ลูกกุญแจเสียบไขเปิดประตูห้อง เจ้าของห้องพักวางกระเป๋าเอกสารและถุงฟาสฟู้ดลงบนโต๊ะ โทรศัพท์แนบกับหูถึงแม้จะหมดเวลางานมาแล้วร่วม2ชั่วโมง ทมิฬปลดเนคไทด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะรีบตัดจบบทสนทนาที่ยืดเยื้อมานาน
ร่างกายอ่อนล้าทิ้งน้ำหนักลงบนโซฟานุ่ม กดนวดต้นคอที่แข็งตึงจากการนั่งทำงานตลอดทั้งวัน กดรีโมทหารายการโทรทัศน์ที่ดูประจำ ..แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่รายการที่เขาชอบเท่าไหร่
ทมิฬเดินไปหยิบฟาสฟู้ดในถุงออกมากิน เบอร์เกอร์เนื้อชิ้นใหญ่พิเศษ เพิ่มketchup ไม่ใส่แตงกวาดอง เฟรนช์ฟราย นาโช่ส์ ชิกเก้นนักเก็ต มันไม่มีทางเลยที่เขาจะกินคนเดียวหมด ..แต่จริงๆแล้วเขารู้จักคนที่ทำแบบนั้นได้ และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เขาติดนิสัยกินjunk food
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทมิฬขมวดคิ้วพรางถอนหายใจ คงจะเป็นเจ้านายไม่ก็เพื่อนร่วมงานที่ขยันเกินเหตุเหมือนเดิม เขาปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่ซักพักแล้วจึงหยิบขึ้นมารับสาย
"Yes?"
[...]
"..? Hello?"
[มึง] เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้น ทมิฬจำเสียงนั้นได้ดี เสียงของคนที่เคยอยู่ด้วยกันในห้องนี้ คนที่ตอนนี้อยู่ห่างกันคงละฟากโลก [กูเอง]
"เออรู้" ทมิฬกดรีโมทเบาเสียงโทรทัศน์ "มีอะไร โทรทางไกลรวยนักหรอวะ" เขาหัวเราะ แต่ก็เป็นแค่การกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างไว้เท่านั้น
[ปีนี้กลับไทยมั้ยวะ] อีกฝ่ายถามสั้นๆ
"กลับดิ ลางานแล้วเนี่ย" ทมิฬพูดแล้วลุกขึ้นเดินออกไปที่ระเบียงห้อง ดวงตามองออกไปท่ามกลางแสงสีครึกครื้นยามค่ำคืนในนิวยอร์ก "ครั้งนี้กลับได้ไม่นานเท่าคราวที่แล้วว่ะ พอดีที่ทำงานขาดคน" คงจะมีแต่ตัวเขาที่รู้สึกเดียวดาย
[หรอ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง [ถ้าอยู่ไม่กี่วัน งั้นก็มานอนบ้านกูเลยดิ]
"มึงจะหาคนช่วยเก็บบ้านใช่มะ" ทมิฬจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ เขาก้มลงมองผู้คนที่เดินอยู่ด้านล่างอพาตเม้น
[..มึงแม่ง] ปลายสายหัวเราะ [น่าา มึงกลับมาก็ไม่ได้ไปหาใครนอกจากกูไม่ใช่หรอวะ ก็อยู่แม่งไปเลยจะได้ไม่ต้องไปเสียตังค์เช่าห้อง]
"เออๆ ก็ได้" ทมิฬยักไหล่แล้วหันหลังพิงระเบียง ชนเข้ากับกระถางต้นไม้เก่าจนเกือบทำมันหล่นลงไปด้านล่าง
[? เสียงอะไรวะ] ปลายสายถาม
"อ๋อ กูชนกระถางหญ้ามึงอะ" ทมิฬหยิบมันไปวางไว้ชิดกำแพงให้พ้นทาง
[อะไรวะ ยังเก็บไว้อยู่อีกหรอ] เสียงหัวเราะดังกลับมา [เอาไปทิ้งได้แล้วไป]
"อือ" ทมิฬตอบ ทั้งที่ในใจไม่เคยคิดว่าจะเอามันไปทิ้งเลย "แล้วไงเนี่ย โทรมาถามแค่นี้หรอ"
[...]
"..ใบ้แดก" ทมิฬพ่นควันออกมาแล้วมองดูมันจางหายไปในอากาศ "คิดถึงกูอะดิ้" เขาพูด
[อือ] ปลายสายตอบเบาๆ [อยากเจอ]
"อีก2อาทิตย์เอง ทนหน่อยดิวะ" ทมิฬพูดแล้วดับบุหรี่ ก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งในห้อง "กูไปพักแล้ว เหนื่อยว่ะ เจอกัน"
[เออ เจอกัน] นิ้วเรียวกดวางสาย รูปพักหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น รูปของเขาทั้ง2คนในวันจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัย เป็นไม่กี่รูปที่ทารคายอมที่จะถ่ายกับเขาดีๆ นอกนั้นไม่แยกเขี้ยวดุเขา ก็เมาไม่เป็นท่าเอาหน้าจุ่มชักโครกหลังปาร์ตี้
มือหนายกขึ้นลูบดวงตาที่เหนื่อยล้าที่ง2ข้าง ก่อนจะปรับตั้งรูปพักหน้าจอเป็นรูปอื่น..ที่ไม่มีทารคาอยู่ในนั้น ความสัมพันธ์เก่าๆที่จบไป ทิ้งเศษซากความรู้สึกบางอย่างที่เขาควรจะกำจัดมันไปเอาไว้
ทุกๆสิ่งนั้นเปลี่ยนไป เมื่อตอนลืมตาขึ้นมาและมองท้องฟ้าในตอนไหน
เหงาเหลือเกิน เมื่อเธอจากไป เหม่อมองพระจันทร์ทุกคืนฉันคิดถึงเธอเกินทนไหว
บางครั้งที่ใจอ่อนไหว น้ำตายิ่งบีบยิ่งคั้น ร้องออกมาเท่าไหร่ เธอรู้มั้ย
ไม่ใช่แค่คมมีด หรือกระสุนเท่านั้นที่ฆ่าคนได้ บาดแผลจากความเดียวดายไม่ทำให้ใครเสียเลือด แต่มันทำให้แขนเสื้อเชิ้ตของทมิฬเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ทมิฬเพิ่มเสียงโทรทัศน์ขึ้นกลบเสียงของความอ่อนแอที่ตนเองคอยปกปิดมาตลอดหลายปี
เพราะโอกาสที่เราเจอกัน แค่เพียงในยามค่ำคืน เวลาฉันนอนหลับตาฝัน
ทุกๆสิ่ง ที่เราผูกพัน และฉันยังภาวนาเพื่อขอให้เธออยู่ตรงนั้น
โอ้ว บางครั้งที่ใจอ่อนไหว น้ำตายิ่งบีบยิ่งคั้น ร้องออกมาเท่าไหร่ เธอรู้มั้ย
เช็ดน้ำตาเพียงไม่กี่ครั้ง เวลาก็ล่วงเลยผ่านมาครบ2อาทิตย์ ล้อเครื่องบินแตะลงบนพื้นดิน ผู้คนเดินลงจากเครื่องบินด้วยความยินดีที่ได้มาเยือนสถานที่ที่ตัวเขาก็ยังสับสนว่าจริงๆแล้วอยากจะกลับมาหรือเปล่า ลากกระเป๋าเดินทางผ่านผู้คนที่วิ่งเข้าสวมกอดกันด้วยความห่วงหาอาทร
ทมิฬถูกแรงปะทะเข้าเบาๆจากด้านหลัง วงแขนหนึ่งสวมกอดเขาแน่น เขาหันกลับไปมองคนที่เข้ามาต้อนรับเขาเป็นคนแรก
"อาทมิฬ~" เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นต้อนรับทมิฬด้วยรอยยิ้มสดใส ทมิฬวางกระเป๋าแล้วย่อตัวลงไปอุ้มเธอขึ้น
"โอ้ยย หนักก ไม่ได้เจอกันปีเดียว ทำไมโตไวแบบนี้หือ?" ทมิฬยิ้มแล้วหยอกล้อกับเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู "พ่อกับแม่ล่ะ นี่แอบวิ่งมาคนเดียวอีกแล้วหรอ"
"พ่อกับแม่อยู่ตรงนู่นค่ะ" เธอตอบแล้วชี้ไปที่พ่อของแม่เธอยืนอยู่ ร่างสูงโปร่งสะดุดตามาจากระยะไกล ไม่รู้ว่าเพราะสีผมที่สดใสเกินวัย หรือเพราะทารคาคือคนที่เขาพยายามกวาดตามหามาตลอดตั้งแต่ออกจากgate
"ไปหาพ่อกับแม่กัน" ทมิฬยิ้มน้อยๆ วางหลานสาวลงแล้วจูงมือกัน เดินเข้าไปหาคนที่เขาคิดถึงมากที่สุด
แต่ละคืนที่มองไม่เห็นใคร อดทนไว้ หัวใจยังสั่น
แต่ละวันเดือนปีที่หมุนไป เธอรู้มั้ยว่าใครคิดถึงเธอ
ตรงนี้ไม่มีเธอแล้ว แต่ย้ำ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
"คุณพ่อขา!" เด็กน้อยตะโกนเรียก "หนูไปรับคุณอามาแล้วค่ะ"
"..." ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากทั้งคู่ มีเพียงอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"ให้คุณพ่อกับคุณอาคุยกันก่อน เราไปหาขนมกินกันเถอะค่ะ" มารดาจูงมือลูกสาวแล้วหันมายิ้มให้เพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนาน "ฉันไปรอที่รถนะคะคุณ"
ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน
...คิดถึง...
end
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in