เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
that's not how i see myself in 5 years!franky.p
Chapter 1 : shit happens all the time, perhaps since graduation !
  • ขอแนะนำตัวเองแบบสั้นในสั้นก่อนเข้าเรื่อง 

    เราเรียนจบปี 2015 คณะสายสังคม และจบมาทำงานเลย แต่ไม่ตรงสายเท่าไหร่ ทำงานมาตอนนี้ก็คือย่างเข้าปีที่หกแล้ว ใจหายมาก วื๊บเดียวคือย่างเท้าเข้าโซนสามสิบ quarter life crisis ตลอดเวลา 

    ขอย้อนไปตั้งแต่ก่อนเรียบจบเลยก็ได้ว่าใจคอไม่ดี สำหรับเด็กคณะสายสังคมๆคงพอจะเข้าใจว่าเราตุ๊มๆต่อมๆเรื่องงอะไร 5555 ก็เรื่องหางานนี่แหละ ! 

    เรียนปีแรกๆก็ขำอยู่หรอกเวลาโดนหยอกว่าจบคณะนี้มาแล้วจะไปทำอะไร จะสอบรับราชการหรอ (ตอบกลับเสียงแข็ง "ไม่ค่ะ") เห้ย แต่พอย่างเข้าปีสี่นี่ไม่ขำแล้วนะ ช่วงปีสี่ที่มหาลัยก็เริ่มมีงานจ๊อบแฟร์แล้ว แล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีที่ทางให้คณะแบบเราเลยเว้ย สกิลแบบเรามันไม่ตรงตามที่ตลาดอยากได้ ต่อให้ที่ผ่านมาเราจะอ่านจะเขียนกันไปเยอะแยะเท่าไหร่ก็ตาม เหมือนว่ามันตกลงมาเริ่มที่ศูนย์เลย ณ ตอนนั้นก็เริ่มเอ๊ะแล้วว่าชื่อมหาลัยไม่ใช่สูตรสำเร็จในการค้ำหัวดูแลเรา ฮอกวอตส์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จะทำยังไงบ้างดี ฮือ ซึ่งสิ่งที่เราทำตอนนั้นคือ

    1. สอบไฟนอลเสร็จแล้วรีบทำเรซูเม่ 
    ใช่ ทำตอนที่คนอื่นเค้ายังพักอยู่นั่นแหละ โอกาสทอง!

    2. เรซูเม่แบบไหนดี ต้องเขียนยังไง รูปแบบไหน ฟ้อนต์ละ ? 
    ก่อนจะทำเรซูเม่ 

    เราพยายามตอบตัวเองให้ได้ว่า เราจะสมัครงานตำแหน่งประมาณไหน , บริษัทนั้นๆเป็นอุตสาหกรรมอะไร , list บริษัทออกมา และแน่นอนว่าต้อง research อ่านเรซูเม่ให้ผ่านหูผ่านตาพอให้มีไอเดียที่จะเขียน ได้เห็นเทรนด์ว่า เออ ตำแหน่งประมาณนี้ อุตสาหกรรมประเภทนี้เค้าฮิตทำเรซูเม่แบบไหน แล้วโน้ตเป็น bullet point ก็ได้ว่าเราทำอะไรมาบ้าง ตรงไหนที่ควรขับเน้นให้เหมาะกับตำแหน่งงานแล้วก็บริษัทนั้นๆ 

    รูปแบบและคอนเท้น 
    จริงๆคีย์ของมันคือต้องอ่านง่าย กวาดตามมองรอบแล้วเคลียร์

    ทีนี้ตอนเขียน อยากให้นั่งเทียนสวมวิญญาณรีครูทเตอร์ที่ต้องอ่านเรซูเม่หลายสิบฉบับไปจนกระทั่งหลายร้อย (มีจริงๆนะตำแหน่งที่คนสมัครเป็นร้อย) เราต้องเข้าใจว่าคนอ่านเค้าไม่ได้ใช้เวลาในการอ่านเยอะ เพราะฉนั้นในแง่รูปแบบของเรซูเม่และฟ้อนต์ต้องอ่านง่าย คือเป็นฟ้อนต์เดิมๆคลิเช่ๆก็ไม่เป็นไร ส่วนคอนเท้น ต้องกระชับ ไม่ยืดเยื้อ แต่บอกได้ว่าเราทำอะไรไปบ้างทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม 
    และที่สำคัญไม่แพ้คอนเท้นคือเบอร์โทร อีเมล ที่เค้าจะใช้ติดต่อเราได้ โดยเฉพาะอีเมลควรเป็นอีเมลที่ดูใช้สำหรับทางการได้ จะมา [email protected] นี่ก็ดูไม่น่าเชื่อถือเลย

    ต้องยอมรับว่า challenge ในการเขียนเรซูเม่ตอนจบใหม่เหมือนกัน เพราะหนึ่ง - จะเอาอะไรมาเขียน ก็ยังไม่ได้ทำงานเล้ย สอง - มันก็จะซ้ำๆเดิมๆรึเปล่าวะ แต่คือก็ต้องลองเขียนจริงๆ ไม่ลองไม่รู้แน่ๆ แล้วก็ลองสมัครไปเถอะ 
    บางทีฟีดแบกที่ว่าเราเขียนเรซูเม่โอเคมั้ย ก็อาจจะมาจากคำถามที่รีครูทเตอร์โทรมาถามเราด้วยก็ได้ 

    คำเตือน : พยายามอย่าใส่หลอดพลังที่บอกเปอร์เซ็นต์ต่างๆว่าสกิลเราเรื่องนี้ได้เท่าไหร่ เพราะมันวัดไม่ได้ benchmark ไม่ได้ ให้เขียนเป็นเลยว่าทำอะไรได้บ้าง เช่น เอกเซล ถ้ามาเขียนว่า 60% คนอ่านก็จะงงๆว่าแล้วทำอะไรได้บ้าง ก็ให้เขียนเป็นเลยว่าใช้ฟังก์ชั่นไหนได้คล่องบ้าง เช่น ใช้เอกเซลในการจัดการข้อมูลได้ดี (vlookup, pivot table, conditional formatting ) หรืออะไรก็ว่าไป

    3. กรี๊ด รีครูทเตอร์โทรมาเพื่อนัดสัม!
    สิ่งที่มีก่อนเลยคือสติ อย่าสติแตกตอนรับโทรศัพท์ (เพราะเราเป็น และพลาดอะไรไปเยอะมาก) ยิ่งบางทีเป็นเบอร์มาจากต่างประเทศงี้ คือชั้นหอบแฮ่ก 5555 ถ้าจำเป็น ให้หายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติแล้วค่อยรับสาย
    ถ้าจะให้เป๊ะควรเก็งคำถามว่าเค้าน่าจะถามอะไรบ้าง อย่างน้อยๆเช่น เล่าให้ฟังหน่อยว่าทำอะไรมาบ้าง บลาๆ คือถ้าเราตั้งต้นดี เราจะไปต่อได้ แต่ถ้าเราอึกอักๆตั้งแต่คำถามแรก ตัวเราเองก็จะเสียความมั่นใจแล้วเท้าลื่นพลาดตกบันได้แน่ๆ 

    ถ้ารู้ว่าอาจจะพลาดได้ ให้ซ้อมพูดไว้เยอะๆเลย เขียนๆพูดๆ 

    4. เห้ย เดี๋ยวนะ แล้วชั้นต้องรีบหางานหรอ..

    อันนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่เงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนเลย ของเราเราอยากเรียนจบแล้วทำงานได้เงิน จะได้ไม่เป็นทาสที่บ้านอีกต่อไป 555 คือในคอนดิชั่นของหลายๆบ้าน อิสระที่จะได้ในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตเนี่ย ได้มาเพราะไม่ต้องพึ่งเงินของพ่อแม่เลย คือหาเงินได้เองแล้วจ้า อย่ามาวุ่น 

    แต่ถ้าบางคนที่รู้สึกว่า อืมม ก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น เราว่าก็โอเคที่จะเทคทามไปกับการลองทำนั่นนี่เพื่อหาตัวเองก่อนก็ได้ gap month หรือ year หรืออยากพักสักแปปก่อนเข้าสู่วัยทำงานก็ไม่ผิดเหมือนกัน คือ you are in charge of your own pace อ่ะ ไม่ต้องเอาตามคนอื่น แต่ต้องสำรวจเงื่อนไขของตัวเองจริงๆ ถ้าคนที่รีบแบบเราคือทำอะไรได้ก็ต้องทำ ต้องหาเลย เพราะไม่รู้ว่ากว่าจะหางานได้จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ส่วนคนที่ไม่รีบก็ตามนั้น เรื่อยๆได้ แต่อย่าถึงขั้นลบมันออกไปจากสารรบบเลยก็พอ ตอนพักผ่อน ตอนทำนั่นนี่ จะได้คิดว่าเราจะเอาไปปรับใช้ยังไงกับการหางาน

    ทั้งนี้่ทั้งนั้น เรนจ์ของเวลาที่เราจะได้งานอาจจะปุบปับรับโชค แปปเดียวได้ ไปจนถึงนานโฮกจนระทม คือมันเหนื่อยจริงๆนะ การหางาน แล้วเรายิ่งเพิ่งจบ ต้องไปแข่งกับคนที่มีประสบการณ์ด้วย ฟังดูแล้วก็น่าท้อ แต่ๆๆ ก็ยังไม่อยากให้ท้อขนาดนั้น ชีวิตเป็นเรื่องของจังหวะจริงๆ 

    ในส่วนของเราคือได้งานเร็วแบบสัมวันนี้รู้มะรืนเพราะว่าเค้าต้องการคนเข้ามาทำ แต่ก็เป็นคอนแทรคสามเดือนด้วยแหละ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราก็ยอมเทรด ไม่ต้องเป็นพนักงานฟูลทามก็ได้ อย่างน้อยมีงานก่อนสามเดือนดีกว่าไม่มี เผลอๆอาจจะได้ต่อคอนแทรค หรือสุดท้าย ถ้าจะไม่ชอบ สามเดือนก็เป็นเวลาที่ดีที่จะตอบตัวเองได้ว่าชั้นไม่ชอบจริงๆ ลาขาดจากกันเถิด

     5.  เห้ย สปอยล์หน่อยดิว่าพอทำงานมาสักพักหรือหลายปีแล้วมาลงสนามหางานใหม่นี่เป็นยังไง

    โอ้ย บอกเลยว่าเหนื่อย แต่เหมือนเป็นคนละสนามกันมากกว่า อะไรที่มันเล่นกับใจเยอะๆนี่เหนื่อยทั้งนั้น ในเรื่องของการหางาน เพนพ้อยของมันคือการฝากความหวังไว้ที่บางอย่างซึ่งก็ไม่รู้ว่าเค้าจะตอบกลับมามั้ย แล้วความคาดหวังนั้นมันมีผลกับชีวิตการงาน อย่างถ้าเรารู้สึกว่าชั้นไม่เอาแล้วกับบริษัทนี้ จะหางานใหม่ อย่างน้อยๆธงในใจเราก็ปักไว้แล้วว่า เห้ย ชีวิตชั้นต้องดีขึ้นอ่ะ แบบนี้ชั้นไม่เอาแล้ว แค่นี้คือการรอรีครูทเตอร์ตอบกลับก็ยาวนานขึ้นมาเลย หนึ่งวันก็เหมือนหนึ่งปี (ซับหัวตา) แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อะนะ บทจะรอมันก็ต้องรอ (ดราม่าปะ)

    6. อืมม .. แล้วถ้าไม่ได้ต้องทำไงอ่ะ
     คนเราจัดการกับ rejection ได้ไม่เท่ากัน อันนี้จะดีถ้าเรารู้ว่าเราอยู่เลเวลไหน ส่วนเลเวลของเราคือจัดอยู่โหมดใกล้ๆกับอกหักเลย แบบ ทำไมมมมมมมมมมกันคะ ฮืออ

    แต่สุดท้ายก็ต้องมูฟออน เพราะฉะนั้นสมัครงานทั้งทีก็สมัครไปหลายๆที่เลย (แต่ต้องจำด้วยนะว่าสมัครไปที่ไหนบ้าง เพราะรีครูทเตอร์บางคนชอบถามว่าจำได้ป่าวว่าสมัครตำแหน่งอะไรมา - เพื่อจะดูว่าเราใส่ใจจริงๆมั้ย)

    ไม่อยากให้ตีอกชกหัวตัวเองนาน ถ้าจะเสียใจก็เสียใจไปเลย แล้วค่อยมา reflect ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปรับตรงไหน พลาดอะไรไป คืออย่างน้อยที่สุดๆเราก็ได้ลองนะ แล้วเราก็ยังมีโอกาสอีกเยอะแยะรออยู่เหมือนกัน มันก็ต้องได้งานสักที่แน่ๆแหละ ไม่ได้จะต้องนั่งหางานแบบนี้ไปตลอดชีวิตสักหน่อย !


    สุดท้ายนี้ก่อนจะจบ chapter นี้ไป ก็ขอให้ใครที่กำลังหางานอยู่ มีสติ โชคดี จังหวะดีๆ ได้งานที่ไม่เอารัดเอาเปรียบจนเกินไป ไม่จ่ายหม่ืนห้าหรือต่ำกว่านั้นนะคะ สาธุ

    เจอกันอีกทีวันเสาร์ - ที่เพิ่งฟื้นร่างจากการตรำงานมาทั้งวีค หรือไม่ก็วันอาทิตย์ - เพราะฟรีคเอ้าท์จาก monday blues ค่ะ เลิฟฟฟ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in