เธอรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบเป็นอย่างมาก พลังกำลังตอนนี้มีไม่เยอะเพราะไม่ได้กินอะไรเลยแม้กระทั่งน้ำ
น้ำหนักจากโซ่คล้องคอยิ่งเป็นตัวถ่วงให้เธอวิ่งช้าลงกว่าเดิม และสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบล่าสุดคือตัวเธอมีบาดแผลที่ฝ่าเท้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
คงเป็นมาก่อนหน้านี้โดยไม่ทันได้สังเกต เมื่อบาดเจ็บและไร้เรี่ยวแรงยิ่งตอกย้ำว่าการหลบหนีอาจสำเร็จได้ยาก
เกรเทลวิ่งไปหลบอยู่หลังกระโจมสีทึบหลังหนึ่งห่างไม่ไกลจากทางออก ตลอดทั้งวันเธอแอบฟังและสังเกตรอบ ๆ พบว่าที่นี่เป็นเหมือนย่านค้าทาสขนาดใหญ่ มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว
อาศัยความมืดบริเวณนั้นซ่อนตัว ได้ยินเสียงวิ่งวนไปมา เสียงตะโกนดังโหวกเหวก บรรยากาศตึงเครียด อัตราการเต้นหัวใจพุ่งสูง
เด็กสาวนั่งขดตัวให้เล็กที่สุด ฟังเสียงไปอีกสักพักแล้วชะโงกหน้าออกไปดู เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครจึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ทางออก
ระยะจากจุดที่เธอหลบกับทางออกไม่ได้ไกลมาก แต่ทำไมยิ่งเธอวิ่งเข้าไปใกล้มากแค่ไหนมันกลับค่อย ๆ ถอยห่างออกไป
บรรยากาศรอบข้างดูซ้ำไปมาทำให้รู้ว่าเธอวิ่งวนกลับมาอยู่ที่เดิม
…เป็นไปได้ไง? …
“คิดว่าข้าจะโง่ปล่อยให้ทาสหลุดมือไปได้โดยไม่ป้องกันงั้นหรือ”
เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง เขายืนมองนิ่ง ๆ มาที่เธอด้วยสายตาเย้ยหยัน
“อุตส่าห์ใจดีชวนมาทำงานด้วย แต่ข้าขอยอมรับว่ามีความพยายามดี”
เขาเดินตรงเข้ามาแล้วคว้าต้นคอของเกรเทลแล้วยกขึ้น
“งั้นข้าสรุปเองเลยแล้วกันว่าเจ้าปฏิเสธข้อตกลงข้าเมื่อครู่”
เหมือนเธอเห็นเงามัจจจุราชลาง ๆ กำลังคืบคลานมา น้ำเสียงทุ่มต่ำติดจะแหบพูดด้วยความใจเย็น
จากสถานการณ์ที่พังไม่เป็นท่าสุดท้ายเกรเทลถูกจับยัดเข้ากรงเหมือนเดิม เพิ่มเติมโดนล็อคโซ่ที่ข้อมือและข้อเท้า
แม่งเป็นประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้ที่ใด
หลังจากหลบหนีครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จตามที่วางแผนเกรเทลก็หาได้เข็ดไม่ นางยังคงวางแผนที่สองต่อโดยทันทีแม้ว่าอุปสรรครอบนี้จะมีตัวถ่วงเพิ่มเข้ามาอย่างโซ่ตรวนข้อมือข้อเท้า
เธอจะไม่ยอมแพ้ตราบใดที่ยังหลุดออกไปไม่ได้แต่ก็ไม่อยากคาดหวังมากจนทำให้เจ็บใจทีหลัง
“อันนี้ของเอ็ง”
เสียงผู้คุมดังขึ้นเหนือหัวในมือเขายื่นขนมปังหนึ่งก้อนกับถ้วยน้ำเปล่าขนาดเล็กลอดผ่านซี่กรงเข้ามาให้ เธอจึงเอื้อมมือออกไปรับเงียบ ๆ เมื่อเสร็จหน้าที่เขาก็เดินจากไปส่งอาหารให้กับทาสคนอื่นต่อ
แม้ว่าขนมปังจะแข็งฝืดคอไปบ้างเกรเทลก็รีบจัดการอาหารในมือ รู้สึกเหมือนตนเองจะเป็นลมไปทุกทีเพราะเรี่ยวแรงถูกใช้กับการวิ่งหนีก่อนหน้านี้ อย่างน้อยมันก็พอประทังชีวิตไม่ให้เธออดตายไปเสียก่อน
“ค่อย ๆ กินเดี๋ยวก็ติดคอหรอกไอ้หนู” เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยทัก
ร่างเล็กค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง ในใจสงสัยว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“ข้าแปลกใจนักว่าร่างผอมแห้งอย่างเจ้ายังมีแรงวิ่งหน้าตั้งได้ขนาดนั้น”
เกรเทลเพิ่งมีโอกาสได้สังเกตอีกฝ่ายชัด ๆ ว่าตัวเขาค่อนข้างสูงใหญ่ นอกจากมีดีที่หน้าตาและทรงผมแล้วเสื้อผ้าก็จัดอยู่ในหมวด…ดำล้วน
เสื้อแขนยาวสีดำดูรุ่มร่ามกับกางเกงขายาวสีดำที่ดูขาด ๆ คาดด้วยเข็มขัดหนัง สวมรองเท้าบูตยาวครึ่งน่องทำให้ภาพลักษณ์อีกฝ่ายดูน่าเกรงขาม
เขาเดินมาใกล้แล้วย่อตัวนั่งย่อง ๆ ตรงหน้า
“ว่าไงคุยด้วยทำไมไม่ตอบ”
“…”
สายตาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกกดดันพอสมควรถึงเขาจะเหมือนมาดีแต่เธอก็ไม่ไว้ใจ
“ตามใจ”
เขายักไหล่ไม่ใส่ใจกับท่าทีของเด็กตรงหน้าแล้วเตรียมลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปทำงานของตนเองต่อ
“เดี๋ยวก่อน!”
เสียงเล็กเบา ๆ ติดแหบร้องเรียกจนเขาต้องหยุดชะงัก เกรเทลพยายามกดเสียงในลำคอให้ทุ้มต่ำที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอเป็นเด็กผู้ชายฉะนั้นก็จงเป็นเด็กผู้ชายให้สมใจ
“คือ…คุณ ไม่สิ ท่าน”
ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาคนที่นี่ส่วนใหญ่จะใช้คำสรรพนามเรียกกันแบบนี้
“ที่ท่านเคยบอกว่าอยากให้ข้าไปทำงานด้วยจริงไหม”
นาทีนี้เป็นใครก็คงต้องรีบคว้าโอกาสไว้แต่สำหรับเธอมันอาจจะเป็นโอกาสที่ช่วยให้ออกไปจากที่นี่ได้เร็วยิ่งขึ้น
“หื้ม? เจ้าเพิ่งนึกได้หรือ”
ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดส่วนมือก็ลูบคางไปด้วย เกรเทลจ้องมองปฏิกิริยาของคนตรงหน้าด้วยใจที่ลุ้นระทึกผ่านไปสักพักประโยคที่เขาเอ่ยออกมาดันทำเอาเธอปวดหัวจี๊ด
“พอดีว่าข้าปิดรับสมัครคนงานแล้วด้วยสิไอ้หนู”
“…”
เขากระชากยิ้มเย้ยหยันใส่คนในกรงเหล็กรู้สึกสนุกกับการได้เห็นสีหน้าตลก ๆ ที่มันแสดงออกมา
“อีกอย่างเจ้าก็เพิ่งก่อเรื่องไปมิใช่หรือ ข้าจะไว้ใจเจ้าได้อย่างไร”
------
กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แปลพลาด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
𝑻𝒂𝒍𝒌 𝒘𝒊𝒕𝒉 𝒘𝒓𝒊𝒕𝒆𝒓
ถามว่านางจะเข็ดไหมคำตอบคือไม่ค่ะ เดี๋ยวได้เห็นวีรกรรมแสบ ๆ อีกไม่ต้องห่วง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in