เคยหวงรอยยิ้มใครกันไหมฮะ
ความโค้งงอนของปาก มุมที่เชิดขึ้นน้อยๆ ฟันที่เรียงกันเป็นแนวสวย ประกอบกับตาที่จ้องมองกลับด้วยความสุขเพราะเราและเราคนเดียว
อยากจะพับมันเก็บใส่กล่อง เก็บสงวนไว้ดูวนซ้ำอยู่คนเดียว
คุณเขาไปยิ้ม ไปหัวเราะให้ใครอีก ผมไม่อาจรู้ได้
รู้แต่ว่ารอยยิ้ม แววตา และเสียงหัวเราะตอนอยู่กับผมน่ะทำเจ้าตัวน่ารักขึ้นเท่าตัว
น่ารัก จนผมอยากโอบอุ้มเอวบางกลับไปห้อง อย่างคนเห็นแก่ตัวที่ไอ้กัปแอบเหน็บอยู่ทุกวัน
“ก็คนมันใกล้ชิด”
ชลธรถึงกับเบะปากให้กับคำของผม
“เป็นอะไรกับน้องเขาหรอมึงอะ”
ผมเหยียดปากเป็นเส้นตรง
“ยังไม่เป็นเดี๋ยวก็เป็นละวะ”
มันเอาตะเกียบจิ้มไหล่ผม
“มั่นใจ” ชลธรพูดเสียงเยาะ “ความมั่นใจนี้เจเลอร์ได้แต่ใดมา”
ถามว่าควรเข้าข้างตัวเองไหมในเมื่อเติร์ดไลน์ตอบผมภายในไม่กี่วิ
คิดถึงละมั้ง
คิดถึงแน่ๆเลย
... คิดถึงละสิ
หนุ่มน้อยหน้าหวานในชุดนักศึกษาบ่นอุบเรื่องจราจรจากอโศกมาสยามช่วงเลิกเรียน ผมฉวยโอกาสตบบ่านั่นจนอีกฝ่ายร้อง ‘อุก’ ในลำคอ แล้วห่อปากเป็นวงกลม
ตาก็มองตามผมที่เดินนำอย่างไม่ต้องสงสัย
(ความสุขเล็กๆที่หาได้ระหว่างวัน—-คนเราจะเอาอะไรมากกัน)
ไม่ช้าเราสองคนก็ไปหยุดหน้าร้านหูฟังที่ผมตามหา
ชวนเติร์ดมาช่วยเลือกก็เพราะผมอยากได้กำลังเสริมทางใจ ใช่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเซียนหูฟังหรืออะไรแบบนั้น
ตามคาด (+1 ให้เจเลอร์) หนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเดินตามผมต้อยๆ ในร้าน เว้นระยะห่างแต่พอดี ไม่ให้รู้ตัวว่ากำลังตั้งใจตาม
“มีเฮดโฟนแนะนำบ้างไหมครับ”
ผมเดินตรงไปหาพนักงานขาย
ไม่ได้แสดงออกอะไรให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่อุ่นใจแปลกๆ ที่มีเขาวนเวียนอยู่ใกล้
ก็มีแต่เขานั่นแหละ ที่ทำผมยิ้มง่ายขนาดนี้ ที่ทำให้ผมหัวเราะ โดยไม่รู้ว่าทำไม ใจก็สงบนิ่ง ลืมความวุ่นวายในหัวและรอบข้างไปสนิท
มองตา มองรอยยิ้มเขา(ที่ผมหวงแสนหวงหนักหนา) แล้วผมก็ยิ้มเองโดยไม่ต้องพยายาม
เหมือนหัวใจกำลังบอกว่ารอยยิ้มนี้ต้องตอบสนองด้วยรอยยิ้มผมเท่านั้น
“เติร์ดชอบอันนั้น”
“แต่พี่สนอันนี้”
หยิบหูฟังมาลองได้สักพัก ก็รู้สึกแรงกดเบาๆจากฝั่งซ้าย หนุ่มข้างตัวกำลังแนบหูกับหูฟังข้างหนึ่งของผมอยู่
ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เอ่ยเสียงกึ่งดุกึ่งกลั้นขำ ลังเลในโทนเสียงของตัวเองกับสถานการณ์ตรงหน้าและเด็กเจ้าปัญหาที่ความเอ็นดูผมต่อเขาแหวกกฏเกณฑ์ของผมต่อคนภายนอกเสียหมด
“เดี๋ยวให้ฟังน่า”
ได้ผล
เติร์ดรีบขยับออกห่าง ทำทีเป็นมองดูหูฟังอื่นในร้านไปทั่ว เหลือบมองผมเป็นระยะ จนผมลองจนพอใจแล้ว ถึงกลับเข้ามา
คุณคงว่าผมหลงเขาไปทุกอย่าง
แต่ให้ตายสิ หูฟังอันที่สองที่เขาชอบมันดูดีเมื่อเขาสวมจริงๆ
คงดูดีกว่าตอนผมสวม
สีฟ้าโทนเงินดูละมุนเมื่ออยู่แนบหูลภัส มู้ดก็คงตัวกำลังดี ถ้าผมไม่เลือกเพลงให้เขาฟังก่อน
เติร์ดทำตาโต หันมาสบตากับผม แล้วเราสองคนก็หัวเราะพร้อมกันในร้าน
ไม่แคร์ใคร ไม่เคยแคร์ใครอยู่แล้ว
กับความรู้สึกระหว่างคนสองคน เคมียืดหยุ่นที่ตรึงเราไว้เข้าด้วยกัน
ความ ‘ใช่’ ในความอุ่นใจที่ผมแกล้งใครก็ไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้
(ฟังดูแปลกใช่ไหม)
ผมเก็บความรู้สึกที่มีต่อเขาไว้กับเขาคนเดียว แบบที่ผมอยากให้รอยยิ้มเขาอยู่กับผมคนเดียวนั่นแหละ
“งั้นกั๊กไว้” เติร์ดเคยบอก เอานิ้วจิ้มแก้มสองข้างของตัวเองขณะเม้มปาก “ให้พี่เห็นคนเดียว”
ผมหัวเราะ ขยี้ผมคนน่ารัก
ผมว่าส่วนหนึ่งของความหวงในสิ่งที่เก็บไว้ไม่ได้คือความอยาก
ความต้องการที่จะยืดเยื้อคำว่า ‘ตลอดไป’ ในความเป็นเรา ในเวลาที่มีกันและกัน ทั้งที่รู้ว่า ‘ตลอดไป’ นั้นไม่มีอยู่จริง
Richard Linklater เขาว่าไว้
แล้วใครบางคนของผมอีกละ ที่ชอบถามตอนเราเลี้ยววนชั้นสองของพารากอน
ปากบอกอยากให้นั่นเป็นสิ่งที่ผมจดจำเกี่ยวกับเขา
‘ตลอดไปนั้นนานเท่าไหร่ - how long is forever’
ก็อยากจะรู้เหมือนกันนะเติร์ด
เพราะทุกวันนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่า ‘ตลอดไป’ ระหว่างเรานั้นจะนานเท่าใด
xxxxxxxx
เคยร้องไห้ตอนเขียนฟิคกันไหมคะ
"ฟังเหมือนนิยายเลย" น้องที่ทำงานบอกเรา
"เออ นั่นแหละ ชีวิตเรา."
ปล.อันนี้เป็นเหมือน point of view ของพี่เจเลยค่ะ พอจะมีของน้องเติร์ดมั้ยคะ ;;
ปล ๒ .เราชอบ style การแต่งของคุณมากๆเลยค่ะ นี่มัน โอ้ยย it's my style รอติดตามผลงานอื่นๆด้วยนะคะ ดีใจมากที่เข้าแท้กเจเติร์ดวันนี้เเล้วได้มาอ่านเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้ด้วยคุณด้วย ฮื่ออ หวังว่าจะได้มีมาให้อ่านอีกนะคะ เราพร้อมยิ่งกว่าพร้อมที่จะอ่านมากๆ
ดีใจที่อารมณ์ความรู้สึกสื่อผ่านตัวอักษรไปถึงคนอ่านจริงๆ //\\
ของน้องเติร์ดเราให้ลิงก์ในทวิตไว้ละค่ะ :) ให้น้องเติร์ดตัวจริงมาตอบเน่อ
อยากบอกว่าเม้นท์ของคุณคือยาชุบชีวิตมากๆเลยค่ะ ห่างหายจากการแต่งฟิคไปนานมากกก เพราะปัญหาหัวใจด้วยส่วนใหญ่ น่าจะมีเรื่องต่อเร็วๆนี้ค่ะ :) ขอบคุณมากๆอีกครั้งนะคะ คนอ่านที่น่ารัก <3