ต่อจากตอนที่แล้ว ที่เราซมซานกลับไปหาหมอจิตหลังจากหยุดยาไปได้ไม่ถึงเดือน วันนั้นหมอจิตให้ escitalopram มากินดังเดิม ก็กินไปตามที่หมอสั่ง วันละ 1 เม็ด ตอนเช้า เหมือนเดิมเด๊ะๆ
กินไปก็นั่งรอวันที่ยาออกฤทธิ์ไป ใช้ชีวิตไปแบบเหนื่อยๆ เพลียๆ เบื่อๆ เซ็งๆ ห่า ชีวิตเฮงซวย อุ้ย โทษๆ อินไปหน่อย แต่ดูเหมือนยามันไม่ยอมออกฤทธิ์สักที จากแต่ก่อนตอนที่เริ่มกิน fluoxetine อันนั้นอาทิตย์เดียวก็โลกสดใสแล้ว ตอนกิน escitalopram ครั้งแรกก็ได้ผลดีอยู่ อาทิตย์สองอาทิตย์ก็ดีขึ้นแล้ว แต่คราวนี้ไม่ใช่ คราวนี้รอแล้วรอเล่าอารมณ์มันก็ไม่ดี คือมันก็ดีขึ้นแหละ นิดนึง แต่มันยังมีความรู้สึกอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่อยู่ ความคิดพวกนั้นมันจะมาวนเวียนอยู่ในหัวตลอดไม่ว่าจะทำอะไร พยายามทำให้ตัวเองเริงร่าแต่มันก็ทำไม่ได้ แค่ฝืนยิ้มในเวลาที่ไม่อยากยิ้มยังยากเลย
ด้วยหน้าที่การงานของเรา เราต้องพบเจอผู้คนมากมาย เราต้องเสแสร้งแกล้งทำ เราต้องเยินยอคนที่ไม่น่าเยินยอ เราต้องขอโทษในสิ่งที่เราไม่ได้ผิด เราต้องยิ้มแล้วพูดว่าไม่เป็นไรทั้งๆ ที่ในใจนี่แทบอยากจะถอดรองเท้าตบหน้าแม่ง เราต้องทำเป็นคนอัธยาศัยดี ชวนเค้าคุยขิงข่าดินฟ้าอากาศ รถติดมั้ยคะ ออกจากบ้านกี่โมง มาทางไหนคะ เจนมาไม่ติดเลยค่ะ แล้วจอดรถตรงไหนคะ หานานมั้ย ใช่ค่ะ มาสายจะไม่มีที่จอดรถ อ๋อ เจนมาแท็กซี่ค่ะ สบายหน่อย ค่ะ วันนี้ฝนตกแน่เลย น่าเบื่อจังค่ะ แถวนี้น้ำท่วมด้วย น่ากลัว ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ
ทำไมมนุษย์เราถึงคิดกันว่าการนั่งมองฟ้ามองกำแพงเงียบๆ โดยไม่ต้องคุยกัน มันเป็นเรื่องที่ผิด ที่ไม่ควรทำ เรามีความสุขและสบายใจมากกับการนั่งรถเงียบๆ หรือนั่งรออะไรกับใครเงียบๆ โดยไม่ต้องสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยเพื่อทำลายความเงียบ เราไม่อึดอัด เราชอบ แต่คนอื่นไม่ชอบ เค้าชอบชวนคุย เค้าไม่ชอบการนั่งเงียบๆ ข้างๆ กัน จริงๆ มันก็ปัญหาของเค้ามั้ย ทำไมเค้าไม่แก้ที่ตัวเค้าเองล่ะ ทำไมเค้าไม่หัดนั่งเงียบๆ กันบ้าง ทำไมต้องเป็นเราที่ต้องเปลี่ยนตัวเอง ทำไม
ก่อนจะหาหมอจิต เราสติแตกใส่แค่กับเพื่อนและคนที่ทำงาน แต่กับคนอื่นที่ทำงานด้วยและคนที่บ้าน เราทำเป็นว่าเราปกติ เราแฮปปี้ เรายิ้ม เรามีความสุข เราเลือกที่จะไม่บอกคนที่บ้านเรื่องนี้เพราะเราไม่อยากให้เค้าโทษตัวเอง เค้าเลี้ยงเรามาดีที่สุดเท่าที่เค้าจะทำได้แล้ว การที่เราไม่มีความสุขมันคือปัญหาของเรา ไม่ใช่ปัญหาของเค้า แต่ช่วงหลังนี้ดูเหมือนเราจะไม่มีแรงฝืนทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว เราไม่ค่อยแคร์คนอื่นมากเหมือนแต่ก่อน ความอดทนเรามีจำกัด เราไม่อยากคุยเราก็จะไม่คุย เราอยากเงียบเราก็จะเงียบ เราไม่อยากยิ้มเราก็จะไม่ยิ้ม เราไม่อยากตอบอะไรเราก็จะไม่ตอบ...ถ้าคนถามฉลาดพอ เค้าก็จะรู้ว่าการไม่ตอบของเรามันก็คือการตอบแล้ว
กินยาไปได้ 1 เดือน ถึงเวลาที่หมอจิตนัด follow up สิ่งแรกที่หมอถามเมื่อเจอหน้าคือเป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นรึยัง
“ยังค่ะ” เราตอบ
หมอถามว่าทำไม เราบอกไม่รู้ เราไม่ได้โกหก เราไม่ได้ปิดบังอะไรหมอ แต่เราไม่รู้จริงๆ เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้ เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงอยากตาย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงฝันว่าเราอยากโดดตึก
ในฝัน...เรายืนคุยโทรศัพท์กับหัวหน้าอยู่ที่ตึกจอดรถ คุยเรื่องงาน รอบตัวเรามีรถจอดอยู่เต็มลานจอด เราเดินไปที่ขอบตึก เรามองไปด้านล่าง เราเห็นว่ามันสูง เรารู้สึกแปลกๆ เรามองไปอีกทาง เราเห็นหนังสือเล่มนึงวางอยู่ มันมีคำว่าตายอยู่บนหน้าปกสีพาสเทล แล้วเราก็รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆ เมื่อกี้คืออะไร เราอยากโดดลงไป เราอยากทิ้งทุกอย่าง เราอยากยอมแพ้ แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างมาหยุดเรา เหมือนจะเป็นใครสักคน เราจำไม่ได้
หาหมอคราวนี้เราเล่าเกือบทุกอย่างให้หมอฟัง เล่าความรู้สึกทั้งหมด เล่าความฝัน หมอถามเราว่า อะไรทำให้เราตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตาย เราตอบไม่ได้ เรานั่งคิดอยู่นานมาก นานจนหมอต้องเช็คว่าเราช็อคไปแล้วรึเปล่า เราไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร ตลอดเวลาเรารู้สึกแต่ว่าเราอยากตาย แต่อีกความคิดนึงก็เอาแต่พร่ำบอกเราว่า ไม่ได้ แกห้ามตาย มันผิด เราก็เลยไม่ทำ
“คงเป็นความคิดที่รู้ว่ามันไม่ควรทำมั้ง ไม่รู้สิ” เราบอกหมอ
หมอมองหน้าเราพักนึงแล้วก็เงียบไป
เราคุยกันหลายเรื่องในวันนั้น หมอพยายามจะหาสิ่งที่ทำให้เราเครียด แต่หมอก็หาไม่เจอ ไม่ใช่แค่หมอ เราเองก็หาไม่เจอ หมอดูจะแปลกใจว่าทำไมเรากินยาแล้วถึงไม่ดีขึ้น ทั้งๆ ที่ยาตัวนี้มันเคยทำให้เราดีขึ้นในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หมอดูเครียด เครียดกว่าทุกครั้งที่เราเจอเค้า
หมอสั่งให้เพิ่มโดสยา จากวันละ 1 เม็ด เป็นวันละ 1 เม็ดครึ่ง
“คราวนี้ขอนัดเร็วหน่อยนะ” หมอบอก “อาการไม่ค่อยดี ผมขอนัด 2 อาทิตย์นะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in