เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
that's not how i see myself in 5 years!franky.p
Chapter 2 : Productivity ที่รัก
  • เนื่องด้วยวาระดิถีวันอาทิตย์กลางคืน เศร้าซึม หงอยเหงา เลยขอแทรกทามไลน์ที่ตอนแรกกะว่าจะไล่เรียงตั้งแต่สมัยเรียนจบ เพราะ โอ้ย เกลียดทุนนิย้มมม 

    เกริ่นก่อนเลยว่าเราเคยมี issue กับ productivity เหมือนกัน ในแง่ที่เรารู้สึกว่าถ้าไม่โพรดักทีฟตลอดเวลา เราจะรู้สึกว่าทำไมตัวเองห่วยจังวะ ทำไมหัวสมองไม่ไบร์ทตลอดเวลา จนทำงานผ่านมาเป็นหลายปีถึงได้รู้สึกว่าการไม่โพรดักทีฟบ้างนั้น ไม่ใช่เรื่องประหลาดโลกตะลึง แต่เป็นเรื่องธรรมชาติ .. เอางี้ก่อนดีกว่าว่าใครมันจะมาโพรดักทีฟคิดแต่เรื่องงาน เรื่องการพัฒนานั่นนี่ตลอดเวลา 

    คนเราต้องพัก ย้ำ จำเป็นต้องพักค่ะ !

    นึกถึงเวลาจะวิ่งมาราธอนยาวๆ 

    กว่าเราจะลงสนามเราก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารดีๆ และที่สำคัญคือต้องวอร์ม ต้องสเตรทช์กล้ามเนื้อจนแน่ใจว่าร่างกายเราพร้อมกับการที่จะต้องวิ่งนานๆ นี่คือเรื่องปกติเลย ยิ่งเดินทางไกล ยิ่งใช้ร่างกายหนัก คนเรายิ่งต้องการการพักผ่อนที่มากขึ้นตามไปด้วย  ถ้าไม่ทำ สุดท้ายเราก็จะบาดเจ็บเอง โนชิทเลย เมตาฟอร์นี้ไม่ได้ต่างจากเรื่องความโพรดีกทีฟในการทำงาน

    ต้องบอกไว้ก่อนว่าเราไม่ได้แอนตี้คอนเซปต์ของการทำงานให้เกิดผลิตผลที่สูงที่สุดในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือเข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นประเด็นที่ช่วยยกระดับวิถีของการทำงานได้ ( และ ฮ่า เจ้าของธุรกิจได้ประโยชน์) แต่ในขณะเดียวกัน เราว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะเอาแต่พูดถึงโพรดักทิวิตี้ๆๆๆ โดยละเลยเรื่องอื่นไปซะหมด

    how about คอนดิชั่นการทำงานอื่นๆละ ? ตัวจ๊อบนี้มันส่งผลยังไงกับคนทำงานบ้างทั้ง mental และ physical , คนทำงานต้องการการ support และ resource แบบไหนและยังไงในการจะทำงานให้ลุล่วงสำเร็จ , direction ที่ข้างบนกำหนดลงมามันสอดคล้องกับ operation ที่คนข้างล่างเป็นคนรันอยู่มั้ย มันไปทำให้คนทำงาน ทำงานได้ยากขึ้นรึเปล่า และแฟร์รึเปล่า 

    เราอยากให้ระวังการพูดถึงการทำงานเสร็จโดยไม่มองบริบทอื่นๆในตัวงานเลย 

    และที่สำคัญคือใครเป็นคนพูด แล้วเค้าพูดในฐานผลประโยชน์ของใคร

    ด้วยความเคารพ, มีคอนเท้นเรื่อง productivity เต็มไปหมดในอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่การหมกมุ่นอยู่กับคติที่ว่าผู้คนจะต้องโพรดักทีฟๆๆๆๆ ก็ไม่ค่อย realistic เท่าไหร่ และในหลายๆครั้งก็ misleading ด้วยซ้ำ 

    อย่ารู้สึกผิดที่จะพักหรือเลือก prioritize ความต้องการของเรามาก่อนงาน แต่ก็ไม่ได้เชียร์ให้เทกระจาดนะคะ เพราะแบบนั้นสุดท้ายแล้วเราก็จะต้องมาปั่นงานทีหลังและเดือดร้อนมากกว่านั้นอีก

    เราเชียร์ให้คนรู้สึกว่าชั้นหายใจหายคอได้บ้าง การไม่คิดเรื่องงานหรือการพัฒนาตนเองบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิด ออกไปทำอะไรที่อยากทำ ดูหนัง อ่านหนังสือ  อย่าลืมว่าเวลาพักของเรามีแค่สองวันจากเจ็ดวัน ห้าวันที่ผ่านมานี่ก็โชกโชนอย่างกับไปรบมาแล้ว ใจดีกับตัวเองเยอะๆๆ

    จริงๆ การรู้จักปิดสวิตช์เรื่องงานออกไปจากหัวเป็นสกิลสำคัญที่จำเป็นต้องฝึก seriously ถ้าไม่อยากธาตุไฟเข้าแทรก ลมปราณแตกพล่านไปทั่วร่าง 

    ในเคสของเรา ตอนเราทำงานที่ตำแหน่งนึงใหม่ๆ ตัวงานกดดันและมีทามไลน์หลายชุดในเวลาใกล้ๆกันก็เลยธาตุไฟแตกไปโดยปริยาย จำได้ว่าต้องมีสองวันจากเจ็ดวันที่นอนไม่หลับ แบบฟิกซ์ไว้เลยแบบนั้นหลายเดือน จนกระทั่งคิดได้ว่า กังวลไปตอนนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ถึงเราลุกขึ้นมาเปิดคอมทำงาน เช็คนั่นนี่ ส่งเมล มันก็ไม่มีใครตอบกลับตอนดึกๆแบบนี้อยู่ดี เหนื่อยฟรี สู้ไม่เอาเวลาไปนอนพักเพื่อพร้อมรบต่อพรุ่งนี้ดีกว่าหรอ เราต้องการสมองไบร์ทๆพรุ่งนี้นะ ! 

    ค่ะ นั่นคือสิ่งที่เราอยากย้ำกับตัวเองในตอนนี้ด้วยแหละนะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการนั้นแล้ว (กว่าจะผ่านมาได้ก็ลากเลือดและจบลงที่โรงพยาบาลมาแล้ว - มีปัญหาเรื่องฮอร์โมนเพราะเครียด ปจด.มาไม่ปกติอีกเลย)  แต่บางทีเราก็ยังรู้สึกว่ามันมีความกังวลอ่อนๆนอนแน่นิ่งอยู่ในหัว รอเราไปเปิดเจออยู่เหมือนกัน แต่พอแล้วอ่ะ มันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย 

    ถ้าตอนไหนอาการทำท่าจะกำเริบ เราก็จะย้ำกับตัวเองว่า โอเค การมีความรับผิดชอบเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นชม แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้เป็นแค่พนักงาน เรายังเป็นลูกของพ่อแม่ เป็นหลานของปู่ย่าตายายและบรรดาแก๊งค์ป้าๆลุงๆ เราเป็นเพื่อน เราเป็นคนรัก และอื่นๆอีกมากมาย เราไม่ได้มีโรลเดียว และตัวเราเองก็ยังทำอะไรได้มากกว่าทำงาน เรายังอยากมีเวลามานั่งเขียนบล็อก อ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นทวิต หรืออะไรก็แล้วแต่ อย่างที่มนุษย์มีสิทธิที่จะทำ - โดยไม่ต้องรอให้นายจ้างอนุญาต

    อย่าเอาชีวิตมาโยนทิ้งตรงนี้ อย่าถวายหัวจนไม่เหลืออะไร รักตัวเองเยอะๆ อย่าทำงานจนลืมคนรอบข้าง เพราะไม่มีนายจ้างไหนมาประเมินหรอกว่าคุณเทรดอะไรไปบ้างเพื่องานที่เขามอบหมาย ฟังดูดาร์กหน่อยนะ แต่เป็นเรื่องจริงที่เขาไม่มีเวลามาลงรายละเอียดสนใจขนาดนั้นหรอกว่าคุณอดนอนไปกี่คืน คุณยอมทำงานวันหยุดไปกี่วัน ก็เคลมไปสิโอที (ถ้าเคลมได้นะ ฮ่าๆ) หัวจิตหัวใจไม่ใช่เรื่องเดียวกับทุนนิยมขนาดนั้น 

    น่าเศร้าเหมือนกันที่เราไม่มีทางเลือกอื่นๆนอกจากกระโจนเข้าไปสู่การทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย แถมงานที่ทำก็ต้องเป็นงานที่เมนสตรีมด้วยนะ เป็นงานที่สังคมว่าป๊อป คุณจะนอกลู่นอกทางไปเป็นศิลปิน วาดรูป เป็นนักเขียนเฉยๆนี่ไม่ได้เลย (ถ้าไม่รวยอยู่แล้ว) คือถ้าไม่ทำงานอย่างที่สังคมให้ค่า  คุณก็อดตาย ไม่มีรัฐสวัสดิการ ไม่มีเซฟตี้เน็ต ไม่มีพื้นที่ให้ลองผิดลองถูก คือคุณจะรู้สึกว่าชั้นล้มไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคือต้องทำงานๆๆๆๆเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นถนอมร่างกายและหัวใจตัวเองเยอะๆเลยนะคะ รักตัวเองให้มากๆ และขอให้ทุกคนหลับฝันดี มีแรงไปเบียดเสียดกับผู้คนในรถไฟฟ้าและรถเมล์พรุ่งนี้เช้าค่ะ

    ไว้วีคเอนด์หน้ามาคุยกันใหม่  <3





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in