เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกศูนย์องศาSoonOngSa
สถานะคนคุยกัน เป็นแฟนของฉันฉบับเทสเตอร์
  • เพื่อน "โสดครับ ไม่มีแฟน"
    ผม "แล้วคนที่เราเห็นเมื่อวันก่อนล่ะ"
    เพื่อน "แค่คนคุยกันเฉยๆน่ะครับ"
    ผม "คนคุยกัน ?" 

    จบบทสนทนาไปในตอนนั้น ก็ได้แต่ยิ้มและพยายามจะเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไปของสังคมนี้

    อะไรคือ คนคุยกัน? 
    ในชีวิตเราสามารถมีคนที่เรียกว่าเป็นคนที่คุยๆกันอยู่ ได้จำนวนที่มากสูงสุดกี่คน?
    คนที่มีสถานะนี้ในชีวิตเราต้องมีปฎิสัมพันธ์กันทางรูปแบบของการพูดคุยตามชื่อของสถานะ ในปริมาณเท่าไหร่? 
    ต้องคุยกันทุกวันวันละ3ชั่วโมง หรือคุยกันทุกวันเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่ากี่เปอร์เซนต์ของการพูดคุยทั้งหมดในชีวิตประจำวัน? 
    หรือเป็นเพียงแค่คนที่คุยกันวันละ2-3ประโยคก็ได้ เช่น ยามหน้าหมู่บ้าน การทักทายจำพวก สวัสดีครับ เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ไปทำงานเช้าจัง อากาศดีนะครับ การที่เราพูดคุยแบบนี้ทุกวันๆกับยามหน้าหมู่บ้านนั้น ถือได้ว่าเขาคือคนคุยของเราหรือไม่ หรือเพียงการพูดคุยกับพนักงานขับรถแท็กซี่มิเตอร์ระหว่างที่การจราจรติดขัดเพื่อฆ่าเวลา เมื่อเราเดินลงจากรถไปแล้ว เราจะสามารถเรียกได้ว่าเขาเป็นอดีตคนเคยคุยของเราหรือเปล่า เพราะมีโอกาสน้อยมากที่เราและเขาจะได้กลับมาคุยกันอีก หรือแบบไหนเหรอ? 
    ทั้งหมดเป็นแค่คำถามในหัวของผมในช่วงแรกที่เราเพิ่งรู้จักกับสถานะที่ว่านี้ 

    สุดท้ายแล้ว หลังจากที่ได้พยายามหาคำตอบให้กับข้อสงสัยของตัวเองมาพักใหญ่ 
    อาจสรุปได้ด้วยความเห็นส่วนตัวดังนี้ 

    สถานะคนคุย คือความรักระยะทดลอง คุณสองคนไม่ใช่แฟนกัน แต่ถ้าคุยกันไปเรื่อยๆ แล้วในจุดนึงที่ทั้งคู่ประเมินผลกันและกันผ่านเกณฑ์มาตรฐานของแต่ละคนแล้ว ก็จะถึงจุดของการตกลงคบกันเป็นแฟน และใช้สถานะแฟนอย่างเป็นทางการ 

    คงเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆได้กับสินค้าในขนาดทดลอง หรือที่เราเรียกจนติดปากกันว่า เทสเตอร์โปรดักส์ ให้เราทดลองใช้ได้ก่อน หากพึงพอใจจึงลงทุนมากกว่าเพื่อซื้อของจริง มันไม่ได้แปลว่าในระยะเวลาที่ใช้เทสเตอร์ เราจะได้ใช้ตัวโปรดักซ์ได้ไม่เต็มที่ แต่เราใช้ได้ในปริมาณที่จำกัด ทุกการใช้งานของตัวทดลองไม่ต่างจากตัวใช้จริง เพียงแต่มีระยะเวลาที่น้อยกว่า หากผลิตภัณฑ์หมดไป ผู้ใช้ก็ตัดสินใจว่าอยากจะใช้ตัวจริงต่อ หรืออยากจะใช้ตัวอื่นที่อยู่ในตัวเลือกของแต่ละคน อย่างเช่นความสัมพันธ์ของคนคุยๆกันอยู่ การที่เราเป็นหนึ่งในตัวคุยของใคร เราจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ จับมือถือแขน จนถึงขั้นเกินเลยกว่านั้นก็ตามแต่ข้อตกลงของทั้งสองคน แต่หากวันนึงที่เขาเลือกใครคนอื่น หรือรู้สึกว่าเรายังไม่ใช่ เขาจะหยุดทำในสิ่งพวกนี้ทันที เราก็เช่นกัน หากตัวเรารู้สึกก่อนว่าเขาไม่ใช่ เราก็ต้องหยุดทำสิ่พวกนี้กับเขา เรียกง่ายๆว่าเบื่อแล้ว ก็คนมันไม่ใช่จริงๆ

    แต่ความรัก สามารถเปรียบได้กับผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดต่างๆเหล่านั้นจริงหรือเปล่า?

    เราอาจสร้างสถานะคนคุยกันหรือการทดลองเป็นแฟนกับใครต่อใครมากกว่าหนึ่งคน ขึ้นมาเพื่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในการเลือกแฟน และช่องทางการเลือกที่มากขึ้นสำหรับการมีแฟน เพราะหากไม่มีสถานะนี้แล้วนั้น เช่นอย่างเมื่อในอดีต การที่คุณตกลงมีสถานะแฟนกับใครสักคนหนึ่ง เพียงแค่เริ่มต้น ก็จะตัดโอกาสการมีความสัมพันธ์กับอีกบุคคลที่คุณพึงพอใจในลำดับถัดไป พูดกันจริงๆแล้วมนุษย์เราสร้างสถานะนี้ขึ้นมา เพื่อสนองความเห็นแก่ตัวในตนเองล้วนๆ แต่มองในอีกมุมนึง มนุษย์ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะได้ตัวช่วยในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิตตัวเอง บนโลกที่ไม่ได้มีแค่เราตัวคนเดียว มันมีมากกว่าหนึ่งมุมมองอยู่แล้วอย่างปฎิเสธไมไ่ด้ แต่มุมมองไหนที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุดนั้น ไม่มีใครตอบมันได้เลยจริงๆ ยังมีในหลายประเด็นบนโลกที่ไม่สามารถมีใครตัดสินเลือกข้างได้ อย่างประเด็นนี้ก็เช่นกัน 

    เพราะฉะนั้น หากเราจะเถียงกันจนโลกแตกตาย ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าสถานะคนคุยๆกันอยู่นี้ ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ ด้วยความที่เราก็ต่างชอบยกสิทธิ์ในชีวิตของตัวเองขึ้นมาแสดงในทำนองที่ว่า ก็ชีวิตของฉัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำมัน และเลือกในเส้นทางแบบนี้ แต่กับอีกมุมต่าง เราต่างคนก็ชอบยกเรื่องความเสียหายในชีวิตของตัวเองขึ้นมาแสดงเช่นกัน เช่นในทำนองที่ต่างกันว่า  แล้วสิทธิ์ของคุณมันทำร้ายจิตใจของตัวฉัน หรือ สิทธิ์ของคุณมันทำร้ายจิตใจผู้อื่นมากมายเต็มไปหมด 


    อยู่ที่คุณจะเลือกมันเองตามความพึงพอใจ ว่าการมีสถานะคนคุยกับใครนั้น คุณมีความสุขกับมันจริงๆหรือเปล่า? แต่อย่ามองแค่ในมุมความสุขจากฝั่งตัวเอง ถามฝ่ายตรงข้ามด้วยว่า เขามีความสุขจริงๆกับมันมั้ย? ถ้าทั้งสองคนโอเค ก็win-win ทำมันต่อไป แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดความลำบากใจขึ้นมาแม้แต่เล้กน้อย ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ควรหยุดหรือเป็นไปตามจุดที่พึงพอใจทั้งหมดเต็มร้อย 

    สถานะคนคุยกัน จะไม่เกิดปัญหาใดๆและไม่เกิดจุดเล็กๆของความไม่สบายใจใดๆต่อฝ่ายไหนเลย หากมีการให้สถานะนี้แก่คนๆเดียว มีการเกียรติซึ่งกันและกัน และไม่มีการก้อร้อก้อติกกับคนอื่นๆโดยให้สเตตัสตัวเองว่า โสด เพราะจงคิดอยู่ในใจตลอดว่า คุณไม่ได้โสดแล้ว ในตอนที่มีอีกคนนึงตั้งอยู่บนสถานะคนคุย คนที่ไม่ได้โสด แปลว่า ความสามารถในการพูดคุยกับคนอื่นๆเกินระดับความสัมพันธ์แบบมิตรภาพทั่วๆไปเป็นเรื่องที่คุณไม่มีสิทธิใช้มันอีกแล้ว แล้วสถานะคนคุยๆกันที่กำลังเป็นประเด็นความเศร้าและความระคายใจของใครต่อใครในยุคนี้ จะเป็นไปได้โดยความสุขของทุกๆเต็มร้อยเท่าๆกัน  


    ....................

    ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ทาง https://www.facebook.com/0degreecelsius/


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in