"จบแล้วทำไรดีวะมึง"
นี่เป็นคำถามยอดฮิตที่เรามักจะถูกเพื่อนถามอยู่บ่อย ๆ ในช่วงนี้
แต่เป็นคำถามที่ไม่ค่อยได้ถามนักกับตัวเอง ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสได้กลับมาทบทวนอยู่หลายครั้งเพราะสนิทกับรุ่นพี่ปีสี่ค่อนข้างเยอะ และเห็นภาพนั้นมาตั้งแต่ตัวเองอยู่ปีสาม
ไม่ใช่ไม่ค่อยถามสิ
คงเป็นพยายามไม่คิดมากกว่ามั้ง
เพราะจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ตัวเองอยากทำและทำมันได้ดีถึงขั้นเอามาเป็นอาชีพได้
แต่ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่คิดยังไง วันที่ต้องกลับมาคิดถึงอนาคตก็ต้องมาถึงอยู่ดี
พอใกล้วันเรียนจบ การจัดปัจฉิมนิเทศน์แบบออนไลน์ของอาจารย์ก็บีบบังคับให้เรากลับมาคิดเกี่ยวกับอนาคตมากขึ้น อาจารย์ให้รุ่นพี่ที่ปัจจุบันจบการศึกษาไปแล้วและตั้งรกรากอยู่ที่ต่างประเทศมาแนะนำการทำมาหากินในอนาคตให้เด็กในภาค
รุ่นพี่คนที่ 1 อาศัยอยู่ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เปิดกิจการร้านอาหารที่มีสาขาอยู่ถึง 3 ที่ด้วยกัน พี่เขาเล่าว่าอาจจะเป็นเพราะความโชคดีด้วยที่คนรู้จักกำลังจะเลิกทำร้านอาหาร จึงขายต่อร้านให้ ซึ่งกว่าจะมีกิจการที่รุ่งเรือง สามารถจ่ายภาษีในฐานะ citizen คนนึงได้ก็ยากลำบากอยู่พอสมควร พี่เขาเล่าว่าถึงแม้จะเหนื่อยสักหน่อยแต่ในท้ายที่สุดก็ได้ใช้ชีวิตแบบที่เป็นชีวิตของตัวเองจริง ๆ ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างและที่สำคัญหากมีเรื่องด่วนก็สามารถหยุดงานได้โดยไม่ต้องมาคำนวณวันลาพักร้อน
'นี่แหละชีวิตที่ใฝ่ฝัน !!' ถ้าจะให้เริ่มพูดเกี่ยวกับความฝันของเรา เบสิกสุด ๆ ก็อยากได้แบบนี้แหละ
ชีวิตที่ไม่ต้องกดดันจากคำพูดของคนอื่นหรือความคาดหวังจากตำแหน่งในที่ทำงาน ที่สำคัญเราสามารถจัดสรรเวลาให้ชีวิตส่วนตัวได้ด้วย เพอร์เฟคสุด ๆ
รุ่นพี่คนที่ 2 ทำงานเป็น caregiver อยู่ที่เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลียเช่นกัน โดยพี่เขาเริ่มต้นจากการไป work and holiday ที่อเมริกา ไป ๆ มา ๆ ก็มาทำต่อที่ออสเตรเลีย จนได้งานประจำที่ชอบจริง ๆ ตอนนี้ชีวิตก็ลงตัวมีความสุข
โห อันนี้ก็ดูดีว่ะ ไปเวิร์คก็ได้ประสบการณ์แถมได้เงินด้วยอ่ะ ถ้าทำไปเรื่อย ๆ อาจจะเจอสิ่งที่ชอบเหมือนพี่เขาก็ได้ อีกอย่างแค่รายได้งานเสิร์ฟตามร้านอาหารที่ต่างประเทศอาจจะได้เงินเยอะกว่าพนักงานออฟฟิศบ้านเราอีก
รุ่นพี่คนที่ 3 ทำงานเป็นพยาบาล อยู่ที่อเมริกา พี่คนนี้เลือกเรียนหลักสูตรพยาบาล 4 ปี ในความคิดเราคงประมาณแบบเลือกเรียนปริญญาอีกใบเลยอะไรแบบนี้มั้งนะ ดูจากหน้าตาพี่เค้าตอนเล่าก็ดูชีวิตดีมีความสุข เพราะพยาบาลที่อเมริกางานหนักไม่เท่าพยาบาลที่ไทย แถมยังเงินเดือนเยอะอีก
อืม ให้เรียนตรีอีกใบคงไม่ไหวหรือว่าเลือกเรียนต่อโทดีวะ ยังไง ๆ ถ้าจบปริญญาตรีจิตวิทยา แล้วไปต่อโทการตลาดก็ดูทำงานได้หลายสายอยู่นะ ยิ่งถ้าต่อโทต่างประเทศ แล้วได้กลับมาทำงานที่ไทย นี่มันประชากรชั้นหนึ่งชัด ๆ
แต่
โห นี่มันพวกอีลีทนี่หว่า คนฐานะปานกลางที่พ่อแม่ทำอาชีพค้าขายแบบเราจะเอาเงินที่ไหนไปมีแบบเขาเนี่ย
นี่คือสิ่งที่เราคิด เมื่อมองกลับมาที่ความเป็นจริง
ไม่ว่าการไปต่างประเทศ ไปเวิร์ค ไปเรียนต่อล้วนต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลแน่ ๆ อีกอย่างสกิลภาษาอังกฤษของเราก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากถ้าเทียบกับเพื่อน ๆ รอบตัว
แค่เทียบกับเพื่อนยังขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสอบชิงทุนกับคนทั่วประเทศเลย
ดูถูกตัวเองไปอีก
แต่มันจริงนี่หว่า
และแล้วการโทรหาเพื่อนแบบมาราธอนในช่วงเย็นหลังจากจบปัจฉิมก็เริ่มต้นขึ้น
เราเปิดประโยคการสนทนาแบบเดียวกันกับเพื่อนประมาณ 2-3 คนที่โทรหาว่า
"จบไป กูทำไรดีวะมึง"
เพื่อนแทบทุกคนที่เราโทรไปหา ก็จะถามเรากลับมาด้วยประโยคที่ว่า
"แล้วมึงอยากทำอะไร"
ลึก ๆ แล้วเราก็รู้อยู่แก่ใจแหละว่าคนที่จะตอบคำถามนี้ได้ ไม่ใช่เพื่อนของเราแต่เป็นตัวเราเอง
ขอเกริ่นก่อนว่าเราเป็นเด็กคนนึงที่มีโอกาสได้เรียนคณะที่ตัวเอง 'คิดว่า' ชอบ จนกระทั่งได้มาเรียนจริง ๆ ก็ค้นพบว่าเราก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แค่รู้สึกว่ามันแปลกใหม่และน่าสนใจเฉย ๆ แต่พอได้ลองฝึกงานถึงรู้ว่านี่แหละ นรกของการเลือกเรียนสิ่งที่เราไม่ได้ศึกษางานของคณะนั้นให้ดี
ถ้าพูดถึงการเรียนในห้อง ท่องแล้วไปสอบก็เชื่อว่ามีหลายคนที่ทำได้ดี แต่พอไปทำงานของจริง ใครบอกว่าเราจะทำมันได้ดีเหมือนกับตอนเรียนวะ ไม่ใช่ซะหน่อย
ตอนนั้นมันเป็นแค่ความคิดตื้น ๆ ของเด็กอายุ 19 ปี ที่ว่า เรียนไปเรียนมาก็ไม่ได้ชอบนะเนี่ย แต่จากเกรดก็พอทำได้ดีอยู่แหละ คงเอาไปทำงานได้ล่ะมั้ง
แต่พอโตขึ้น ความเป็นจริงที่ว่าก็ได้ทำลายชุดความคิดตื้น ๆ นั้นของเรา
หลังจากการโทรคุยกับเพื่อน ๆ จบลง เราก็ได้ทางเลือกที่ตอนนี้เด็กจบใหม่ที่ไม่รู้ที่ทางอย่างเราควรจะทำอยู่ประมาณ 3 ทาง
1. เรียนต่อโท
พอลิสต์สิ่งที่ต้องทำได้แล้ว เราได้ทำการเสิร์ชจากเว็บไซต์ยอดนิยมที่คนมักใช้ตั้งกระทู้เพื่อถามหาความคิดเห็นของคนไทย
'Pantip'
ไปเจอกระทู้นึงที่ไม่ว่าจะอ่านทวนอีกกี่รอบก็เหมือนว่าตัวเองมาเขียนกระทู้ซะเอง
กระทู้: เรียนจบม.ดังแล้วแต่เคว้งมาก ไม่รู้จะทำอะไรดีค่ะ เลยคิดว่าจะไปเรียนต่อโทก่อน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเรียนอะไร
เจ้าของกระทู้เล่าประมาณว่าที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัวอยู่แล้ว จบมาก็สามารถไปช่วยที่บ้าน แต่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้พ่อแม่ภูมิใจเลย ถ้าเรียนจบแล้วกลับมาทำงานเดิมที่บ้าน มันคงดูแย่ไปหน่อย
โอ้โห กูเองนี่หว่า
จริง ๆ ก็เคยนึกภาพตัวเองกลับไปช่วยทำธุรกิจที่บ้านนะ ได้เงินเดือนเยอะกว่าเงินเดือนสตาร์ทพนักงานแน่ ๆ แถมยังไม่ค่อยกดดันเพราะเจ้านายก็พ่อแม่เราเองนี่แหละ แต่ก็มีคำถามที่เข้ามาในหัวเราว่า เออแล้วเราเรียนมหาลัยไปทำไมเนี่ย ทุ่มเทเดินทางมาไกลถึงจุดนี้เพื่ออะไร
แต่จุดที่แทงใจดำเราพอ ๆ กับที่เจ้าของกระทู้โดนก็คงเป็นประโยคของญาติจขกท.ที่ว่า 'การต่อโทของเราเหมือนเป็นแค่ข้ออ้างที่ใช้หนีปัญหาในการหางานก็เท่านั้น เพราะยังไงสุดท้ายแล้วเราก็ไม่รู้ว่าตัวตนจริง ๆ อยากทำอะไร'
อะไรจะแทงใจดำขนาดนี้
แทงใจดำเพราะมันเป็นเรื่องจริงที่ว่า ไม่ว่าเราจะเรียนปริญญาจบมากี่ใบ เราก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้อยู่ดีว่าเราอยากทำอะไร
เผลอคิดไปถึงพี่ภูมิ วิภูริศ นักร้องนักดนตรีในดวงใจ แอบรู้สึกอิจฉาหน่อย ๆ ที่อย่างน้อยเขาก็สามารถนำสิ่งที่ชอบทำมาเป็นอาชีพได้
แม้เราจะพร่ำพรรณาเรื่องการหาตัวเองให้เจอมาอย่างยาวเหยียดก็ตาม แต่ก็อยากใช้คำพูดของพี่ภูมิมาเป็นไฟในการใช้ชีวิตของคนที่ยังไม่รู้ความฝันของตัวเอง
"ถ้ายังหลงทาง ยังไม่เจอในสิ่งที่ชอบ อย่ากดดัน อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น จงทำในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป"
ใช่ ทำมันต่อไปนะ ไม่ว่าจะยังไงสักวันเราต้องหาที่ของเราเจออย่างแน่นอน
2.พัฒนาทักษะที่ตัวเองชอบ "ทำ"
แม้เราจะไม่ได้ชอบทำงานเกี่ยวกับคณะที่เรียนมา แต่มีอยู่ประมาณสองสามงานที่คิดว่าเราชอบทำ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ดีพอเอาไปทำงานได้มั้ย ที่แน่ ๆ นั้นสู้พวกที่เรียนมาสายตรงไมได้อยู่แล้ว
'การตัดต่อวิดิโอ' เป็นหนึ่งในงานที่เราชอบ คงเป็นเพราะเราชอบดูหนัง เลยชอบ process ที่ต้องเลือกเพลงประกอบหรือซาวด์ประกอบมาใส่ให้เข้ากับเนื้อเรื่อง รู้สึกว่าทำแล้วสนุกดี อีกทั้งเป็นงานที่เราได้รับมอบหมายมาให้ทำเรื่อย ๆ ตั้งแต่อยู่มอต้น
ซึ่งฝีมือการตัดต่อก็ไม่ได้พัฒนามากสักเท่าไร เพราะใช้แต่โปรแกรมง่าย ๆ ลูกเล่นเดิม ๆ
'การเขียน'
งานเขียนเป็นสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้เหมือนกันว่าเรารักหรือเราเกลียดมัน
เราเป็นคนสื่อสารไม่ค่อยเก่งนัก ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน ประมาณว่าพูดไม่ค่อยรู้เรื่องนั่นแหละ
ซึ่งการเขียนอาจจะเป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับการพูดอยู่หน่อย ๆ ด้วย เพราะใช้ทักษะการสื่อสารให้ผู้ฟังเหมือนกัน แต่ยังดีหน่อยที่งานเขียนเราสามารถกลับมาทบทวนมันหลายรอบได้ว่าเราสื่อสารสิ่งนั้นออกมาได้ดีอยู่มั้ย อีกทั้งยังให้คนอื่นฟีดแบคได้อีกด้วย
ต่างกับการพูดที่เมื่อพูดไปแล้วเราไม่สามารถกลับไปลบมันได้เหมือนงานเขียน
สิ่งที่ทำให้เราอยากทำงานเขียนคงเป็นเพราะเราชอบเล่าเรื่องและเรามีความสุขทุกครั้งในช่วงเวลาที่ได้แชร์เรื่องราวกับคนอื่น ๆ
พอได้ทบทวนเรื่องนี้ก็ทำให้เรากลับมาคิดได้เหมือนกันว่าบางทีสิ่งที่เราชอบทำมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราคาดไม่ถึงก็ได้
3. เรียนภาษา
ภาษาอังกฤษเป็นอะไรที่ยากสำหรับเราเสมอ เพราะเป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนต่างจังหวัด แถมยังอยู่นอกเมืองมา กว่าจะได้ฝึกเรียนภาษาอังกฤษขั้นแอดวานซ์แบบเด็กในเมืองเขาเรียนกันก็อยู่ชั้นป.5 ไปแล้ว พอเราไปเรียนกับเด็กในเมือง เลยจะช้ากว่าเพื่อน ๆ อยู่สักหน่อย
หรือ ไม่หน่อยวะ
แม้ตอนนี้เราจะอายุ 23 ปี ผ่านการเรียนวิชาภาษาอังกฤษมานับไม่ถ้วน อ่านและเขียนบทความเป็นร้อยเรื่อง แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารอยู่เสมอ
'การพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องของความกล้า'
เราเคยได้ยินประโยคนี้จากที่ไหนสักแห่งอยู่บ่อย ๆ และมันยังคงติดอยู่ในหัวเราจนถึงทุกวันนี้
เราเห็นด้วยกับประโยคนี้นะ การพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องของความกล้าจริง ๆ เพราะถ้าเรากล้านำมันออกมาใช้ กล้าพูดกับคนอื่นอย่างมีความมั่นใจ แค่นี้ก็ทำให้เราสามารถพัฒนาทักษะนั้นได้อย่างดีแน่ ๆ
เพราะมัวแต่คิดว่าแกรมม่าจะถูกป่ะวะ คนอื่นจะขำสำเนียงเรามั้ย มันทำให้เราไมไ่ด้พัฒนาเรื่องการพูดภาษาอังกฤษอย่างจริงจังสักที
'หรือว่าสิ่งที่ต้องพัฒนาคือความกล้าและความมั่นใจของเรากันแน่' นี่เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวเราระหว่างที่เขียนถึงตรงนี้
ในชีวิตมหาลัย เราได้เรียนรู้มาจากคนรอบข้างว่า ความกล้าและความมั่นใจเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราได้รับโอกาสหลายอย่าง
ซึ่งถ้าทบทวนชีวิตของตัวเองเราก็พลาดโอกาสนั้นเพราะความไม่กล้าและความไม่มั่นใจของตัวเอง
เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ก็น่ายินดีที่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าตัวเองควรจะกล้าและมั่นใจมากขึ้น
กล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่สามารถคาดถึงผลลัพธ์ได้
กล้าที่จะก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
พอเขียนมายาวขนาดนี้ เราก็มีคำถามที่อยากถามตัวเองว่าทำไมเราถึงหมกมุ่นกับความฝันและสิ่งที่ตัวเองชอบขนาดนั้น
ทำไมต้องดิ้นรนที่จะหาตัวเอง ในเมื่อตัวเราในตอนนี้ก็คือตัวเรา
คงเป็นเพราะเราแค่คิดว่าชีวิตจะรู้สึกไร้ความหมายถ้าไม่ได้ทำตามความฝันอะไรสักอย่าง
ซึ่งพอมาคิดจริง ๆ มันไม่ได้ไร้ความหมายนะ
ชีวิตของเรา รวมถึงคนอื่น ๆ ที่ยังหามันไม่เจอ
สุดท้ายนี้ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้น จากการโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกนิด
มันไม่ได้แปลกหรือผิดปกติ
ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอยากทำอะไร
จุดประสงค์ของการเขียนคอนเทนนี้ขึ้นมาก็เป็นเพราะว่างและอยากพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อย ๆ ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่เข้ามารับรู้ชีวิตของเรา และหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ให้เด็กจบใหม่หรือคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรไปทางไหนแบบเรา ได้ตกตะกอนอะไรสักอย่าง
best regard
อยากบอกว่าอ่านทุกประโยคและคิดว่าเข้าใจในสิ่งที่จะคุณต้องการสื่อนะครับ
ผมคิด(และเชื่อว่า)ชีวิตของคนเราคือการเดินทางค้นหาตัวตนนะครับ มีอุปสรรค มีสิ่งที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้ ผมรออ่านต่อนะครับแล้วมาเขียนอีกนะ