เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพียงชายคนนี้ไปเวียดนาม(ใต้)วันที่สิบเจ็ดแบงค์
จดหมายเหตุ ณ นครโฮจิมินห์ บทส่งท้าย
  •                   หลังจากผ่านวันที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและสถานที่ที่สวยจนแทบจะลืมหายใจ เช้ามาพวกเราต่างก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเดินทางออกจากเมืองแห่งทะเลทราย สายลม และ ไอทะเล เดินทางกลับสู่เมืองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในเวียดนามใต้ 
                      เช้านี้เราไม่จำเป็นที่ต้องเร่งรีบมากนัก พอได้มีเวลาตื่นสายบ้าง ผมถือโอกาสนี้ไปนั่งรับลมตรงระเบียงอีกครั้ง
                      แม้จะเป็นตอนเช้าค่อนไปทางสาย แดดเริ่มจัด แต่บริเวณระเบียงนั้นก็ยังคงความสบาย เปิดรับลมทะเลและกลิ่นเกลือเบาๆมาทักทายยามเช้าและร่ำลาก่อนจะจาก ความรู้สึกที่ได้พักผ่อนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง               
                      เราจัดการเช็คเอ้าท์แต่ปัญหาเกิดตรงที่ถ้าจ่ายสด โรงแรมจะรับเป็นดองเท่านั้น ซึ่งเงินดองเราเหลือไม่พอค่าโรงแรมเลย ที่แลกก็หายากมากๆ ก็เคลียร์กันอยู่พักใหญ่ จนรอดมาด้วยการจ่ายดองผสมดอลล่าร์เข้าไป ส่งผลให้เงินดองผมหมดตูดจริงๆ มีแต่ดอลล่าร์เท่านั้น ซึ่งถ้าเอาไปใช้จ่ายซื้ออาหารทั่วไปตามชนบทแบบนี้มีหวังขาดทุนยับ… 
                      เช็คเอ้าท์เรียบร้อย รถทัวร์ก็มาถึงพอดี 
                      วันนี้พวกเราใช้บริการรถทัวร์ของ Tam Hanh ซึ่งก็เป็นรถนอนคล้ายๆ FUTA เลย
     
                       จากมุยเน่ไปโฮจิมินห์ก็ค่อนข้างไกลเหมือนกัน การได้นั่งรถนอนก็ดีเลย 
                       เรานั่งอยู่นานเลยเกือบๆหกชั่วโมงจนถึงโฮจิมินห์ ซิตี้ ฝนก็ตกเหมือนเดิม แถมตกตั้งแต่ออก จากมุยเน่จนมาถึงนี่ 

                       อากาศที่นี่ไม่เคยเป็นใจให้พวกเราเลย…

    คนขับได้เปิดไฟนี้เป็นการบอกเป็นนัยว่าเตรียมลงได้แล้ว จะว่าไปก็สวยไปอีกแบบ
  •                  สายฝนโปรยปรายทั่วทั้งนครโฮจิมินห์ การจะนั่งแท็กซี่ไปที่พักอันอยู่ห่างไกลจากฟามงูหลาวก็กลายเป็นเรื่องยากเมื่อเราทั้งห้าคนไร้เงินสกุลดอง เราจึงต้องใช้สองสิ่งที่เรามีคือโทรศัพท์และเท้าของเราในการไปที่พักแทน
                     พวกเราเดินมาจนถึงอนุสาวรีย์ Thanh Giong ซึ่งย่านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านกาแฟมากมาย ผู้คนและการจราจรยังวุ่นวายเหมือนเดิมแม้ว่าฝนจะตก แม้จะหิวแค่ไหน เราก็ไม่หลงไปตามแสงไฟจากร้านอาหารที่มายั่วยวน เราคิดถึงเพียงแต่ที่พักเท่านั้น
     Statue of Thanh Giong
                        พวกเราเดินมาไกลมากเกือบ2 กิโลเลยก็ว่าได้ ฝนก็ยังตกเหมือนเดิม และยังไม่ถึงที่พักสักที
                        ระหว่างทาง พวกเราได้ผ่านถนนซึ่งเต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าและรองเท้าแบรนด์เนมหลายยี่ห้อที่คนไทยก็คุ้นเคย รวมถึงร้านอาหารต่างๆหลากหลายรูปแบบ จนมาถึงซอกหลืบเล็กๆที่ใน GPS ผมแจ้งให้เดินเข้าไป 
                         เดินเข้าประมาณ 200 เมตร เราก็พบที่พักเราแล้ว Goco Hostel นั่นเอง
                         ปรากฏว่าเมื่อเราจะเข้าไปเช็คอิน พนักงานกลับบอกว่าคืนนี้พักไม่ได้เพราะไฟฟ้าขัดข้อง (ทั้งที่ก็เห็นคนเดินเข้ามาพักเรื่อยๆ เหอๆ) แต่จะให้ไปพักอีกที่แทนและทางโฮสเทลจะชดเชยให้ โดยที่เราได้ยินคือเค้าจะจ่ายค่าที่พักกับแท็กซี่ให้ เราก็โอเคพร้อมย้ายไปอีกที่นึง ซึ่งอยู่ตรงข้ามจุดที่รถทัวร์เราจอดเอง… (เดินมาตั้งไกลเพื่อกลับสู่จุดเริ่มต้นเฉยเลย)
                         และแล้วพวกเราก็มาถึงที่พักอีกที่ที่ให้เดาก็คงจะเป็นโฮสเทลเครือเดียวกัน Luci’s House ซึ่งก็คงสไตล์การตั้งที่อยู่ในซอกหลืบเช่นเดียวกัน เมื่อมาถึงปรากฎว่าเราต้องจ่ายที่พักเหมือนเดิม เราก็ช่างมัน เพราะเหนื่อยกับการเดินตากฝนมามากแล้ว แต่ผมก็กลับมารู้สึกสดชื่นอีกครั้งได้ด้วยนโยบาย เบียร์ฟรีคนละขวดเมื่อเข้าพักที่นี่ 
                          ค่าที่พัก 7 ดอลล่าต่อคน แปรสภาพเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางๆ สีขาวตัดกับฟ้าดูสะอาดตา มีเตียง2ชั้นอยู่3หลัง ให้ความรู้สึกเหมือนสมัยอยู่มหาลัยปี1 มากๆ คืนนี้ไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเรา รวมถึงได้ใช้ห้องน้ำโดยไม่ต้องรวมกับคนอื่น สะดวกและส่วนตัวเป็นอย่างมาก
                   Luci's House
                        
                          เลือดลมกลับมาสูบฉีดอีกครั้งด้วยเบียร์ไซง่อน พวกเราพร้อมออกไปลาดตระเวนยามค่ำคืน ณ โฮจิมินห์ ซิตี้
                          คืนนี้เรามาทานอาหารที่ร้าน Eleven Café ซึ่งเป็นร้านอาหารบรรยากาศดีน่านั่งพร้อมด้วยการบริการที่ดีเยี่ยม อาหารที่นี่ราคาไม่ถูกเท่าไหร่ แต่รสชาติอร่อยถูกปากที่สุดเท่าที่มาอยู่ที่นี่ โดยผมสั่งข้าวราดเนื้อผัด ซึ่งตกแต่งมาอย่างสวยงาม ราคาประมาณ 85000 ดอง (ไม่ได้ถ่ายเลยเพราะกินเร็วมาก)
                           เนื่องจากราคาไม่ใช่ถูกๆเลย และไม่ได้อิ่มท้องเท่าไหร่เราเลยเดินไปเข้า Circle-K เพื่อซื้อมาม่าและเบียร์ต่อนิดหน่อย เป็นการปิดฉากคืนฝนพรำในโฮจิมินห์ คืนสุดท้ายก่อนกลับสู่แผ่นดินแม่...


    ปล. เวลาประมาณตี1 เราได้รับข่าวว่าเชสเตอร์ เบนนิงตัน ฟรอนท์แมนวง Linkin Park เสียชีวิต ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงพึ่งเห็นทางวงปล่อยมิวสิควิดีโอเพลงใหม่ออกมา ผมช็อคอินเวียดนาม แม้จะไม่ได้เป็นแฟนคลับ แต่ต้องยอมรับว่าตลอดชีวิตวัยเด็กที่ผ่านมา ผมเติบโตมากับเพลงของวงนี้ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและแฟนคลับของวงนี้ด้วยครับ 
    Rest In Peace Chester Bennington …
  •                          ภายในห้องทึบแสงมาก เนื่องจากไม่มีหน้าต่าง แม้ตอนนั้นเวลา 10 โมงแล้ว แต่บรรยากาศในห้องยังเหมือนกับเวลาตีสี่…
                             ผมตื่นขึ้นในวันสุดท้ายของทริปนี้ ช่วงเวลาที่ยังมีแสงอาทิตย์ เรายังสามารถเดินเก็บสิ่ง ต่างๆในดินแดนแห่งนี้ได้ แต่เมื่อตะวันลับไป ก็หมดเวลาของทริปนี้แล้ว 
                              เราเก็บของจนเรียบร้อย เช็คเอ้าท์แต่ก็ฝากกระเป๋าไว้ที่พักที่เดิม และกลับไปฝากท้องมื้อสุดท้ายในเวียดนามกับ Eleven Café เช่นเดิม และอาหารก็ถูกใจเราเช่นเดิม
     Eleven Cafe ที่เดิม
                              ทางร้านมี Lunch Combo ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งราคา 65000 ดอง เท่านั้น แน่นอนว่าผมก็สั่งชุดนี้ รวมถึงอีกหลายๆเมนูที่เพื่อนๆผมสั่งมาก่อนกลับประเทศอย่างเป็นทางการ 
                              ไว้ถ้าได้กลับมาอีก ก็จะแวะมาที่ร้านอีกแน่ ผมพูดเลย
    (บน)เบนโตะเซ็ต ปลาดอลลี่ทอดและซุปเผือก (ล่าง) ไม่รู้ว่ามันคือซูชิหรือก๊วยเตี๋ยวลุยสวนกันแน่
  •                        การมาถึงโฮจิมินห์ ซิตี้ แต่ยังไม่ได้กระทำความแมสด้วยการไปถ่ายรูปกับ โบสถ์ Notre Dame นั้น ดูจะเหมือนกับการมาไม่ถึงอย่างแท้จริง  วันนี้จึงถึงเวลาที่ควรออกไปเก็บแลนด์มาร์คที่สำคัญนี้สักที 
    Notre Dame Church, Ho Chi Minh City
                          โบสถ์ Notre Dame ถูกก่อสร้างเมื่อปี 1863 ในสมัยที่ตกเป็นเมืองอาณานิคมของฝรั่งเศส เป็นสถาปัตยกรรมแบบกอธิคฝรั่งเศส เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของชาวต่างชาติ 
                          น่าเสียดายที่วันที่เราไป สถานที่กำลังทำการบูรณะ ไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในตัวโบสถ์ได้ จึงทำได้แค่ถ่ายรูปข้างนอก 
                          เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็แน่นอนว่าเราต้องข้ามถนนไปเยี่ยมชม Saigon Central Post Office ที่เปรียบเสมือนแพ็คเก็จคู่เมื่อมาเยือนโบสถ์นี้

                            สำนักงานไปรษณีย์กลางไซง่อนแล้ว แม้จะถูกสร้างมานานแล้ว แต่ก็มีการบูรณะซ่อมแซมและปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่เรื่อยๆ ปัจจุบันก็ยังเปิดทำการให้ประชาชนทั้งเวียดนามและต่างชาติเข้ามาใช้บริการได้ 
                             สำนักงานไปรษณีย์กลางแห่งไซง่อน ถูกสร้างเสร็จเมื่อปี 1891 แน่นอนว่าในสมัยที่ยังตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสเช่นเดียวกันกับโบสถ์นอร์ทเธอดามฝั่งตรงข้าม สถานที่แห่งนี้ถูกออกแบบโดย กุสตาฟ ไอเฟล ผู้ที่มีผลงานหอไอเฟลที่บัดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีสและประเทศฝรั่งเศสแล้ว สถายที่แห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานแบบกอธิคและเรเนอซองส์ 
                             เมื่อเข้าไปด้านในจะสังเกตเพดานโค้งสูงไล่ตามแนวยาวของตัวอาคารที่โออ่ากว้างขวาง พร้อมด้วยรูปบานใหญ่ของวีรบุรุษของประเทศชาติอย่าง โฮจิมินห์ ซึ่งตั้งอยู่กลางผนังโดดเด่
     อยากจะส่งสัมภาระต่างๆเป็น EMS ค่อยไปรับปลายทาง เริ่มขี้เกียจแบกกลับ
                    
                   เวลาก็ได้ไหลไปเรื่อยโดยที่เราไม่ได้ตระหนัก เราต้องออกไปซื้อของฝากกันแล้ว
  •                พวกเราต่อแท็กซี่มาที่ Ben Thanh Market ซึ่งเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยของฝากและของที่ระลึกมากมาย บรรยากาศในตลาดนี้เต็มไปด้วยผู้คนและพ่อค้าแม่ค้าที่ออกมาเรียกลูกค้าตลอดเวลา ข้อแนะนำสำหรับตลาดนี้คือ เราควรต่อราคาทุกครั้งเวลาจะซื้อของ เพราะทางร้านจะตั้งราคาที่เว่อมากๆ เราก็ต่อจนกว่าจะได้ราคาที่เราพอใจ 
                   ผมเพลิดเพลินกับการซื้อของและการต่อรองราคาที่นี่ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้สร้างศัตรูมาแทบจะทั้งตลาด บางทีก็แอบกลัวว่าเดินไปเรื่อยๆจะโดนพวกพ่อค้าแม่ค้าตามมาตีหัว (ฮ่า)
              เนื่องจากเดินผลาญสตังค์เพลินเราจึงลืมถ่ายรูป จึงขอยืมรูปจากในกูเกิ้ลมาแปะก่อน
                   หลังจากสร้างอริไว้รอบทิศในตลาดแห่งนี้แล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วจึงตรงไปสนามบินเพื่อเตรียมตัวกลับอย่างเป็นทางการ   

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in