เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าจากความฝันhiyuura
ตู้หยอดเหรียญ
  • คุณเคยสูญเสียคนที่รักไปหรือเปล่า
    เคยไหม...ที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึกว่างเปล่า ไม่เหลือใคร
    แล้วถ้าหากมีวันหนึ่ง คุณพบสิ่งมหัศจรรย์ที่หยิบยื่นโอกาสให้คุณได้พบกับพวกเขาเหล่านั้นอีกครั้งล่ะ...?

    “ตู้หยอดเหรียญ...? ขายอะไรเนี่ย มองไม่เห็นข้างในเลย”

    มันเป็นตู้หยอดเหรียญสีดำสนิทขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีปุ่มหน้าจอสัมผัสกับรูหยอดเหรียญและช่องเงินทอนเหมือนตู้หยอดทั่วไป แต่ว่าไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็ไม่เห็นหน้าตาของสินค้าที่มันขาย

    “ยังไม่เปิดใช้งานละมั้ง” ผมพูดเบาๆกับตัวเองแล้วก็ยักไหล่
    มันก็แค่ตู้หยอดเหรียญธรรมดา สีสันไม่ดึงดูดตาเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่ผมออกจากบ้าน หรือกลับจากที่ทำงาน ผมจะผ่านเจ้าตู้นั่นทุกครั้ง

    ผ่านไปเป็นเดือน ผมก็ยังไม่เห็นมันขายอะไร

    วันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน ผมเดินกางร่มกลับบ้านในฤดูที่ฝนชอบตกในยามค่ำ ละอองเย็นสาดกระทบผิวกายแม้ถือร่มกำบังจนอดหนาวสั่นน้อยๆไม่ได้ บรรยากาศรอบตัวดูมืดหม่น แม้แต่แสงไฟจากร้านรวงหรือบ้านเรือนที่ผ่านก็ดูจะซีดสลัวลงด้วยความทึบเทาของม่านฝน...

    น่าประหลาดที่แสงนีออนจากตู้หยอดเหรียญนั่นกลับดึงดูดความสนใจของผมมากกว่าทุกวัน

    ขาของผมเหมือนถูกมนต์สะกดให้เดินเข้าไปใกล้ตู้นั่น ตู้ที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่อาจมองเห็นสินค้าข้างในได้
    เอาเถิด จะเสียเวลาอีกสักนิดก็ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อต่อให้รีบกลับบ้านแค่ไหนมันก็ไม่แตกต่าง

    ในบ้าน...ก็คงว่างเปล่าเหมือนกับทุกครั้ง...

    คุณเคยสูญเสียคนที่รักไปหรือเปล่า
    เคยไหม...ที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึกว่างเปล่า ไม่เหลือใคร

    ผมเป็นคนหนึ่งที่ประสบเคราะห์ร้ายเช่นนั้น ตอนแรกก็พ่อผม พ่อเสียชีวิตด้วยมะเร็งปอดเพราะสูบบุหรี่หนัก แม่เลี้ยงดูผมกับน้องคนเดียวไม่กี่ปีก็ล้มป่วยออดๆแอดๆ พอผมขึ้นมหาวิทยาลัย แม่ก็เสียชีวิต ผมไม่สนิทกับน้องชาย เราพูดกันแทบจะนับคำได้ ผมไม่ใช่พี่ที่ดีนักและมักจะด่าน้องชายเพียงคนเดียวของผมว่าเขามัน ‘ไอ้ตัวซวย’

    ถ้าวันนั้น ‘ไอ้ตัวซวย’ ไม่โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
    ถ้าวันนั้น ‘ไอ้ตัวซวย’ ไม่เอาแต่ขี้เหล้าเมายามาอาละวาดกลางถนน
    ถ้าวันนั้น ‘ไอ้ตัวซวย’ ไม่เรียกแฟนของผมว่า ‘พวกลักเพศ’

    เธอคนนั้นที่จิตใจอ่อนไหวอยู่เสมอ…ก็คงจะไม่ถูกรถชน

    ผมไม่ใช่ลูกที่ดีเท่าไหร่ เพราะไม่เคยได้ตอบแทนบุญคุณบิดามารดา จนตอนนี้ก็เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนที่ใช้ชีวิตซังกะตายไปวันๆ
    ผมไม่ใช่แฟนที่ดีนัก เพราะถ้าผมเป็นแฟนที่ดี ผมควรจะเฝ้าระวังและถนอมเธอคนนั้นให้มากกว่านี้ ไม่ปล่อยให้อุบัติเหตุมาพรากเธอไป

    แต่ต่อให้ผมโทษ ‘ไอ้ตัวซวย’ ให้มากยังไง ผมก็ยังเป็นพี่ชายที่โง่เง่าบัดซบ ผมเฝ้าด่าทอ ‘ไอ้ตัวซวย’ คนนั้น ชกหน้ามันและบอกว่ามันไม่ใช่น้องงชายของผม
    ‘ไอ้ตัวซวย’ คนนั้นที่มันก็ไม่เหลือใครคนใดในโลกนอกจากพี่ชายเพียงคนเดียวที่เกลียดขี้หน้ามัน
    ‘ไอ้ตัวซวย’ คนนั้นที่วันต่อมากินยาฆ่าตัวตาย

    ไม่รู้ทำไม...ในวันนี้ที่อากาศหม่นมัว ทั้งๆที่มันก็เหมือนกับทุกวันที่โปรยฝนร่วงหล่นจากฟ้า ผมกลับคิดถึงเรื่องของพวกเขาทุกคนยิ่งกว่าทุกวัน...

    แสงไฟนีออนจากตู้หยอดเหรียญส่องสาดร่างของผม มันเปลี่ยนจากสีเขียวเรืองๆเป็นสีฟ้าแล้วก็สีแดง ผมกระพริบตาไล่หยาดน้ำอุ่นที่รินลงแข่งกับฝนที่บนแก้ม เฉียบพลัน ภาพที่ปรากฎตรงหน้าผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    ตู้หยอดเหรียญสีดำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีปุ่มหน้าจอสัมผัสกับรูหยอดเหรียญและช่องเงินทอนเหมือนตู้หยอดทั่วไป หากแต่สิ่งที่มีป้ายบอกราคาอยู่ในตู้คือลูกแก้วกลมๆที่มีภาพความทรงจำของผมอยู่ข้างใน
    สินค้าหลากหลายในตู้ ทั้งพ่อผม...ทั้งแม่ คนรัก น้องชาย...รวมไปถึงไอ้ตูบตัวแรกและตัวเดียวที่ผมเก็บมันมาจากข้างถนน ไอ้ตูบตัวนั้นที่วิ่งหายจากบ้านไปและไม่เคยกลับมา...

    “สนใจสินค้าในตู้ล่ะสิ” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง ผมสะดุ้งรีบหันกลับไปมอง
    ชายวัยกลางคนสวมหมวกสีตองอ่อนกับเสื้อผ้าปอนๆยืนอยู่ตรงนั้น
    ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าว่าเขาโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมไม่สนใจ เพราะตอนนี้ผมไม่อาจละสายตาจากสิ่งของที่อยู่ในตู้หยอดเหรียญประหลาดตรงหน้า

    “ของในตู้คืออะไร ทำไมถึงมี...” ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ ไม่อาจพูดอะไรต่อไปได้
    ชายสวมหมวกมองผมนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งก็แบมือมา ในมือมีเหรียญตราเก่าๆที่ผมดูไม่ออกว่าเป็นของประเทศอะไร บางทีอาจจะเป็นเหรียญของเล่นก็เป็นได้
    “ตู้หยอดเหรียญนี้เป็นตู้ที่พิเศษกว่าตู้อื่นๆ มันจะขายให้เฉพาะคนที่ปรารถนาอยากได้เวลากับคนที่รักกลับมาอย่างสุดซึ้ง” ชายคนนั้นขยับใกล้เข้ามา แสงสีฟ้าจากตู้หยอดสะท้อนนัยน์ตาที่ดูฝ้าฟางเกินกว่าวัย “อยากจะซื้อไหมล่ะ”

    ผมไม่เคยเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ ไม่เคยแม้แต่จะเข้าวัดเข้าวา
    ผมไม่เชื่อว่าเวลาจะถูกซื้อคืนมาได้

    “เอาสิ แลกเหรียญกับลุงเลยละกัน” ผมหยิบแบงค์ยี่สิบยื่นให้ชายสวมหมวก ผมไม่เชื่อเรื่องที่เขาพูดหรอก แต่แค่คิดว่าไม่มีอะไรจะเสียก็เท่านั้น
    “อ๊ะๆ” ชายคนนั้นชักมือกลับ “ไม่ได้ซื้อได้ด้วยเงิน เวลาน่ะ ต้องซื้อด้วยเวลา”
    “ซื้อด้วยเวลา? ซื้อยังไง?”
    ชายสวมหมวกผายมือไปยังราคาสินค้าที่แสดงด้วยไฟสีแดงเป็นตัวเลข น่าตลกที่ราคาของแต่ละคนที่ผมอยากจะพบดูจะแปรผันตรงกับความรู้สึกอยากพบของผม

    น่าขันไหมล่ะ ที่ความรู้สึกโหยหาคนที่ไม่อยู่แล้วถูกเอามาเปลี่ยนเป็นตัวเลข

    อายุขัย 10 ปีสำหรับพ่อที่ผมแทบจะลืมหน้า อายุขัย 15 ปีสำหรับแม่ที่เลี้ยงผมมาด้วยความเหนื่อยยาก อายุขัย 10 ปีสำหรับเธอคนนั้นที่สำคัญไม่แพ้คนในครอบครัวของผม 8 ปีสำหรับน้องชายที่ผมเคยเรียกว่า ‘ไอ้ตัวซวย’ 5 ปีสำหรับไอ้ตูบ...

    ผมแค่นหัวเราะกับความไร้สาระของตาลุงตรงหน้า เอาสิ ลองเล่นกับตลกร้ายนี่สักตั้งคงไม่เป็นไร
    “ไม่รู้ลุงจะเล่นอะไร แต่คนอย่างผมต่อให้ชีวิตสั้นลงสิบปีมันก็ไม่เปลี่ยนหรอก เอาสิ แลกสิบปีสักเหรียญ” ผมรับเหรียญเก่าๆมาจากลุงคนนั้น หยอดมันลงไปในช่องใส่เหรียญ เสียงเหรียญหนักอึ้งตกลงไปในตู้ ก่อนที่ตู้สีดำตรงหน้าจะสว่างขึ้น พร้อมกับไฟเขียวบนปุ่มกดสินค้า ผมยักไหล่ ก่อนจะกดซื้อลูกแก้วที่มีความทรงจำของเธอคนนั้น

    ลูกแก้วกลิ้งเลื่อนจากช่องขายของ ไหลลงมาตามราง ไหลมา ไหลมา และตกลงในช่องรับของ ผมเปิดช่องดูโดยไม่ได้รู้สึกคาดหวัง ก็จะคาดหวังอะไรล่ะ กับคนที่ชีวิตไม่เหลือหวังอะไร
    ชายสวมหมวกหัวเราะเบาๆ

    ไม่มีอะไรอยู่ในช่อง

    ผมมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าเอือมระอา ใช่สิ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรหรอก กับอีแค่เรื่องเพ้อฝันลมๆแล้งๆ ผมยักไหล่อีกครั้งและหันหลังให้กับตู้และชายสวมหมวก เดินต่อไป...กลับ...กลับไปยังบ้านที่ว่างเปล่า

    ไม่นานผมก็กลับมายืนใต้ชายคา มือหนึ่งควานหากุญแจบ้านในกระเป๋า ในหัวก็นึกถึงบะหมี่สำเร็จรูปที่คงจะเอามาต้มเป็นมื้อเย็นและอาจจะมื้อค่ำ ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปเตรียมไขกุญแจ

    พลันประตูบ้านก็เปิดออก

    เธอคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าผม

    “กลับมาแล้วเหรอคะ ให้รอตั้งนาน” เธออยู่ในชุดกระโปรงลายดอกแบบเดียวกับวันที่ผมสูญเสียเธอ รอยยิ้มของเธอชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าภาพที่ผมพยายามทบทวนซ้ำๆในความทรงจำของผม

    ผมปล่อยกระเป๋าทำงานกับร่มร่วงหลุดจากมือ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ คนขี้แพ้อย่างผมหวาดกลัวเหลือเกินว่าเธอตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ทว่า...อ้อมกอดของเธอ...กลับอบอุ่นเหลือเกิน...



    ฝนหยุดตกแล้ว แต่น้ำตาผมยังไหลริน มันคือน้ำตาแห่งความสุข
    ผมบอกรักเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตระกองกอดสูดเอากลิ่นหอมจากเรือนผมนุ่ม...แชมพูยี่ห้อที่เธอชอบกับกลิ่นหวานๆ...
    ผมรักเธอเหลือเกิน ผมหวังเหลือเกินว่าเธอตรงหน้าจะไม่มีวันหายไป...ไม่จากผมไปอีก

    เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอยในยามสายของวันต่อมา



    ผมยืนอยู่หน้าตู้หยอดเหรียญประหลาดนั่นในเย็นวันรุ่งขึ้น ยืนจ้องตู้สีทึบดำของมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมันเริ่มเรืองไฟหลากสี ผมเห็น ‘เธอ’ กลับไปอยู่ในช่องขายของช่องเดียวกับที่ผมซื้อลูกแก้วของเธอมาด้วยอายุขัยสิบปีเมื่อวาน

    ไม่นาน ชายสวมหมวกสีตองอ่อนก็ปรากฎตัว



    คุณเคยสูญเสียคนที่รักไปหรือเปล่า
    เคยไหม...ที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึกว่างเปล่า ไม่เหลือใคร
    แล้วถ้าหากมีวันหนึ่ง คุณพบสิ่งมหัศจรรย์ที่หยิบยื่นโอกาสให้คุณได้พบกับพวกเขาเหล่านั้นอีกครั้งล่ะ...?

    ชายสวมหมวกสีตองอ่อนจ้องมองร่างของชายชราที่ขาดใจตายตรงหน้าตู้ มือเหี่ยวแห้งจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกยังคงกำเหรียญตราเก่าๆเอาไว้
    “อายุขัยรวม 72 ปี...” ชายคนนั้นเอ่ยเบาๆ พลางถอดหมวกออก เรือนผมดำขลับรับกับใบหน้าอ่อนเยาว์ปลิวไสวในสายลมยามเช้า “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โง่หรือฉลาดกันแน่นะ”

    ดวงตาที่หาได้ฝ้าฟางอีกต่อไปจับจ้องดวงหน้าของชายชราที่สิ้นใจแล้ว ดวงหน้าที่เคยซังกะตายของชายหนุ่มวัยทำงานที่ไม่เชื่อปาฏิหาริย์เมื่อยามหยอดเหรียญเหรียญแรกลงในตู้หยอด...บัดนี้มันชะงักค้างอยู่ในทีที่เปี่ยมไปด้วยหวัง

    แลกหลายสิบปีแห่งชีวิตแทนที่การอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง

    ชายวัยกลางคนที่กลายมาเป็นชายหนุ่มลูบไล้ดวงหน้าเหี่ยวย่นของคนตายอย่างครุ่นคิด ก่อนมือหนึ่งจะเลื่อนปิดเปลือกตานั้นให้หลับลงสนิท

    คนโดดเดี่ยวจากไปแล้วกับนิทรานิรันดร์ในห้วงฝันที่ตัวเองจะไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป…



    “นี่...เธอ...แม่หนูที่ดูเศร้าๆตรงนั้นน่ะ” ชายชราหมวกสีตองอ่อนปรากฎกายจากเงามืด หยิบยื่นเหรียญตราประหลาดเก่าๆให้หญิงสาวที่ยืนจ้องมองตู้หยอดเหรียญสีดำในวันฝนตก
    “...มีอะไรหรือคะ?”
    “สนใจแลกอายุขัย เพื่อจะได้อยู่กับคนที่เธอเสียไปแล้วสักคืนหรือเปล่า”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in