น่าประหลาดใจกว่าคืองูเหมือนเข้าใจคำพูดเธอเพราะอยู่ดี ๆ มันกลับหยุดดิ้นแล้วนอนนิ่งให้เธอเขี่ยตาข่ายออกให้ ทว่ามันพันจนเป็นปมแก้ยากเธอจึงต้องมองหากิ่งไม้อีกอันเพิ่มนอกจากขนาดงูใหญ่แล้วตาข่ายที่เธอตากเอาไว้ก็ใหญ่ไม่แพ้กัน
ไม่ใกล้ไม่ไกลเธอเห็นมีกิ่งไม้จึงเดินไปหยิบมา เขี่ยแก้ปมไปหวาดเสียวโดนงูฉกไปแต่สุดท้ายเธอก็ช่วยมันออกมาได้ แน่นอนว่าปาไปเกือบชั่วโมงกว่าเธอจะช่วยคลายปมสังกะตังนี้
…ฉันโดนดุหูชาแน่วันนี้…
แค่คิดก็จิตตกแล้วปกติเธอเป็นคนตรงต่อเวลาเสมอ เวลาไปทำงานก็เข้าตามเวลาเป๊ะ ๆ ไม่มีขาดไม่มีเกิน คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เด็กสาวเข้างานสาย
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกมาติดตาข่ายได้ยังไงแต่ฉันต้องไปก่อนแล้ว คราวหลังก็อย่าเลื้อยไปติดอะไรแบบนี้อีกนะ”
พูดเสร็จเธอก็วิ่งจากมาทันทีโดยไม่ได้สนใจเลยว่ามีสายตาสีแดงฉานมองตามหลังบางไม่ละสายตา มันได้เลื้อยตามเกรเทลไปโดยอ้อมไปอีกทาง
เมื่อล็อกบ้านเจ้านายเสร็จร่างเล็กวิ่งหน้าตั้งไปยังโรงครัว โชคดีที่บาสเตียนเข้าใจเธอเขาไม่ได้ตำหนิอะไรมาก แค่กล่าวตักเตือนเล็กน้อยแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานหน้าที่ของตน
สำหรับเย็นวันนี้ค่อนข้างสบายไม่มีใครมากวนใจได้พักผ่อนเต็มที่ เธอเลือกจะเดินสำรวจรอบ ๆ ตลาดค้าทาสอีกครั้ง เกรเทลเดินไปนึกไปว่าคนส่งของมักจะมาช่วงบ่าย ฉะนั้นครั้งนี้เธอต้องมีแผนสำรองกันเหนียวไว้เพราะรอบก่อนเธอไม่ได้คิดแผนสอง
แถมใครจะไปรู้ว่าคนที่นี่ดันมีพลังแปลก ๆ ด้วย ซึ่งตั้งแต่อยู่มาเธอเห็นแค่อีตาวอลล็อคเท่านั้นที่ใช้ คนอื่น ๆ นอกนั้นก็เหมือนคนปกติทั่วไปไม่เห็นใช้พลังวิเศษกันเลย เกรเทลไม่เข้าใจกระบวนการคนที่นี่แม้จะอยู่มาร่วมเดือนแล้วก็ตามที
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ครบสามวันตามกำหนดการที่เธอจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ คนส่งของกำลังจะเข้ามาช่วงบ่ายเกรเทลต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งเสื้อผ้าและกระเป๋าเดินทาง โชคดีที่เธอมักพกกระเป๋าย่ามสะพายไปไหนมาไหนตลอดเวลาเสมอเลยกลายเป็นที่ชินตาของคนที่นี่
ไม่มีอะไรน่ากังวลไปกว่าการผิดสังเกตหรือคนงานที่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านว่าคนนั้นคนนี้เป็นยังไง เธอห่วงแค่สิ่งนี้สิ่งเดียวนอกเหนือจากนั้นเธอยังพอจะแถสีข้างถลอกได้
“วันนี้นายน่าจะกลับมาช่วงบ่ายแล้วแหละ”
เฟียซแวะมาบอกเธอตอนเช้าขณะที่เธอกำลังเดินแบกกระเป๋าไปยังโรงครัว ใจเธอเต้นโครมครามลุ้นระทึกกลัวจะผิดสังเกตตามที่คิดเอาไว้ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ แต่ก็ห้ามประมาทเด็ดขาด
“ขอบคุณมากเฟียซที่ท่านแวะมาส่งข่าวให้ข้า”
เกรเทลยังพยายามกดเสียงให้ทุ้มต่ำเหมือนเคย ตลอดเวลาที่วอลล็อคไม่อยู่ตลาดค้าทาส หลายวันมานี้เฟียซมักแวะมาเช็กดูเธอในทุก ๆ วันจริงตามที่พี่แกบอกเอาไว้วันนั้น
เธอเคยหลอกถามเขาว่าแวะมาดูบ่อยแบบนี้เนี่ย ตัวเองไม่มีงานมีการทำบ้างเหรอเลยเพราะระยะทางจากกระโจมด้านหน้าตลาดค้าทาสมันไม่ได้ใกล้ไม่ได้ไกลก็จริง แต่เดินมาก ๆ ก็หอบกินได้เช่นกัน แล้วคำตอบที่อีกฝ่ายได้กลับมาคือ
“อ่อมีสิ แต่นายสั่งไงข้าก็ต้องทำตาม ฮ่า ๆ ใครจะกล้าขัดจริงไหม”
เขาพูดติดตลกพร้อมยิ้มกว้างออกมาด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าและท่าทางเกรเทลรู้เลยทันทีว่าเฟียซซื่อสัตย์ต่อนายตนเองแค่ไหน เธอยิ้มส่งให้แล้วไม่ได้ถามอะไรต่อ
กลับมา ณ เหตุการณ์ปัจจุบัน เธอหวังว่าเขาจะไม่ทันสังเกตเห็นขนาดกระเป๋าสะพายของเธอที่มีขนาดใหญ่กว่าปกตินะ ในนี้มีทั้งเสื้อผ้าสองสามชุด อาหารแห้ง อุปกรณ์เอาตัวรอดไม่กี่อย่าง เช่น มีดเล่มเล็ก เข็มกับด้าย กระจก และของใช้ส่วนตัว
“เจ้ากำลังจะไปโรงครัวสินะข้าขอเดินไปด้วยคนแล้วกัน ข้ากำลังจะไปคุยกับบาสเตียนพอดี”
เกรเทลยิ้มค้างด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“ได้สิไม่มีปัญหา แล้วท่านจะไปคุยเรื่องอะไรกับบาสเตียนแต่เช้า”
เพื่อที่เขาจะได้ไม่มาสังเกตพฤติกรรมของเธอ เกรเทลจึงต้องหาเรื่องชวนคุยเบี่ยงเบนความสนใจเพราะสายตาทีแรกที่เธอเห็นจากเฟียซคือเขามองมายังกระเป๋าเธอ จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าเธอกำลังหนี
“อ่อก็พวกงบประมาณอาหารแต่ละมื้อนั่นแหละ อย่างที่เจ้าเห็นตอนนี้อาหารเพียงพอต่อคนงานทุกคนที่นี่แล้ว”
คนตัวเตี้ยกว่าพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจที่เขากำลังจะสื่อถึง เกรเทลพอรู้ข่าวมาบ้างจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ง่าย
“ก็จริงพักหลังมานี้อาหารที่โรงครัวพอสำหรับทุกคน เชฟบาสเตียนกับป้ากันนาร์เคยเล่าให้ข้าฟังว่าเมื่อก่อนวัตถุดิบทำอาหารที่นี่มีน้อยมาก”
“ใช่เกรเทล มันมีการยักยอกงบประมาณกันระหว่างนักบัญชีกับคนในโรงครัว อาหารจะมีไม่พอกินก็ไม่แปลกใจนักหรอก”
เรื่องนี้เธอรู้อยู่แล้วเพราะตนเองก็เข้ามาช่วยงานในโรงครัวทุกวัน จะไม่รู้วีรกรรมของคนครัวเก่าเลยก็ไม่ใช่เพราะคนอื่นเขาพูดกันเต็มไปหมด ขนาดเธอยืนหั่นผักเงียบ ๆ คนเดียวก็ยังมีคนใจดีคาบข่าวมากรอกหูให้ฟัง คิดดูว่าเป็นที่ฮือฮาแค่ไหนนั่งเมาท์กันสามสี่ห้าวันติดจนเธอเริ่มรำคาญ
“ที่แปลกใจคือนายออกคำสั่งไล่เด้งเรียงคนทันทีที่รู้ว่าใครทำแล้วให้เจ้าอารอล์ฟมาทำบัญชีแทน ข้าจำได้เลยว่านายโมโหมากแต่พยายามเก็บอาการไว้”
เป็นถึงนายใหญ่ของที่นี่ ไหนจะต้องคอยคุมงาน คุมทาส อีกทั้งบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ จะไม่โมโหเลยก็ไม่ใช่คนแล้ว เธอเดินไปด้วยฟังไปด้วยเกี่ยวกับนิสัยเจ้านายคนนี้จากปากคนสนิทขอเขา
“เป็นข้าก็โกรธเฟียซ”
“ใช่เป็นใครก็โกรธ ถึงนายจะทำอาชีพเป็นพ่อค้าซื้อขายทาส แต่การดูแลปากท้องคนในค่ายนายให้ความสำคัญที่สุด”
รูปประโยคหลังทำเอาคิ้วเกรเทลกระตุกเล็กน้อย อดสงสัยไม่ได้จึงปากไวถามออกไปจะตะครุบปากตนเองก็ไม่ทันเสียแล้ว
“แล้วทำไมถึงให้ทาสกินแต่ขนมปังแข็ง ๆ กับน้ำถ้วยเล็ก ๆ แค่นั้นล่ะเฟียซ?”
เธอแทบจะเอามือตีปากตนเองทันที เธอไม่รู้หรอกว่าเฟียซทำสีหน้าแบบไหนออกไปเพราะเธอพยายามหันหน้าไปมองชมนกมองไม้ไปเรื่อย ก็เล่นถามคำถามชวนวงแตกขนาดนี้แถมเธอยังเป็นทาสมันก็ดูไม่เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่หรอก
“อ่อ มันมีสาเหตุแต่เหตุการณ์มันก็นานแล้วแหละ เจ้าอยากฟังไหมล่ะเกรเทล?”
“อยากสิ”
ใบหน้าหวานพยักหน้าแรงจนเฟียซอดเอ็นดูเจ้าหนูข้าง ๆ ไม่ได้นอกจากเป็นเด็กช่างพูดมากแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นก็มีเยอะเสียด้วย มิน่าล่ะคนในค่ายถึงพูดต่อกันว่ามันเป็นเด็กฉลาดช่างคิดช่างถาม
“อืม…หลายปีก่อนอาหารไม่ใช่แบบนี้หรอกเกรเทล เราก็ให้ข้าวให้น้ำเหมือนคนงานเราดี ๆ นี่แหละ”
ร่างเล็กตั้งใจฟังเป็นอย่างดีดูสนอกสนใจเรื่องราวที่เขากำลังเล่า
“แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกทาสพร้อมใจแหกกรงหนีออกไปกันเกือบหมด ภาพยังติดตาข้าอยู่ว่านายวอลล็อคหัวหมุนอีกทั้งหัวเสียเหมือนกับตอนนี้ วันนั้นเขาต้องเรียกคนงานทั้งค่ายมาช่วยกันตามจับทาสกลับมา”
เป็นเหตุการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายที่สุดเท่าที่เขาทำงานที่นี่มาเพราะนอกจากทาสมีการขัดขืนไม่ยอมแล้วพละกำลังแรงกายก็ยังมีเยอะกว่าเดิมส่งผลให้การรวบตัวเข้ากรงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
“สาเหตุก็มาจากอาหารที่พวกเราให้กินนั่นแหละ เจ้าอยู่ในครัวรู้ใช่ไหมว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างช่วยเรื่องอะไรบ้างแก่คนงาน”
เกรเทลถึงบางอ้อทันทีที่เฟียซพูดขึ้น อาหารทุกเมนูในค่ายที่เชฟทำจะปรุงเสริมให้ร่างกายมีพละกำลังวังชา ไล่ความอ่อนล้าอ่อนเพลีย ขับเลือดลมให้ไหลเวียนมีสุขภาพดี ทุกอย่างผสมด้วยสมุนไพรธรรมชาติอย่างพิถีพิถันตามสูตรเฉพาะ
แม้จะไม่ใช่เมนูพิเศษเหมือนของวอลล็อค แต่บาสเตียนมักพูดอยู่เสมอว่าถ้าคนงานร่างกายแข็งแรงก็จะไม่ป่วย พอพวกเขาไม่ป่วยก็ไม่ต้องหาคนมาทำแทนให้เสียเวลาหรือจ้างคนเพิ่ม
ดูเหมือนว่าอาหารที่เอาให้พวกทาสกินกันก็คงมาจากหม้อเดียวกับคนงานงั้นสินะ
“พอเอาให้ทาสกินมันก็เสริมภูมิในร่างกายให้กลับมาแข็งแรง ข้าสังเกตตลอดทั้งก่อนและหลังจากที่ทาสคนคนหนึ่งมาที่นี่ ขาเข้ามาสภาพผอมแห้งดูโทรมแต่พอถูกขายออกไปหน้าตาดูแจ่มใสมีกำลัง”
อีกไม่ไกลนักพวกเราทั้งคู่ก็จะเดินมาถึงโรงครัวแล้วเฟียซจึงรีบเล่าส่วนที่เหลือให้จบ
“นายจึงสั่งให้เปลี่ยนอาหารทุกอย่างให้เหลือแต่ขนมปังกับน้ำเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ทาสมีแรงแหกกรงหนีไปได้”
คงเป็นสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมตอนนั้นเธอถึงได้กินแต่ขนมปังแข็ง ๆ กับน้ำถ้วยน้อย เกรเทลนิ่งเงียบไม่ได้กล่าวแทรกหรือถามอะไรออกไป
เฟียซจึงพูดปิดท้ายให้เจ้าหนูมันเข้าใจซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่ามันจะเข้าใจพวกเขาได้แค่ไหน แต่อย่างน้อยการบอกความจริงให้เจ้าหนูนี้รับรู้ก็ดีกว่าปล่อยให้มันเข้าใจผิดไปอีกทาง
“เจ้าฟังมาทั้งหมดมันอาจดูโหดร้ายทารุณสำหรับเจ้าที่เป็นทาสก็จริง แต่นี่มันธุรกิจเทา ๆ เกรเทลมีคนขายมาพวกเราก็รับซื้อแล้วแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองหรือของมีค่าให้ ในเมื่อสินค้าหายพวกเราก็สูญเสียมูลค่านั้นไปโดยเปล่าประโยชน์”
------
กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
𝑻𝒂𝒍𝒌 𝒘𝒊𝒕𝒉 𝒘𝒓𝒊𝒕𝒆𝒓
ที่มาของการได้กินขนมปังแข็ง ๆ และน้ำอันน้อยนิดในตอนนั้นนั่นเองค่ะคุณผู้อ่าน เห็นไหมว่าวอลล็อคเขาก็ไม่ได้แย่เสมอไป(ละมั้ง) แต่อย่างที่เฟียซบอกค่ะ พวกเขาทำธุรกิจกันอะไรที่เสี่ยงก็ต้องป้องกันเอาไว้ ความใจดีใช้ไม่ได้กับทุกคนเสมอไป
ไรท์หายไปนานเพราะเป็นพยาบาลจำเป็นให้คนที่บ้านค่ะ เป็นไข้หวัดใหญ่กันแล้วติดกันไปหมด แต่ยังสัญญาว่าจะเร่งทำ E-book ให้อดใจรอกันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งไรท์กันไปไหนเน้อ
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in