เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ธรรมศาสตร์-ทำไม-สาดChaitawat Marc Seephongsai
รับปริญญา "มหาสนุก"
  •           "หนึ่งปีผ่านไปไว้เหมือนโกหก" ใครพูดเอาไว้นะ (?) ทำไมรู้สึกว่าบางครั้งคำพูดนี้มันก็ดูจริง แต่ทำไมบางครั้งมันดูโกหก สรุปไอ้รู้สึกไว้หรือช้ามีมันคงขึ้นกับบุคคลและเหตุการณ์แน่ ๆ 

              ผ่านมา 1 ปีแล้วสำหรับการรับปริญญา แต่ 1 ปีที่ผ่านมา มันยังมีเรื่องชวนหัว ชวนปวดหัว ชวนเวียนหัว ชวนควันออกหัว หลาย ๆ อารมณ์ปนเปกันสิ้นดี ขนาดผ่านมาแล้ว 1 ปีพอดิบพอดีในวันนี้ (16 พ.ย. 58) ความรู้สึกเหล่านั้นยังคงอยู่ครบถ้วน และมันยิ่งชัดเจนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ไปร่วมงานรับปริญญาของน้อง ๆ ที่มหาวิทยาลัย

              ถ้าอ่านจากชื่อเรื่องก็น่าจะรู้ได้ว่าทั้งหมดที่พูดมานั้น พูดถึงเรื่องของมหาลัยธรรมศาสตร์ นับตั้งแต่วันแรกเข้า จนกระทั่งวันสุดท้ายในฐานะของนักศึกษา ธรรมศาสตร์มีเรื่องให้ตื่นเต้นได้ตลอดเวลา แถมชวนสยองเหมือนหายนะภัยของแผ่นดินไหวระดับย่อม

              เรื่องราว "มหาสนุก" ของงานรับปริญญา เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาของมหาวิทยาลัย ในระดับชั้นปีที่ 4

              ก่อนอื่น สิ่งแรกที่ต้องทำคือการไปถ่ายรูปชุดครุยเพื่อนำมาใช้ติดลงบนเอกสารแจ้งจบการศึกษา ความสนุกขั้นที่หนึ่ง มันอยู่ตรงการตามหาร้านถ่ายรูปเนี่ยแหละว่าจะถ่ายร้านไหนดี ที่ผีจะกลายเป็นคนหรือดีหน่อย คนจะกล่ายเป็นนางฟ้า เหตุนี้มหกรรมการหาร้านถ่ายรูปจึงเริ่มต้นขึ้น และแน่นอนแหล่งที่จะแนะนำเราได้ดีที่สุดก็คือ "พันทิพ" (ถ้ามันเอามาอ้างอิงงานวิจัยได้ หลาย ๆ อย่างคงสบายขึ้น) ในที่สุดก็ได้ร้านถ่ายรูปร้านหนึ่งแถว ๆ ท่าพระจันทร์มา การเดินทางไปถ่ายรูปจึงเริ่มต้นขึ้น สำหรับเราการไปถ่ายรูปรเานนี้สบายมากเพราะไปถ่ายก่อนช่วงที่จะต้องแจ้งจบประมาณ 2 เดือน ทำให้ไม่มีคิวรอรูป แต่สำหรับเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไหวตัวช้าและจะไปถ่ายร้านนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้ถ่าย เพราะต้องรอคิวอย่างน้อย ๆ 20-30 คิวทุกวัน เลยได้ไปถ่ายร้านทั่ว ๆ ไป ซึ่งสุดท้ายพวกมันก็ตกใจกับรูปถ่ายที่ได้ออกมาอยู่ดี และมีเพื่อนบางคนบ่นก่นด่า ร้านที่ไปถ่ายมาว่า

    A : เหี้ย ร้านส่งรูปใครมาให้กูวะ หน้าอย่างเหี้ยเลย แถบวิทยาฐานะก็ดูปลอม (?)

    เรา : รูปมึงไง

              นี่แหละครับความสนุกอันที่ 1 ของงานรับปริญญา แต่ที่มันสนุกกว่านั้นคือ รูปที่ถ่ายมา แม่งเสือกเอาขึ้นเว็ปของสำนักทะเบียน และเก็บลงฐานข้อมูลของมหาลัย รวมถึงเอาไปติดบัตรบัณฑิตและมอบให้บัณฑิตเก็บเอาไว้หลังจบงานรับปริญญา เพื่อนหลายคนจึงบ่นว่า "กูต้องเห็น หน้ากูแบบเหี้ย ๆ ยันวันตายเลยสินะ" ล่าสุดได้ข่าวมาว่าเพื่อนคนนี้ แม่มันเอาบัตรไปอัดกรอบและแปะเอาไว้ข้างใบปริญญาบนผนังบ้าน

             นอกจากการหาร้านถ่ายรูปแล้วการหาชุดครุยมาไว้ในครอบครองก็บันเทิงไม่ต่างกัน เพราะมีโปรโมชันให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ เช่า เช่าตัด ตัด ฯลฯ แล้วแต่เงินในกระเป๋าของใครจะอำนวยแบบไหน หรือแล้วแต่พ่อแม่จะอยากได้อย่างไรก็เลือกเอา

              หลังจากได้รูปมาแล้ว ทางสำนักทะเบียน จะรีบเร่งให้เราทำเรื่องจบการศึกษา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะให้รีบทำไปไหน ยังเหลือวิชาเรียนอีกเพียบ และก็ไม่รู้ว่ารีบทำไปเนี่ยกูจะเรียนจบไหม แต่ไม่เป็นไรให้ทำก็ทำ

             หลังจากเอากระดาษมากรอกรายละเอียดของวิชาที่เรียน เกรดที่ได้และอะไรอีกไม่รู้ยุบยับหนุบหนับเยอะแยะไปหมด ก็ได้เวลายื่นกระดาษแผ่นนั้นคืนคณะต้นสั่งกัด แต่มันไม่จบเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องมานั่งกรอกข้อมูลลักษณะใกล้เคียงของเดิมในเว็ปของสำนักทะเบียนอีกรอบอยู่ดี (ทำเพื่อ)

              หลังจากการกรอกข้อมูลจบลง พวกเราก็กลับไปนั่งเรียนกันต่อตามเดิม และต้องนั่งลุ้นว่าอีวิชาที่เหลือ ๆ อยู่เนี่ยจะยอมให้กูเรียนจบนะ จะไม่มีอาจารย์ท่านไหนรักกูแจก F กูนะ นี่ทำเรื่องไว้แล้ว โทรบอกแม่แล้ว แม่ก็บอกญาติแทบทั้งหมด ถึงขนาดจุดธูปบอกตาแล้ว ถ้าไม่จบนี่กูโดนแม่เหยียบหน้านะ แต่แล้วสุดท้ายก็จบอย่างเป็นทางการ ส่วนคนไม่จบก็ปี 5 ปี 6 กันไป เหมือนมหาลัยจะให้อยู่ได้ 8 ปี (ไม่แน่ใจ)

             นอกจากการเรียนแล้วอย่างหนึ่งที่คนเรียนจบไม่ทำไม่ได้คือการหาช่างภาพมาถ่ายรูปรวมกับเพื่อน ๆ พร้อมชุดครุย ในมุมเก๋ ๆ ชิค ๆ ของมหาลัย จำได้ว่าตอนเรียนปี 1-2 เคยคุยกับเพื่อนในกลุ่มว่าพวกเราจะไม่ถ่ายรูปชุดครุย หากต้องถ่ายมุมแมสแบบชาวบ้านทั่วไป ด้วยคำมั่นสัญญากานะนั้น พวกเราจึงได้รูปถ่ายหมู่ตอนใส่ครุยแบบไม่แมสมาจริง ๆ (ไม่เชื่อดู) 


             หลังจากเรียนจบเป็นที่เรียบร้อย ก็ใช่ว่าจะได้รับปริญญาเลยนะ ต้องรอไปอีกร่วมปี กว่าจะได้รับใบปริญญามาไว้ในครอบครอง ระหว่างนั้นหลายคนก็แยกย้ายกันไป บ้างเรียนต่อ บ้างทำงาน บ้างอยู่บ้าน บ้างตาย และแล้วเมื่อมหาลัยอนุมัติวันรับปริญญาเป็นที่เรียบร้อย และแจ้งอย่างเป็นทางการ ความสนุกครั้งต่อมาจึงเริ่มต้นขึ้น 

             เมื่อรู้วันที่ต้องรับปริญญาที่แน่นอนแล้ว เพื่อนหลายคนที่เริ่มต้นทำงานต้องทำเรื่องลางานมารับปริญญา ไหนจะซ้อมคณะ ซ้อมรวม ซ้อมย่อย ซ้อมใหญ่ วันรับจริง เรียกได้ว่าลาขนาดนี้ลาออกเลยดีกว่าครับ แต่ก็นะไหน ๆ ชีวิตนี้จะรับปริญญาทั้งทีก็ขอเอาให้สุด เพื่อนบางคนถึงขนาดยอมลงทุนบินกลับมาจากต่างประเทศเพื่อรับปริญญา และบางคนลาออกจากงานเลยก็ยังมี (มึงทุ่มเทมาก) 

              งานซ้อมรับปริญญาผ่านพ้นไป กระทั่งวันซ้อมใหญ่ คือการซ้อมรวมกันของทุกคณะที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ความสนุกครั้งที่ 3 เริ่มต้นขึ้นตรงนี้ เมื่อพื้นที่ 34 ไร่ (ตามคู่มือ) ต้องรองรับคนนับ 10,000 มันจึงกลายเป็นหายนะภัยระดับย่อม ๆ ที่ทำให้เราได้ว่า "ไม่มีที่ยืนในสังคม" มันเป็นยังไง ใช่ครับ ที่แคบ คนเยอะ ไม่มีที่ยืน ของกินไม่มี ปงดขี้ยังไม่มีที่ให้ขี้เลย เรื่องถ่ายรูปนี้ไม่ต้องพูดถึง หน้าตึกโดมถ่ายมาเห็นแต่คน รูปปั้นปรีดีย์ ถ่ายมาไม่เห็นปรีดีย์ เห็นแต่คน (ไหนแม่กูละ อ้าวหลง) นอกจากคนเยอะแล้ว ในเรื่องของการติดต่อสื่อสารก็สนุกไม่แพ้กัน ณ เวลานั้นนึกว่าอยู่ป่าหิมมะพาน ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณเน็ต เรียกได้ว่าถ้าจะมาเขอบัณฑิตให้พก ธูป พลุไฟ หรือไม่ก็สัญญาณควัน มาจะเหมากว่าการพกโทรศัพท์ เรียกได้ว่ากว่าจะได้ถ่ายกันแต่ละรูปยากฉิบหาย กว่าจะหากันเจอก็ยากของยากฉิบหาย

              เมื่อเวลาเดินทางมาถึงวันรับจริง คงามสนุกสนานเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กำหนดการการรับปริญญาถูกกำหนด และถูกเลื่อนเป็นประตูบานเลื่อนเลยจร้า จำได้ว่าในวันนั้นเรารับรอบที่ 1 มหาลัยจึงเรียกรวมตอน 7 โมงเพื่อเข้าหอประชุมตอน 8.30 น. เพื่อรับปริญญาตอน 09.00 น. ด้วยเหตุนี้ทางคณะจึงต้องนัดพวกเราตอน 6 โมง ดังนั้นเพื่อนผู้หญิงจึงต้องแต่งหน้าทำผมกันตั้งแต่ 5 ทุ่มของวันก่อน

             เมื่อกำหลดเวลาใกล้เข้ามาถึง พวกเราทุกคนจึงมารวมตัวกันกว่า 1,220 แบบที่ได้นัดหมาย (หรือเกินวะ) ตั้งแต่เวลา 5.30 น. พวกเราจึงเห็นหน้าค่าตาของเพื่อนที่เคยคุ้น แต่กับบางคนเราก็ต้องเอ่ยปากถามว่า "มึงเป็นใคร" แต่งหน้าเต็มซะกูจำไม่ได้เลย

              หลังจากรวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็ได้แต่รอ รอ รอ รอ รอ และก็รอให้ถึงเวลา เนื่องจากพวกเรารับเป็นรอบแรกของวัน ตอน 09.00 น. ดังนั้นย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา และเมื่อเวลาใกล้เข้ามา เข็มสั้นเข้าใกล้เลข 9 เข็มยาวชี้อยู่ที่เลข 6 ทางมหาวิทยาลัยก็ประกาศเลื่อนเวลาเข้าหอประชุมออกไปเป็นบ่าย 3 โมง และทางคณะจะเรียกรวมอีกทีตอนบ่าย 2 ความรู้สึก ณ เวลานั้นคือ "อ้าวเห้ย" แต่ทำไงได้ก็ต้องรอกันต่อไป

              เมื่อเข็มสั้นเดินทางมาถึงเลข 3 เข็มยาวถึงเลข 12 พวกเราก็มานั่งอยู่ในหอประชุมเป็นที่เรียบร้อย และกลับออกมาจากหออีกทีตอน 18.20 น. ยังจำได้ดีว่านั่งหลับไปหลายตื่น เรียกว่าที่นอนมาไม่ครบ 8 ชั่วโมง ระหว่างอยู่ในหอประชุมสามารถเก็บชั่วโมงการนอนได้ครบ 8 หรืออาจจะเกิน 8 ตามที่แพทย์กำหนดด้วยซ้ำไป

              หลังจากรับปริญญาเสร็จ เราก็ได้กระดาษ 2 แผ่น ไทยแผ่น อังกฤษแผ่นมาไว้ในครอบครอง และต้องนอนรอลุ้นไปอีกครึ่งปีว่ารูปถ่ายจะออกมาเป็นยังไง จะดีไหม ตูดจะโก่ง หลังจะค่อม ครุยจะพริ้ว แถบวิทยฐานะจะสะบัดไหมวะ

             เห็นไหมละว่ารับปริญญาแม่งโครตสนุกเลย มีอะไรให้ลุ้นได้ตลอดเวลา อย่างปีที่เพิ่งผ่านมา (59) ของธรรมศาสตร์เราก็สนุกสนานไม่แพ้กัน รอบนี้เราไปในฐานะผู้ติดตามบัณฑิต และนั่งรถกลับมาถึงที่พักตอนตี 1.30 น. "รับปริญญามหาสนุก" จริง ๆ 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in