เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Is My Housemate Made of Copper and Tellurium?Matt-Mek
00-American Robin
  • เพิ่งเข้าใจคำว่าไม่อาจละสายตาก็วันนี้ 
    ฉันไม่อาจหยุดมองภาพเธอที่ค่อยๆ เข็นจักรยานห่างออกไปได้เลย 

    ……........................................................

    วันนี้ขณะที่ฉันยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะออกมามหาวิทยาลัยกี่โมงดี 
    เธอส่งเสียงมาจากนอกห้องถามว่าว่านี้ฉันจะออกไปกี่โมง 

    “ตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ” 
    “9.25” เธอตอบ 
    “โอเคงั้นสัก 10.00 แล้วกัน” 
    “ได้ๆ ถ้าสิบโมงเดี๋ยวออกไปพร้อมกัน เดินเนอะ” 
    “ได้เลย” 

    ฉันกินอาหารเช้าและอ่านนิยายในคอมพิวเตอร์บนพื้นพรมข้างเตียงอีกครู่หนึ่งก่อนจะลุกเอาจานไปวางที่อ่าง เจอเธอยืนอยู่หน้าห้อง 

    “ฉันออกมาส่องกระจกเฉยๆ น่ะ” 
    “โอเค คิดว่าเธอพร้อมออกไปแล้วเสียอีก” 
    “ไม่ๆ แค่จะลองว่าจะใส่ชุดไหนดี วันนี้หนาวอีกแล้ว” 
    “งั้นขออาบน้ำแป๊บนึง” 
    “ตามสบายเลย เดินแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว” 

    เมื่อเช้าเธอทำกาแฟไว้ด้วย รียูสจากกากเก่า เธอบอกว่ารสชาติมันใช้ได้อยู่นะ 
    เมล็ดกาแฟรอบล่าสุดฉันเป็นคนซื้อ มันหมดเร็วมากๆ น่าจะภายในหนึ่งสัปดาห์ 
    เพราะเธอดื่มกาแฟเข้มสุดๆ ขนาดฉันที่ดื่มกาแฟดำจนชินยังแทบดื่มไม่ไหว 

    10 โมงพอดี ตอนฉันเหลือบดูนาฬิกาครั้งสุดท้าย 
    “พร้อมไปแล้ว” ฉันบอก 

    เราเดินผ่านโต๊ะกินข้าวเล็กๆ ที่ตั้งติดผนัง มีพื้นที่วางเก้าอี้ได้อย่างมากสามตัว 
    เรากินอาหารเย็นแบบพร้อมกันจริงจังสองครั้งแล้ว ตั้งแต่ฉันเข้ามาอยู่ได้เข้าวันที่ 13 
    ฉันกำทิชชู่ที่เปื้อนคราบแป้งและลิปสติกไว้ในมือ รวมกับเปลือกลูกอมที่ได้มาจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่แวนคูเวอร์ ร้านที่ฉันเคยบอกว่าชื่อดูเกาหลี ขายอาหารญี่ปุ่นรสเหมือนร้านแถวบ้าน แต่พนักงานพูดเวียดนามทั้งร้านนั่นแหละ 

    ฉันทำความสะอาดโต๊ะเครื่องแป้งที่เคยเป็นโต๊ะจักรเย็บผ้าเก่าในรอบสามสี่วัน เพราะวันนี้จะมีคนมาดูบ้านอีกแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ฉันย้ายของเข้ามา เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ เจ้าของบ้านที่มีวันเกิดถึงก่อนฉันสองวัน และจะอายุครบเจ็ดสิบในปีนี้บอกฉันว่า คนที่จะเป็นเฮ้าส์เมทของฉันเพิ่งเขียนจดหมายบอกเขาวันนี้เองว่าจะอยู่บ้านหลังนี้อีกแค่หนึ่งเดือน ทั้งที่ฉันรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่เจอเธอวันแรกแท้ๆ 

    ……........................................................

    ฉันเปิดตู้ใต้อ่างล้างจานตั้งท่าจะทิ้งของในกำมือลงถังที่ปกติตั้งทางซ้าย เป็นถังขยะฝั่ง landfill waste ที่เอาไปทำปุ๋ยก็ไม่ได้ รีไซเคิลก็ไม่ได้ จริงๆ กระดาษทิชชู่เป็น compostable waste นะ แต่เปลือกลูกอมไม่ใช่ เธอเห็นฉันยืนงงว่าถุงขยะหายไปไหน 

    “ขอโทษที เพิ่งเอาออกไปทิ้งน่ะ” 
    “เอ้อ เมื่อสองสามวันก่อนเธอบอกว่าถุงพลาสติกจะหมดใช่มั้ย” 
    “ใช่ๆ ไม่แน่ใจว่าเราควรจะซื้อถุงพลาสติกกันมั้ยนะ” หรือไม่ก็ไม่อยากซื้อ 
    ฉันฟังไม่ถนัดเพราะเธอบ่นงึมงำๆ เธอเรียนชีววิทยาที่เน้นทางด้านสัตว์ 
    ห่วงใยเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก และจริงจังกับการแยกขยะแบบสุดๆ ทำงานพาร์ทไทม์ในร้านรับซื้อขยะรีไซเคิลด้วย เธอรู้ดีที่สุดว่าการทิ้งขยะมั่วๆ ซั่วๆ โดยไม่แยกน่ะมันส่งผลยังไง 

    ตั้งแต่อาหารเย็นมื้อแรกที่เรากินด้วยที่บ้าน เธอก็บอกอย่างชัดเจนว่า 

    “ฉันรักสัตว์มากกว่ามนุษย์อีก” 
    “อื้อ ฉันก็รักพืชมากกว่ามนุษย์เหมือนกัน” 

    ไม่มีเสียงหัวเราะหลังจับประโยคนั้น เราพยักหน้าให้กันหงึกหงัก 
    ต่างรู้ว่าเราทั้งคู่จริงจังกับสิ่งที่พูดจริงๆ 

    ……........................................................

    เรายืนคู่กันหน้าอ่างล้างจานที่พื้นที่ไม่พอสำหรับการเดินสวนกัน เธอยื่นกุญแจบ้านให้ฉันถือ ก้มลงไปค้นหาถุงพลาสติกใบใหม่มาแขวนกับตะขอเกี่ยวข้างประตูตู้ให้ 

    “นี่เหลือใบสุดท้ายแล้วหรือเปล่า วันนี้ฉันจะไป Save on Food ล่ะ 
    ให้ฉันซื้อมาให้มั้ย แต่ไม่รู้ต้องซื้อไซส์ไหน” ฉันพูดถึงชื่อซุปเปอร์มาเก็ตที่ขายทั้งอาหารสดและข้าวของเครื่องใช้ที่มีหลายสาขาในเมืองนี้แทบจะทุกๆ 3-4 กิโลเมตร 

    “วันนี้ฉันก็จะไปเหมือนกัน เดี๋ยวฉันซื้อเอง” 

    “อย่าเลย ให้ฉันซื้อเถอะ เดี๋ยวเธอก็จะย้ายออกแล้ว” ฉันรีบบอก 

    “แบบนั้นก็ได้ น่าจะไซส์ M นะ” เธอตอบหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง 

    ฉันคืนกุญแจใส่มืือเธอ ปิดไฟห้องครัวและพัดลมระบายอากาศ ออกไปยืนรอข้างนอก ครัวที่บ้านนี้ค่อนข้างแคบเวลาจะเข้าออกต้องหลบกันไปมา ทางเดินเหลือพอๆ กับข้างโต๊ะอาหารนั่นแหละ แต่เวลาเปิดประตูทีห้องครัวจะเหมือนถูกแบ่งเป็นสองฝั่งที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับส่วนถัดไปได้ มันกะทัดรัดและฉันเองก็ชอบที่ไม่ต้องทำความสะอาดมากเหมือนที่บ้านหลังเก่า 

    “ฝากล็อคประตูบ้านได้ไหม ฉันขอไปเอาจักรยานเดี๋ยวนึง” 

    “ได้สิ” 

    ฉันรับกุญแจมาล็อคประตู้บ้าน ส่วนเธอเปิดประตูสวนเดินไปเข็นจักรยานออกมาจากโรงรถที่ฉันเพิ่งรู้ว่ามีประตูอยู่ฝั่งนั้น 

    “ฝากจับจักรยานไว้หน่อยได้มั้ย เหมือนฉันจะลืมบุหรี่ล่ะ” 

    “อ่าว ได้ๆ” 

    ฉันหันไปไขประตูอีกครั้ง หัวเราะเบาๆ ในลำคอ เธอลืมบุหรี่ตลอดแหละทุกครั้งที่เราจะออกจากบ้านพร้อมกัน ฉันจับแฮนด์จักรยานไว้อย่างที่ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่าต้องทะนุถนอม 

    เธอกลับออกมา เราเดินลงจากเนินที่บ้านตั้งอยู่ผ่านทางเดิน ที่เป็นหินก้อนใหญ่วางลดหลั่นลงสู่ถนนที่ผ่านหน้าบ้าน 

    “ฉันเพิ่งได้จักรยานกลับมา เคยบอกเธอหรือยังว่าที่ฉันจอดไว้เฉยๆ เพราะมันพัง” 

    “ไม่อะ ยังไม่เคยเล่า” ฉันส่ายหน้า 

    “ยางหลังมันแบน แล้วก็มีปัญหาตอนเปลี่ยนเกียร์ คันนี้ฉันซื้อต่อเพื่อนมา 100 ดอลล่าร์” 

    ฉันฟังเธอเล่าถึงจักรยานสีฟ้าที่เธอจูง ขณะที่เราข้างๆ กันไป เลี้ยวซ้ายขึ้นเนินอีกครั้ง ไปตามทางเดินลัดผ่านป่าที่ความชันน้อยกว่าทางหลักที่รถยนต์วิ่งและถึงโซนที่เป็นอาคารเรียนเร็วกว่าด้วย 

    เธอบอกว่าก่อนหน้านี้เธอเคยมีจักรยานอีกคันซื้อต่อมาจากเพื่อนเหมือนกัน แต่ขี่ไม่ดีเลย คันใหม่นี้เธอก็ซื้อต่อเพื่อนมาและเหมือนจะมีปัญหา เมื่อวานเลิกเรียนเร็วเลยจูงไปให้ศูนย์จักรยานที่มหาวิทยาลัยซ่อม เมืองที่ฉันอยู่คนขี่จักรยานกันเป็นเรื่องปกติมากๆ ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่มาอยู่ที่นี่ ฉันเข้าใจเลยว่าทำไมเจ้านายเก่าฉันที่เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ถึงรักสิ่งแวดล้อมขนาดนั้น เมืองนี้มีระบบแยกขยะที่ดีมาก พยายามลดการใช้ถุงพลาสติก ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็สนับสนุนการขี่จักรยาน 

    “ฉันเอาจักยานไปซ่อมที่ Bike Center แต่พวกเขาบอกว่ารับซ่อมแต่จักรยานที่ซื้อไปจากที่นี่เท่านั้น จักรยานฉันทั้งเกียร์เสีย ทั้งยางแบน ฉันไม่อยากจ่ายค่าซ่อมแพงๆ อีกแล้ว” เธอบอก 

    “สุดท้ายฉันพยายามขอร้องพวกเขา พวกเขาเลยยอมซ่อมให้ จริงๆ ซ่อมที่นี่เราไม่ต้องเสียเงินแต่ฉันบริจาคไป 20 ดอล เพราะพวกเขาใจดีมากๆ” 

    “แน่นอน ฉันคิดว่าพวกเขาต้องชอบจักรยานมากๆ เลยด้วยแหละ” ฉันตอบ 

    ……........................................................

    “เธอเคยมาเส้นทางนี้หรือยังนะ” 

    “เคยแล้ว ตั้งแต่วันอาทิตย์แรกที่มาอยู่นี่เลย พอดีวันนั้นเพื่อนมาหาแถวสตาร์บั๊คส์จำได้มั้ย พอเราคุยกันเสร็จฉันก็เลยลองชวนเธอมาสำรวจทางที่เธอบอก ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะ” 

    เธอดูมีความสุขมากระหว่างเดินจูงจักรยานพร้อมกับสูดกลิ่นป่าสน บางช่วงที่ทางแคบฉันปล่อยให้เธอเดินนำไปก่อน บางช่วงเราก็กลับมาเดินข้างกัน 

    "นั่นนก Black Robin ไม่สิ American Robin" 
    เธอชี้ให้ฉันดูสิ่งมีชีวิตที่ภาพรวมดูกลมๆ ขนพองๆ สีดำ ช่วงบนส่วนช่วงท้องมีสีน้ำตาล 

    “น่ารักจัง ฟูมากเลย”  

    “นั่นนกนางนวล แต่ฉันแยกไม่ได้แฮะว่าชนิดไหนกันแน่ ทำควิซครั้งล่าสุดก็ตอบผิด” 

    “มันมีหลายชนิดๆ มากๆ เลยใช่มั้ยล่ะ” ฉันถาม 

    “ช่ายย เฉพาะที่เมืองนี้พบประมาณ 10 ชนิดได้มั้ง” 

    “โห มีความหลากหลายสุดๆ” 

    “ใช่ ความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก” 

    เราเดินไปเรื่อยๆ ร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น เธอเริ่มมีเสียงหอบ ส่วนฉันยังสบายๆ น่าจะเพราะการฝึกหายใจจากการฝึกโยคะร่วมปีก่อนมาที่นี่บวกกับเดินขึ้นเนินนี้เกือบทุกเช้า 
    ก่อนหน้าที่เธอจะเอาจักรยานไปซ่อม สังเกตว่าเธอจะใช้รถบัสเป็นส่วนใหญ่

    เวลาเดินผ่านเจออะไรเธอสามารถสร้างบทสนทนาได้ตลอด 
    เดินผ่านรถจี๊ปก็ถามว่าฉันชอบรถเล็กๆ หรือรถใหญ่ๆ 

    “ฉันชอบรถสูงประมาณคันนี้แหละ เพราะพอๆ กับรถพ่อที่เป็นคนแรกที่ฉันหัดขับ 
    มันมองเห็นข้างหน้าชัดดี” 

    “ฉันก็ชอบรถสูงๆ เหมือนกัน” เธอตอบ 

    ไม่นานเราก็เดินเลาะลานจอดรถยนต์มาถึงรอบนอกของถนนที่ล้อมรอบกลุ่มอาคารเรียนของมหาวิทยาลัยเป็นวงกลม หรือ Ring Road ด้านในของวงกลมนี้อนุญาตเฉพาะคนเดินกับจักรยานเท่านั้น มีข้อยกเว้นสำหรับรถคันเล็กๆ สำหรับงานบำรุงรักษา หรือรถขนของใหญ่ๆ เฉพาะกรณี  

    "อีกกี่นาทีจะถึงเวลาเข้าเรียนน่ะ" ฉันถาม

    "ประมาณ 5 นาที" ฉันเริ่มอึกอักว่าจะเริ่มวิ่งดี หรือบอกให้เธอไปก่อนดี

    "ล้อเล่นน่ะ จริงๆ มันอีกประมาณ 7 นาทีนะ"

    "Got you!" เธอพูดพร้อมกับหักข้อมือชี้นิ้วชี้มาทางฉันตอนเห็นฉันทำหน้าเหวอ...ทำไมขี้แกล้งนักนะ

    "เออ รู้สึกดีขึ้นมาก" ฉันกัดฟันพูด

    ……........................................................

    ฉันอมยิ้มขณะนึกถึงตอนที่เธอพูดว่า เธอไม่ชอบเดินคนเดียว มันทำให้รู้สึกเหงา
    แต่เวลาเธอจูงจักรยานมาด้วย...

    “เธอรู้สึกเหมือนมีเพื่อน?” ฉันพูดขึ้นก่อนเธอจะจบประโยค
     
    “ใช่ แต่ก็ไม่ชอบตอนที่รถทำเสียงดังๆ เวลาเราขี่จักรยาน ผ่านกลุ่มคนเยอะๆ…” 

    “ทุกคนก็จะมองมา?” เราหัวเราะพร้อมกัน

    “นั่นแหละ ก็ต้องคอยบอกรถให้ใจเย็น” เธอพูดพร้อมทำท่าลูบรถเหมือนปลอบสัตว์เลี้ยงแสนรักสักตัว 

    เราแยกกันตรงลานจอดรถก่อนถึงตึกเรียนของ ส่วนฉันเดินตรงต่อไปเตรียมเลี้ยวขวาไปห้องสมุด 

    "See you tonight! Have a nice day!"

    "You too!"

    เธอจูงจักรยานเดินไปทางซ้าย ค่อยๆ ห่างออกไป น่าแปลกใจที่ฉันไม่สามารถหยุดยิ้มได้ ต้องหันกลับไปมองเธอบ่อยครั้งจนตึกด้านข้างบังสายตา จู่ๆ ฉันก็พบว่าไม่อยากละสายตาไปจากเธอเลย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in