ ซึ่งอย่างน้อยเธอก็ยังพออดทนกัดฟันสู้อยู่ได้ไม่ต่างจากการทำงานในบริษัทใหญ่เท่าไรนัก
“ใช่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าอาจไม่รู้เกรเทล แม้พวกเราจะค้าทาสแต่เวลาชาวบ้านในเขตนี้เดือดร้อนก็มีแต่นายใหญ่วอลล็อคนี่แหละที่คอยเป็นคนดูแลจัดการปัญหาให้ “
เกรเทลมองไปยังเฟียซที่เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกแบบไหนดีเมื่อได้ยินสิ่งที่เฟียซพูดเกี่ยวกับวอลล็อค
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงโรงครัวเฟียซพาเกรเทลเข้าไปในครัวทั้งสองแยกย้ายกันไปทำงานของตนเองทันที เฟียซเดินไปคุยกับบาสเตียน ส่วนเกรเทลรีบเอากระเป๋าไปวางหลบมุมให้พ้นจากสายตาคนครัวเพราะไม่อยากให้ใครผิดสังเกตเห็นว่ากระเป๋าดูขยายใหญ่ต่างจากปกติ
เธอรีบไปล้างผักหั่นผักตามตารางงานที่ถูกจัดไว้ล่วงหน้าทันที ก่อนจะรีบขอตัวไปทำความสะอาดบ้านพักวอลล็อคต่อเพื่อที่เธอจะได้ดำเนินแผนการที่วางเอาไว้
โดยแผนที่คิดถ้าวอลล็อคกลับมาถึงก่อนผิดไปจากที่เฟียซบอกไว้ เธอจะรีบทำงานของตนเองให้เสร็จไว ๆ แล้วอ้างว่าลืมของไว้ที่โรงครัวขอวิ่งกลับไปเอาสักครู่ แล้วถ้าเขาถามว่าลืมอะไรเธอจะตอบว่าลืมยาทาแผลทิ้งไว้ว่ากลัวหายเพราะมันเป็นของอารอล์ฟ
แต่ถ้าเขายังไม่กลับมาเธอต้องเป็นฝ่ายระมัดระวังจังหวะที่เขากลับเข้ามาให้ดีเพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนไหน ก่อนหน้านี้เคยเห็นการส่งของแล้วเธอจะแอบปีนขึ้นท้ายขบวนรถคันหลังแล้วซ่อนตัวจนกว่ารถขนส่งจะออกจากตลาดค้าทาส
นาฬิกาตีบอกเวลา 12:30 น. วอลล็อคยังไม่กลับมาที่บ้านเธอภาวนาหวังว่าเขาจะกลับมาหลังขบวนขนส่งสินค้ากลับไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงรีบจัดการเก็บข้าวของล็อกประตูบ้านพักแล้ววิ่งหลบเลี่ยงไปตามทางเพื่อไปยังเส้นทางที่ขนส่งกำลังมาถึง
ระหว่างทางไม่ง่ายเลยที่จะหลบพ้นจากสายตาคนงาน อุปสรรคเดียวเลยคือส่วนคนใหญ่มักทักทายเธอเพราะเธอกลายเป็นคนดังในหมู่คนงานจากการช่วยงานพวกป้า ๆ อาวุโสทั้งหลาย กว่าจะเดินมาถึงเธอก็เห็นขบวนรถขนส่งมาจอดรออยู่แล้ว
พวกพนักงานในชุดยูนิฟอร์มน้ำตาลเข้มไปทางดำกำลังทยอยยกข้าวของลงจากรถทีละอย่างสองอย่าง มันเป็นรถลากเลื่อนที่มีขนาดกลางด้านหน้าจะมีม้าประมาณ 5 - 6 ตัวคอยลากเพื่อเคลื่อนที่ แต่ถ้าของที่มีน้ำหนักมากเขาจะใช้สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 4 เมตร แม้รูปร่างคล้ายช้างก็จริงแต่ไม่ใช่ช้างแบบที่เรารู้จักกันด้วยซ้ำ
โดยก่อนหน้านี้ช่วงที่เธอว่างจากงานต่าง ๆ มักแอบไปช่วยพวกป้า ๆ ทำงานจิปาถะเล็กน้อย ขาเดินกลับบ้านพักวอลล็อคเธอจึงได้เห็นพวกมันเสมอ จึงถามคนรอบตัวว่ามันคือสัตว์อะไรดูแล้วแปลกตามากสำหรับเธอเพราะทั้งสองชนิดมันไม่ได้มีลักษณะเหมือนโลกของเธอเท่าไร
ทั้งตัวม้ามีสีน้ำตาลแต่แผงขนต่าง ๆ เป็นเส้นเถาวัลย์และใบไม้แทน แต่ม้าบางตัวก็มีดอกไม้เล็ก ๆ เบ่งบานรอบแผงคอ ประเภทนี้ถูกเรียกว่า ‘ฮอร์สอันเดอร์’ ใช้ในพวกขนส่งทางบกกันอย่างแพร่หลาย
แต่ถ้าใช้ทางการทหารหรืองานทั่วไปก็จะมี ฮอร์สเบลซ, ฮอร์สมารีน, ฮอร์สสตอร์ม และฮอร์สโบล์ท
ส่วนสัตว์ตัวใหญ่ที่คล้ายช้างคือ ‘เอลเบาเซียส’ มีลำตัวสีขาวอมเทา มันแวววาวระยิบระยับ งายาวใหญ่โค้งงอขึ้นสวยงาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจึงเป็นที่มาว่าทำไมเกรเทลถึงรู้สึกขนลุกทุกครั้งเวลาเห็นมันมาที่ตลาดค้าทาส
นั่นก็เพราะเอลเบาเซียสไม่มีงวงช้าง มันมีแค่รูจมูกสองรูแบน ๆ ที่ดูลึกตันเข้าไป จึงทำให้หน้าตาดูน่าขนลุกขนพองซึ่งตัดกับสีมันวาวบนตัวมันอย่างแปลกประหลาด
แม้หน้าตาของมันจะดูไม่เป็นมิตรเท่าไร ทว่าทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าทำให้มันไว้ใจได้ก็ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ ตัวหนึ่งเช่นกัน ขอพนันได้เลยว่าเธอจะขอยืนมองห่าง ๆ แทนดีกว่าไม่ขอเข้าใกล้ใครอยากตีสนิทกับมันก็เชิญตามสบาย
เกรเทลกลัวหน้าตาของมันมาก
เมื่อเห็นว่าเหล่าพนักงานขนสินค้าต่างเริ่มทยอยเดินหายไปในกระโจมเพื่อพูดคุยเรื่องค่าจ้างตนเอง ฉะนั้นเวลานี้จึงปลอดคนแทบ 100% เธอต้องรีบใช้จังหวะนี้กระโดดขึ้นท้ายรถสักคันแล้วนั่งเงียบ ๆ จนกว่าจะพ้นเขตตลาดค้าทาสไปด้านนอก
เด็กสาวผมสั้นติดหัวเบี่ยงตัวแนบชิดขอบรถเลื่อน แล้วหันศีรษะซ้ายทีขวาทีอย่างรุนแรงเพื่อรีบดูว่ามีใครเดินผ่านมาหรือแอบอยู่แถวนี้หรือเปล่า เพราะถ้ามีแผนการที่เธออุตส่าห์คิดไว้ต้องล้มเหลว
จนเธอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จริง ๆ จึงตัดสินใจปีนกระโดดขึ้นไปยังรถที่มีผ้าคลุมขนาดใหญ่ปิดกรอบแผ่นไม้ที่ถูกตีล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายท้ายรถบรรทุก เกรเทลเลือกเบียดตนเองเข้าไปด้านในเกือบสุดทางแล้วนอนราบลงไปแล้วขดตัวเองให้เล็กที่สุด
สักพักเธอก็ได้ยินเสียงคนงานพูดคุยดังแว่วออกมาจากกระโจม เธอคิดว่าพวกเขาคงพูดคุยเสร็จธุระกันแล้วจึงออกมาเตรียมกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน
หัวใจภายในอกของเด็กสาวเริ่มเต้นโครมครามเธอไม่เคยได้ก้าวเท้าออกไปนอกเขตตลาดค้าทาสเลยสักครั้ง สภาพภายนอกจะแย่ขนาดไหน ทุรกันดารมากไหม เธอจะเอาตัวรอดได้จริงตามที่ตนเองคิดไหม เกรเทลตอบไม่ได้เลยแต่เธออยากเสี่ยงออกไปเพื่อที่จะได้หาทางกลับบ้าน
ฮี้! โฮรก!
รถเริ่มมีการสั่นไหวรุนแรงเล็กน้อยเพราะขบวนขนส่งกำลังเคลื่อนตัวออกเดินทางต่อ ทำให้เหล่าเอลเบาเซียสและฮอร์สอันเดอร์ส่งเสียงร้องกึกก้อง จนเธอต้องเอามืออุดหูเพราะไม่คิดว่าเสียงพวกมันจะดังได้ขนาดนี้
แรงเขย่าไปมาทำให้เกรเทลตัวไหลจนต้องคอยเกาะขอบไม้ไว้ พลันเหลือบสายตามองออกไปตามช่องว่างระหว่างไม้ที่ปิดไม่สนิทนัก ภาพวิวทิวทัศน์แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากที่มีต้นไม้เต็มไปหมดเริ่มกลายเป็นลานทะเลทรายกว้างที่เธอเคยจะได้ออกไปเมื่อตอนนั้น มันเป็นลานโล่ง ๆ ไม่มีอะไรนอกจากทรายและต้นหญ้าขึ้นเล็กน้อย
เธอเห็นว่าอีกเพียงแค่นิดเดียวก็จะถึงรั้วเขตตลาดค้าทาสแล้ว หัวใจเธอตอนนี้เต้นลุ้นระทึกจนเหมือนมันจะกระเด็นออกมาข้างนอกให้ได้ เด็กสาวมั่นใจว่าตนเองไม่เคยรู้สึกตื่นกลัวแบบนี้มาก่อนในชีวิต
มันเป็นเพราะอะไรกันแน่? แถมร่างกายเธอในตอนนี้ก็สั่นไปหมด ยิ่งตรงส่วนกลางหน้าผากเริ่มมีไอร้อนระอุขึ้นมาจาง ๆ เกรเทลเอื้อมมือเล็กขึ้นมาแตะหน้าผากตนเอง ผลปรากฏว่ามันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เธอลองเอาฝ่ามือตนเองกวาดแตะไปรอบกรอบหน้าจนทั่ว ทั้งผม หน้าผาก แก้มและลำคอ
พบว่ามันมีไอร้อนโผล่ขึ้นมาแค่จุดเดียวคือ กลางหน้าผากเท่านั้น
ขณะนี้หน้าผากร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย ยิ่งเธอเข้าใกล้เขตรั้วของตลาดมากเท่าไร มันยิ่งเปลี่ยนจากความร้อนเป็นปวดแสบระบมพร้อมลุกลามกลายเป็นปวดหัวในที่สุด นอกจากอาการหนักหัวนี้แล้วเกรเทลคล้ายรู้สึกหายใจไม่ออก มันแน่นหน้าอกเหมือนกำลังถูกใครบางคนบีบรัดตนเองตลอดเวลา
เธอตัดสินใจลุกขึ้นนั่งหอบหายใจแรงเพื่อกอบโกยเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด เหงื่อไหลเต็มท่วมตัวจนเสื้อแขนยาวเปียกชื้น มือไม้สั่นไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย อาการปวดแสบปวดร้อนทวีคูณความรุนแรงมากกว่าเดิมเมื่อรถคันที่เธอแอบซ่อนอยู่ใกล้ถึงปากทางออก
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนนี้สมองเธออื้ออึงไปหมด เธอคิดอะไรไม่ออกแล้วเพราะสติเริ่มขาด ๆ หาย ๆ หูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร หัวเหมือนกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่สามารถควบคุมอะไรได้
เธอไม่มียาหรือสิ่งของที่จะแก้ปัญหาฉับพลันนี้ได้ มือบางยกขึ้นกุมบีบหัวตนเองและพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่เพราะแรงสั่นของรถทำให้เธอล้มลงไปนอนดิ้นที่พื้นไม้แทน
สภาพเธอตอนนี้เหมือนปลาขาดน้ำนอนดิ้นไปมา เกรเทลคิดว่าเธอกำลังจะตายจากอาการปวดแสบปวดร้อนเหล่านี้ น้ำตาเริ่มเอ่อนองไหลไม่หยุดจนตาพร่ามัว เธอยังไม่อยากตายตอนนี้ภาวนาว่าใครก็ได้มาช่วยที แต่อีกใจหนึ่งก็ยังเป็นห่วงเรื่องการหลบหนีออกไป
…ฉันจะทำยังไงดี…
ความหวังที่จะได้กลับบ้านมันช่างดูห่างไกลจากตัวเธอเหลือเกิน เธอเริ่มสะอื้นร้องไห้เงียบ ๆ บนรถขนส่งเพื่อกันพนักงานมาได้ยิน เธออยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ ทุกอย่างมันตีรวนขึ้นมามากมาย แต่ทว่าเวลานั้นเองรถคันหน้าดันหยุดชะงักการเคลื่อนตัวทำให้คันหลังที่ตามมาต้องจอดตามไปด้วย
พอทุกอย่างหยุดนิ่งเธอก็รับรู้สถานการณ์รอบตัวได้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หางตาเห็นภาพจากช่องไม้ว่ารถคันของเธอจอดอยู่ตรงกลางอาณาเขตระหว่างโลกภายนอกกับรั้วเขตตลาดทาสพอดิบพอดี
เธอไม่รู้ว่ารถหยุดจากสาเหตุอะไรแล้วคันหน้าเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า สิ่งเดียวที่เธอสัมผัสได้ในตอนนี้คือความแสบร้อนที่หน้าผากอย่างเดียวเท่านั้น พยายามหายใจเข้าออกลึก ๆ ตั้งสติให้ดีตอนนี้เธอมาถึงครึ่งทางแล้วต้องอดทนอีกหน่อย
“ข้าว่าแล้วไม่มีผิดไอ้เจ้าหนู ยังแสบเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ เลย”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นท้ายรถคันที่เธอซ่อนตัวอยู่
…วอลล็อค? เขากลับมาแล้วเหรอ? …
เกรเทลยกศีรษะตนเองขึ้นมาดูทางต้นเสียง ปรากฏภาพตรงหน้าคืออีตาหัวเขียวเจ้านายใหญ่ของเธอที่กำลังยืนกระชากรอยยิ้มเย้ยหยัน สายตาเยือกเย็นจนน่าขนลุก ส่วนมือหนาได้จับยกผ้าคลุมสูงให้พ้นจากสายตา
“ข้าแค่ไม่อยู่ไม่กี่วันเจ้าคิดอยากเล่นแมวไล่จับหนูกับข้าอีกว่างั้นสินะ”
------
กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
𝑻𝒂𝒍𝒌 𝒘𝒊𝒕𝒉 𝒘𝒓𝒊𝒕𝒆𝒓
น้องเกรเทลหนูเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่นอนเลยก็คือน้องแผนล่มอีกแล้วค่ะสาว ตามชื่อบทเลยนะคะว่ามารผจญมันมีหน้าตาแบบนี้เลยค่ะแบบอีตาวอลดี้หัวผักของเรา รี้ดบางคนบอกนางมาในรูปแบบเจ้ากรรมนายเวรแน่นอน ฟันธง!
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in