เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Music Producer Lifecrisca
EP4 : ความผิดพลาดของวิชาแนะแนว
  • แฟนตื่นมาในเช้าวันที่สามหลังการผ่าตัด ดูสดใสร่าเริงดีแล้ว หมดห่วงไปหนึ่ง ส่วนฉันก็ใกล้ต้องกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มีภาระมากมายรออยู่เพียบ

    ปี 1997-2000
    อายุ 14-17 ปี
    มัธยม 3-6

    หลังกลับจากค่ายคริสต์ และโลกของฉันได้เปลี่ยนไป นับแต่รู้จักกับมิน และแน่นอนว่าไม่นาน ฉันก็อกหัก นับเป็นการอกหักอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชีวิตเด็กวัยรุ่นเนิร์ดๆอย่างฉัน แต่ฉันกลับไม่เสียใจอะไรมาก เพราะไม่ได้หวังอะไรมากมายอยู่แล้ว อีกอย่าง ความรู้สึกต่อมิน เป็นเหมือน role model เป็น idol มากกว่าจะเป็น lover ฉันคงชอบผู้หญิงเท่ห์ มีความสามารถมาตั้งแต่วันนั้น

    สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากวันนั้น
    อย่างแรกเลย ฉันเริ่มคลุกคลีกับดนตรีแบบจริงจัง เริ่มหัดเล่นดนตรี เริ่มจากกีตาร์ (ไปเรียนกีตาร์คลาสสิคก่อน สองสามเดือน ก่อนจะพบว่าเล่นไม่ได้ซะที จนกระทั่งอกหักคืนเดียวเล่นตีคอร์ดร้องเพลงได้) แล้วเริ่มสนใจลามไปเครื่องอื่นๆ เช่น เบส กลอง คีย์บอร์ด ใช่แล้ว ฉันอยากเป็นอย่างมิน

    มินเหมือนนำพาฉันมาปล่อยไว้ในโลกของดนตรี และจุดประกายว่า เป็นคนทำดนตรี เป็นนักดนตรี มันเท่ห์นะ ฉันเริ่มไม่ได้สนใจจุดเริ่มต้นของมันแล้ว แต่เริ่มหลงใหลลงลึกในโลกของดนตรีแบบจริงจังมากขึ้น แต่ก็มีความนึกเสียดายว่า ทำไมเราไม่เริ่มให้เร็วกว่านี้ ชอบมองไปดูหลายๆคนที่ฝึกกีตาร์ตั้งแต่ ม. 1 หรือบางทีเห็นเพื่อนที่เล่นเปียโนบีโทเฟนเก่งมากๆ ก็อิจฉาว่าทำไมเราไม่ได้เรียนตั้งแต่เด็กๆ เหมือนเค้าบ้าง รู้สึกตามเค้าไม่ทัน

    แต่ฉันก็ยังไม่ละความพยายาม เพราะถ้าไม่เริ่มวันนั้น ก็คงไม่มีฉันวันนี้เช่นกัน หลังจากฉันเรียนเครื่องดนตรีหลายชนิด แล้วก็มาพบสิ่งที่เป็นตัวเองมากที่สุด คือ ทฤษฎีดนตรีและการแต่งเพลง 

    ครูเอ้ คือครูคนแรกที่สอนพื้นฐานการแต่งเพลงให้กับผม ตอนนั้นเด็กจากโรงเรียนผมแทบทุกคนจะไปเรียนพิเศษกันแถว วิสุทธานี จะเต็มไปด้วยโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ และมีห้องเล็กๆอยู่ห้องนึงที่สอนดนตรี มีคนมาเรียนเครื่องดนตรีต่างๆอยู่บ้าง แต่นักเรียนที่เรียนแต่งเพลงของครูเอ้ มีผมคนเดียว... ผมน่าจะเป็นแกะด่างของแกะดำอีกที... พอมาได้เรียนก็รู้สึกว่า นี่แหละใช่แล้ว 

    มันทำให้เกิดภาพที่ชัดเจนมากขึ้นว่า เป้าหมายเราในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องดนตรี คือเราสนใจในความไพเราะของดนตรี และอยากเป็นนักแต่งเพลงเนี่ยแหละ นับจากวันนั้นมา จิตฉันก็จดจ่ออยู่แต่กับเรื่องนี้ 

    ฉันเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา ก็ลองผิดลองถูกอะไรไปเรื่อย แต่งจากกีตาร์บ้าง คีย์บอร์ดบ้าง
    และตั้งแต่ช่วงนี้นี่เอง ที่เริ่มเกิดนิมิตร ฉันเริ่มฝันเป็นเพลงอยู่บ่อยๆ ในฝันจะได้ยินเพลงที่เพราะมากๆ ได้ยินรายละเอียดครบทุกโน๊ต เพลิดเพลินมากๆ แล้วพอตื่นมาก็จะจำได้แค่ลางๆ พอรู้สึกตัว ฉันก็คิดได้ว่า เพลงที่ได้ยินในฝันนั้นน่ะแหละ ที่จริงแล้วมันคือเพลงของเราเอง เพราะไม่เคยได้ยินที่ไหน พลังจินตนาการของเรามันสร้างเพลงในอุดมคติขึ้น แต่เรายังไม่มีความสามารถมากพอจะเอามันออกมาทำให้เกิดขึ้นในความเป็นจริงได้

    นับแต่นั้นมา... ฉันเริ่มไล่ตามสิ่งนี้ คือการนำเสียงเพลงที่ได้ยินในฝัน ทำออกมาให้เป็นจริงให้ได้

    อย่างที่สองที่เปลี่ยนไป คือ ฉันเริ่ม bad กะเค้าบ้างแล้ว พอเห็นแบบอย่างมา ก็เหมือนเด็กใจแตก ฉันคิดว่า เราจะ bad ยังไงก็ได้ตราบใดที่เรายังรับผิดชอบหน้าที่ได้ และไม่นอกลู่นอกทาง เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรในกรอบแบบที่ผู้ใหญ่อยากให้ทำเสมอไป สิ่งที่มินเป็นมันทำให้ฉันคิดได้ ว่า โลกเรามันไม่ได้เป็นขาวกับดำ แต่คนเราเป็นสีเทาๆได้ และไม่มีเส้นแบ่งระหว่างโลกของเด็กเนิร์ดกับเด็กซ่า อย่างแท้จริง เห็นมิน bad แบบนั้น แต่ผลการเรียนกลับดีมาก

    ฉันเริ่มรู้สึกว่าจะสนใจการเรียนไปทำไม เพราะมันไม่มีสิ่งที่ฉันสนใจอยู่จริงๆเลย วิชาดนตรีของโรงเรียนก็แสนน่าเบื่อ และใช้จริงไม่ได้ จะไปเข้าวงโยฯ ฉันก็ไม่ได้ชอบดนตรีแนวมาร์ชชิ่ง พอเข้า ม. ปลาย และต้องเลือกสาย ตอนแรกฉันเลือกสายศิลป์ เพราะคิดไปว่าน่าจะเข้ากับตัวเองมากกว่า แต่เรียนอยู่ได้ สัปดาห์เดียวก็ต้องขอย้ายมาเป็นสายวิทย์ เพราะสายศิลป์ของไทย คือการเรียนพวกสังคมศึกษา วรรณคดี ภาษา ต่างๆ ที่ฉันไม่ได้สนใจเลย ให้เรียนสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ยังพอเรียนได้มากกว่า แปลก (ซึ่งหลังๆฉันมาเข้าใจมากขึ้นว่า ดนตรี เป็นการคำนวน เป็นวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ มากกว่า ศิลปะ) 

    เนื่องด้วยเหตุนั้น จากที่เคยเป็นเด็กเนิร์ดเรียนตามคำสั่งไปวันๆ ฉันเริ่มตั้งคำถามหลายๆอย่าง ว่าทำไมสิ่งโน้นสิ่งนี้ต้องเป็นแบบนั้นด้วย และขบถต่อหลายๆสิ่งหลายๆอย่างรอบตัว ฉันเริ่มเอาเวลาไปทำในสิ่งที่สนใจ ซึ่งส่วนมากก็คือดนตรีน่ะแหละ กับอีกกิจกรรมที่กลายเป็นเรื่องรองไปแล้ว ก็คือเล่นตู้เกมไฟติ้งท์ ฉันเริ่มโดดเรียนไปทำสิ่งพวกนั้น

    โชคชะตาบางอย่างชักนำมารู้จักกับเพื่อนบางคนที่ชอบอะไรแปลกๆ หัวขบถเหมือนกัน เนื่องจากการเป็นแกะดำในชั้นเรียนของตัวเอง ฉันเริ่มสร้างกลุ่มเพื่อนนอกห้องของตัวเองขึ้นมา บางคนก็รู้จักจากการเล่นเกม บางคนก็จากการฟังเพลง ช่วงนั้นฉันเน้นหนักไปที่การฟังเพลงญี่ปุ่น กับเพลงจาก Bakery Music ในยุคแรกๆ จำพวก boyd kosiyabong , joey boy , rik วชิรปิลันธ์ , pixyl , อรอรีย์ , zomkiat 

    ถ้าใครที่เป็นแฟนของค่ายเบเกอรี่ตัวจริงคงจะรู้ว่า จุดยืนของค่ายช่วงแรกๆคือการเป็น pioneer ในดนตรีแนวสมัยใหม่ต่างๆในไทย และได้ใจเด็กแนวหัวขบถอย่างมาก

    วันนึงความสนใจมันก็เป็นแรงดึงดูด ทำให้ฉันได้ไปร่วมโครงการเด็กฝึกงานของเบเกอรี่ และได้เรียน workshop แต่งเพลงกับพี่บอยด์ กับ พี่นภ พรชำนิ ตอนช่วง ม.4 ชีวิตตอนนั้นคือฝึกงานที่เบเกอรี่ เป็นเด็กแรงงานในค่าย ที่ได้ดูคอนเสิร์ตฟรี และมีแต่กิจกรรมเกี่ยวกับค่าย ผมเป็นรองประธานของรุ่นนั้น ทั้งๆที่ผมยังอยู่แค่มัธยม คงเพราะดูเป็นคนมุ่งมั่นที่ฟิตจัด...

    พอช่วง ม.5 จำได้ว่า ทางค่ายได้เปิดค่ายลูกอีกค่าย คือ dojocity ซึ่งทำให้ผมหลงใหลรูปแบบของดนตรีแนว idol pop อย่างมาก บวกกับสไตล์ญี่ปุ่นที่ถูกจริตตัวเองอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นผมยังเด็กและแยกแยะระหว่างการหลงไอดอลกับหลงใหลเพลงออกจากกันไม่ได้ซะทีเดียว ผมก็ชอบไอดอลของค่ายโดโจไปตามเรื่องตามราว Triumps Kingdom , Project H ถึงขนาดทำเวบไซต์แฟนคลับขึ้นมากับกลุ่มเพื่อน ที่จริงที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะคิดว่าอยากเข้าใกล้เป้าหมายทีละนิด

    สารภาพว่า ตอนนั้นผมไม่สนใจเรื่องเรียนที่โรงเรียนเลยแม้แต่น้อย ก็แค่เรียนไปให้รอดๆ ผมโดดเรียนเป็นจำนวนพอดีเท่าที่โดดได้ เคยปีนรั้วโรงเรียนออกมา เพื่อมาทำกิจกรรมที่สนใจอยู่บ่อยๆ และแทบไม่มีวันไหนไม่ไปโรงเรียนสาย การต้องยืนหน้าเสาธง และโดนตี คือกิจวัตร

    เนื่องจากอาการเบื่อหน่ายสิ่งที่ต้องเรียนในห้องเรียน กับโดดเรียน นอนดึก มาสายบ่อยๆ ทำให้อาจารย์บางคนหาว่าผมติดยา (ทั้งๆที่ไม่จริง) นั่นเป็นครั้งที่สองที่ผม remark ไว้ว่า ไม่โอเคกับผู้ใหญ่ 

    ม. ปลาย เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนโฟกัสกับการ entrance ยกเว้นฉัน มีวันนึงช่วงวิชาแนะแนว ครูแนะแนวมีกิจกรรมให้ทุกคนทำ คือให้เขียนความในใจอะไรก็ได้ลงกระดาษ และครูสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ไม่บอกว่าใครเขียน ตอนผมจะลงมือเขียน ก็คิดนิดหน่อยว่า เราเชื่อใจผู้ใหญ่คนนี้ได้จริงไหม สุดท้ายก็ยอมเชื่อใจ เขียนอย่างที่คิด ส่งไป เนื้อความเกี่ยวกับว่า ผมมีเป้าหมายบางอย่าง และไม่คิดว่าการ entrance หรือทุกๆอย่างที่อยู่รอบตัวตอนนี้ เป็นสิ่งที่จะทำให้ไปสู่สิ่งนั้นได้ ผมกำลังหาทางของผมเอง

    วันต่อมา อาจารย์คนนั้นได้สร้างแผลในใจ แผลใหญ่ให้ฉันอีกแผล คือ การเอาสิ่งที่ฉันเขียนมาอ่านให้เพื่อนในชั้นฟัง ต่อให้ไม่บอกชื่อก็เถอะ แต่แกะดำแบบนี้มีคนเดียว ที่เค้าก็รู้กันหมดอยู่แล้วว่าใคร เหตุการณ์นี้สอนให้ฉันรู้ว่า อย่าเชื่อใจผู้ใหญ่อีกต่อไป และทำให้เมล็ดพันธุ์ความเกลียดชังของฉันฝังรากมากขึ้น

    เรียนดนตรี / ฝึกเล่นดนตรีเอง / ดูคอนเสิร์ต / ฝึกงานค่ายเพลง / แต่งเพลง / ไปสาย / หลับในห้อง / เล่นกีตาร์หลังห้อง / โดดเรียน / เล่นเกม 
    วัฏจักรเช่นนั้นดำเนินไปเรื่อย จนมาถึงจุดนึง ยังไงเด็กเนิร์ดเก่าอย่างฉันก็ต้องเข้ามหาลัย เพื่อใช้ชีวิต play safe ตามประสงค์ของผู้ใหญ่ 
    บอกตรงๆคือฉันไม่รู้จะเลือกคณะอะไรเลยจริงๆ ตอนนั้นยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในภาพรวมมากพอที่จะเลือกสิ่งที่ถูกต้องให้กับตัวเองได้ และบวกด้วยประโยคเด็ดที่ญาติผู้ใหญ่คนนึงเคยบอกเอาไว้
    "ดนตรีน่ะอย่าไปเรียน ให้เรียนอะไรก็ได้ที่ทำให้มีเงินอยู่รอด แล้วดนตรีไปหาเรียนข้างนอกเอาได้"
    คิดดูว่า เด็กเรียนดี อยู่ในกรอบมาตลอดแบบฉัน บ้านคนจีน ทุกคนใช้ชีวิตในกรอบปกติ เป็นผู้น้อย ยังไงฉันก็ต้องเชื่อคำผู้ใหญ่ จิตใจฉันยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะออกจาก safe zone และเรื่องการเรียนดนตรีในมหาวิทยาลัยก็ยังดูเป็นเรื่องไกลตัว (เพราะไม่คิดว่าที่บ้านจะ support ได้ , ยอมรับได้ กับเพราะเชื่อคำพูดญาติ)

    ทำไงดี ทำไงดี ฉันจะเลือกอะไรดี

    วิชาแนะแนวไม่ได้ช่วยแนะแนวอะไรฉันได้เลย... ฉันไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่ามันมีไว้ทำไม
    ตกลงมันมีไว้ช่วยเด็กหาแนวทางในอนาคตของตัวเองให้เจอ หรือมีไว้เพื่อดูถูกกันว่าการคิดต่างมันผิด?

    สรุปฉันเลือกเรียนคณะนิเทศ เอกโฆษณา ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ภาคอินเตอร์ 
    ฉันก็ไม่รู้เลือกผิดหรือถูก
    ที่เลือกมหาลัยนี้ก็ด้วยเหตุผลที่อยากได้ภาษา
    และที่เลือกคณะนี้ก็เพราะอยากทำงานในค่ายเพลง
    ส่วนที่เลือกโฆษณา ไม่มีเหตุผลอะไรเลย... ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Advertising คืออะไร... แค่มันดูไม่มีสิ่งอื่นที่สนใจมากกว่านี้ให้เลือกในมหาลัยนั้น
    ละทำไมฉันยังสอบติดได้เรียนอีก ทั้งๆที่ entrance ก็ไม่สนใจ

    "อย่างน้อยคุณก็มีความฝัน"
    อาจารย์มาริสา คนที่สัมภาษณ์ฉันเค้าบอกแบบนั้น

    ซึ่งที่จริงฉันก็แค่เรียนไปให้จบๆ มีงานทำ ตามที่ญาติผู้ใหญ่คนนั้นบอกแค่นั้นเอง...
    ความฝันของฉันไม่ได้อยู่ในคณะนี้ด้วยซ้ำ
    พอมองย้อนกลับไป แล้วคิดว่านี่มันใช่ mindset การเลือกคณะที่ถูกต้องแน่เหรอ...

    แล้วในที่สุดผมก็ผ่านพ้นมัธยม ช่วงเวลาที่ไม่เคยอินอะไรที่โรงเรียนเลยมาได้
    ฉันนี่มันแกะดำจริงๆ คนอื่นก็เห็นเค้าอินกันเยอะแยะ

    31 ธันวาคม 1999 ก่อนเข้าสู่สหัสวรรษใหม่
    ฉันเกาะรั้วดู โบ จ๊อยซ์ TK อยู่ที่ลาน World Trade Center (Central World)


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in