เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryFayathi Sorap
จะรักไปจนกว่า...
  •      ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร                      ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
    แม้เกิดในใต้หล้าสุธาธาร                               ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
    (ผู้แต่ง - สุนทรภู่ จากวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี)

         "..For better or worse. Till death do us part. I love you with every breath of my heart. I swear.."
    (เพลง I swear ของศิลปินวง All-4-one)

         "..แล้วเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป.." 
    (จุดจบของเทพนิยายทั้งหลายทั้งแหล่)



         รู้สึกไหมว่า เรามักถูกปรนเปรอด้วยบทเพลง วรรณกรรม หรือสื่อต่างๆที่พร่ำเพ้อคำว่า "เราจะรักกันตลอดไป รักไปจนตาย รักจนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน.." บลา บลา บลา 
         เบาหวานจะรับประทานตาย

         ฟังแล้วได้แต่นึกสงสัยว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน ข้อความเหล่านี้ มันจะเป็นความจริงสักกี่มากน้อยกันเชียว



         ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แค่รู้สึกว่า ความรักในยุคนี้มันช่างเปราะบางแตกหักง่ายเสียเหลือเกิน และเหตุผลที่พอนึกออกก็คือว่า


         1. คนสมัยนี้ไม่ค่อยอดทน 
         เคยอ่านเรื่องจากต่างประเทศ(เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน) เขาไปสัมภาษณ์คู่ที่อยู่ด้วยกันมานานว่ามีเคล็ดลับอะไร คำตอบคือ "เรารู้จักที่จะซ่อมแซมมากกว่าจะทิ้งขว้าง" (คำอาจไม่เป๊ะนะคะ ขออภัย) 

         ตัดภาพมาที่คนยุคนี้ ไม่ต้องถึงเรื่องความรักหรอก เอาแค่การใช้สอยสิ่งของทั่วไป 
    - รองเท้าส้นหลุด..ก็ทิ้ง 
    - เสื้อเป็นรู..ก็ทิ้ง
    - กระเป๋าซิปขาด..ก็ทิ้ง
         ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า สมัยนี้ซื้อใหม่มันถูกกว่า หรือร้านซ่อมมันหายาก หรือเพราะคนสมัยนี้ไม่ค่อยได้เรียนการฝีมือในการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ(นี่ก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน) 

         แล้วความรักจะไปเหลืออะไร อ๋อ ทะเลาะกัน เถียงกัน มีปัญหากันมากนัก...

         ก็ทิ้ง...ไปหาใหม่


         2. ทุกคนยืนได้ด้วยตัวเอง
         สมัยก่อนผู้หญิงมักอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ด้วยเหตุนี้จึงต้องแต่งงานเพื่อให้ผู้ชายหาเลี้ยง และว่ากันว่าในความสัมพันธ์นั้น มักเป็นฝ่ายหญิงที่ต้องยอมทนเพื่อให้ชีวิตคู่ไปต่อได้

         ตัดภาพมาที่...ยุคปัจจุบัน 

         ก็ไม่รู้นะประเทศต่างๆเป็นยังไง แต่ ณ ประเทศที่อยู่เนี่ย ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ทำงาน มีเงินเดือนใช้ หาเลี้ยงตัวเองและครอบคร้ว เผลอๆบางคนก็ได้เงินเดือนสูงเสียด้วย และด้วยเหตุนี้ my set ของพวกเราก็คือว่า ถ้าจะมีแฟน ต้องมีให้ได้ดีกว่าอยู่คนเดียว เราจะไม่ด้อยมาตรฐานตัวเองลงมาเพื่อคว้าไอ้กร๊วกที่ไหนก็ได้มาเดินข้างๆ

         และเมื่อเผลอคว้าคนห่วยๆมา เราก็จะไม่ทน!! เพราะความสุขในชีวิตของเราสำคัญกว่าการมีแฟน 


         3. คนยุคนี้เลิกกันง่ายมาก
         อันนี้ก็เป็นความรู้สึกตัวเองล้วนๆอีกนั่นแหละ เหมือนเห็นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เขานี่ ชีวิตคู่มีปัญหายังไงก็ยังทนทู่ซี้อยู่แบบนั้น แต่คนยุคนี้คือ ไม่ว่าจะคบกันมากี่ปี อยู่กันมาสถานะไหน ก็เหมือนจะเลิกได้ทั้งนั้น 

         มีคู่ที่เห็นว่าเป็นแฟนกันอยู่ สักพักก็มีเพื่อนมาบอกว่า เขาเลิกกันละนะ (อ้าว วันก่อนยังเห็นดีๆกันอยู่เลย)
         มีคู่ที่แต่งงานไปแล้ว ต่อมาเพื่อนก็มาเล่าว่า เลิกกันแล้ว (อ้าว นี่เขาคบกันตั้งแต่สมัยเรียนเลยนะ!! / เพื่อนบอก สงสัยอยู่ด้วยกันแล้วไม่เวิร์คมั้ง) 
         มีคู่ที่แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว จู่ๆเพื่อนก็มาเล่าว่า เขาเลิกกันแล้วแก (เฮ่ย เขามีลูกกันแล้วนะ!!!)

         เราผู้ซึ่งไม่ค่อยยุ่งกับใครและอาศัยเพื่อนคาบข่าวมาบอกเรื่อยๆ ได้ฟังแล้วก็เกาหัวแกรกๆ อะไรวะ???


         4. รักอิสระมากขึ้น + ความกดดันสังคมที่ลดลง
         (ความเห็นส่วนตัวอีกเช่นเคย) มีหลายคนมากในยุคนี้ที่บอกสาเหตุการเป็นโสดว่า "มันก็อิสระดีนะแก อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ" 
         ...สาวโสดเป็นกันหลายคน หนุ่มโสดก็อาจจะเป็นเหมือนกัน 

         อย่างที่บอก เดี๋ยวนี้ทุกคนอยู่ได้ด้วยตัวเอง และพออยู่ได้ด้วยตัวเองมันก็จะมีความรู้สึกที่ว่า อยู่คนเดียวก็ได้นี่หว่า หาความสุขให้กับชีวิตไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องรับใครอีกคนเข้ามาให้ปวดหัว

         ปัจจัยเสริมอีกอย่างคือ สังคมเดี๋ยวนี้ไม่ได้กดดันว่า เฮ่ย สามสิบต้องแต่งงานแล้วนะเว่ย สาวเทื้อนะเว่ยหาแฟนไม่ได้ (ไม่ได้ไปเทื้อบนกบาลแกสักหน่อย)
         และก็อย่างที่จิกกัด พอเจอการกดดันจากรอบข้าง หลายคนก็จะตอบแบบ หนักหัวแกรึไง  หรือไม่ก็ เงินเดือนเป็นแสนแฟนไม่จำเป็นโว้ยย (ชอบบบ) เท่ากับว่าคนยุคนี้ไม่ได้มองว่าคนเราต้องเกิดมาเพื่อแต่งงานมีครอบครัว อีกต่อไป

         ก็ นั่นแหละฮะ เหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่า คำว่า "จะรักกันตลอดไป" มันอาจจะเลี่ยนไปสำหรับคนยุคนี้



         อย่าเพิ่งคิดไปว่าเราไม่เชื่อในความรัก เพราะอีกมุมหนึ่ง เราก็เห็นว่ามีอีกหลายคู่ที่ รักกันมายังไง ปัจจุบันก็ยังรักกันอยู่อย่างนั้น เรายังคิดว่าพวกเขาน่ารักดีอยู่เลย 

         เราคิดว่า การรักกันไปตลอดชีวิต หรือรักไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้นะ ถ้ามันมีเหตุผลที่เพียงพอ...

         ...วันหนึ่ง แม่เปิดวิทยุสถานีเพลงลูกกรุง เราฟังเพลงถึงท่อนที่ร้องประมาณว่า ฉันจะรักเธอไปจนตาย แล้วนึกในใจตามไปว่า
         "...แต่ถ้ามึงเห้ กูเลิก.."

         ค่ะ และเหตุผลที่ว่านั้นก็คือ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องยังรักเรา ซื่อสัตย์กับเรา เป็นคนรักที่น่ารัก หรือก็คือเป็นคนดีเพียงพอและควรค่าแก่การรัก และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้รู้สึกว่า การมีเขาในชีวิตทำให้เรามีความสุข..มากกว่าไม่มี
         ถ้าเป็นแบบนั้นจะให้รักไปตลอดชีวิตก็เห็นจะไม่ผิดอะไร 
         

         ความรักมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่ไม่นอนหรอก สามารถเกิดขึ้นหรือหายไปได้เสมอโดยไม่ต้องมีเหตุผล แล้วคู่รักหนึี่งคู่ก็ไม่ใช่รถยนต์ ที่พอน้ำมันหมดแล้วเอาไปเติมน้ำมันก็สามารถวิ่งต่อไปได้
         ..คนเราเนี่ย บางที พอหมดรักกันแล้ว เติมอย่างไรก็ต่อไม่ติด ต่อให้ไม่มีใครผิดก็เถอะ
         ..ยิ่งถ้ามีคนที่สามที่สี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนี่ ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวไปกันใหญ่


         บางที สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับความรัก อาจเป็นหลักการที่ว่า ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด 
         เมื่อมีคนรักอยู่ ก็รักให้เต็มที่ ดูแลอีกคนให้ดีที่สุด เพื่อว่าหากเกิดอะไรขึ้น จะได้ไม่มาเสียใจทีหลังว่า ถ้าตอนนั้นเราทำ... คงไม่ต้องรู้สึก... 
         และในขณะที่เต็มที่กับความรักก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่า ความรักแบบคู่รักเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และสามารถจากเราไปได้ทุกเมื่อ จะได้ยังพอมีสติอยู่กับตัวเองบ้างเมื่อเกิดอะไรขึ้น 

         "แม้สุดท้ายจะเหลือเพียงฝัน หรือจะเป็นอย่างไรก็ตาม ฉันจะทำวันนี้ให้ดีดังใจ.." 
    (เพลง สิ่งสำคัญ ของศิลปินคือ ดา เอ็นโดรฟิน) 

         
         ขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด และหากมีความรัก ก็รักให้เต็มที่นะคะ


         ว่าแต่ว่า คุณผู้อ่านเติมคำในช่องว่างของตัวเองในประโยคที่ว่า

         "จะรักไปจนกว่า.." 

         ได้แล้วหรือยังคะ? 


         ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่

         https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html
         ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
         จนกว่าจะพบกันใหม่
         สวัสดีค่ะ





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in