เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Two of us6thJune
Two of us - Part01
  • *หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ 6thJune (ผู้แต่ง) ไม่ได้เป็นผู้โพสเอง (โพสไม่เป็น ฮ่า) ผู้โพสให้เลยถือวิสาสะ นำรูปของหวังอี้ป๋อและเซียวจ้าน ซึ่งตรงกับคาแรคเตอร์ในความคิดของผู้โพสตอนที่อ่านมากๆ มาแปะลงในนิยายเรื่องนี้ด้วย (นิยายเรื่องนี้ 6thJune แต่งก่อนที่จะมีการปล่อยรูปภาพของ เซียวจ้านในโหมดคุณหมอกู้เว่ยออกมา พอรูปมาปุ๊บ เลยทำให้ขนลุกกันไปตามๆ กัน เพราะว่าใช่มาก)
    ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ








    Two of us - Part01







    ‘พี่ ต้องการอะไร?’
    ‘ไปซะ’
    .
    .
    .
    ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง เขานั่งซุกหน้ากอดเข่า ก่อนจะค่อย ๆ เงยขึ้น เมื่อได้ยินเสียงม่านสีเทาเข้มสะบัดดังพรึ่บพรั่บด้วยแรงลม กระแทกขอบหน้าต่างเหมือนโกรธแค้นอะไรมา
    ฝันอีกแล้ว...เขานึกในใจ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าตัวเอง และใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ลำคอ เสียงฟ้าร้องที่ดังมาจากที่ไกล ๆ ฝนคงกำลังจะตกเลยยิ่งทำให้อากาศอบอ้าว
    เขาเอามือกุมที่หน้าอกด้านซ้าย เมื่อนึกถึงสายตาของคนในฝัน สายตาที่แสดงความเจ็บปวดอย่างไม่ปิดบัง แต่น้ำเสียงที่ถาม กลับราบเรียบเหมือนไร้อารมณ์
    เป็นความฝันเดิม ที่ฝันเกือบทุกคืนเป็นเวลาสิบปี ในฝันเขารู้สึกเสียใจ เจ็บปวด ทรมาน แม้ได้เห็นแค่แววตา และได้ยินเสียงเพียงประโยคเดียว

    “ช่างเถอะ ก็แค่ฝัน” เสียงที่เหมือนพูดกับตัวเองเบา ๆ เพื่อให้ดีขึ้น

    .
    .
    .
    “ไหนอ้าปากกว้าง ๆ ขอหมอดูหน่อย” เสียงแจ่มใสพร้อมกับอ้าปากไปด้วย ทำเอาพยาบาลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อดอมยิ้มไม่ได้

    “ทำตามหมอนะ” น้ำเสียงหลอกล่อจนสุดท้าย เด็กชายวัยสักสามขวบก็ยอมทำตาม อาจจะเป็นเพราะเห็นอมยิ้มในมือของหมอที่โบกไปมาด้วยก็เป็นได้

    “คุณหมอจาง ขวัญใจเด็ก ๆ อย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ” พยาบาลฝึกหัดที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ แอบกระซิบกับเพื่อนข้าง ๆ

    “ก็ยิ้มน่ารักขนาดนั้น ฉันเป็นเด็กก็เคลิ้ม”

    ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งกว่าชายทั่วไปด้วยความสูง 183 เซ็นต์ฯ ใบหน้าที่คมคาย ตาเรียว รับกับจมูกโด่ง ริมฝีปากไม่หนาไม่บาง แต่เวลายิ้มกระชากใจเกือบทุกคนที่เห็น ผิวไม่ขาวแต่ก็ไม่เข้มจัด ออกไปทางสีแทนจากการอยู่กลางแจ้ง

    "แต่ผอม เอวบางไปนิดนะ" พอพูดจบก็หัวเราะคิกคักกันเบา ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงพยาบาลที่ยืนเฝ้าอยู่กระแอมเป็นการเตือน

    เมื่อพยาบาลนำคนไข้เด็กและผู้ปกครองออกจากห้องตรวจไป หมอจางถึงกับฟุบลงกับโต๊ะ วันนี้เขาเข้าเวรตั้งแต่แปดโมงเช้า ลากยาวมาจนตอนนี้เกือบบ่ายสามโมงแล้ว

    “คุณหมอจางคะ ว่างแล้วใช่ไหม?” พยาบาลสาวถามเมื่อยื่นหน้าเข้ามาในห้องตรวจ

    “ไม่มีคนไข้แล้ว แต่หิวมาก” หมอตอบพร้อมกับทำตาเหลือก เรียกเสียงหัวเราะได้ทันที

    “นี่ค่ะ รีบกินซะ แล้วลงไปช่วยที่ห้องฉุกเฉิน” พยาบาลพูดพร้อมกับวางซาลาเปาสองลูก และกล่องน้ำส้มลงบนโต๊ะ

    “ขอบคุณมาก อาหลิน” หมอตอบพร้อมกับยกมือไหว้ท่วมหัว รีบหยิบซาลาเปามากัดคำโต

    “เอี๋ยวอ๊ะ..อ้องอุกเอินอีกแอ้วอ๋อ? (เดี๋ยวนะ..ห้องฉุกเฉินอีกแล้วเหรอ?) ”

    “แค่ลงไปช่วยเย็บแผล หรือปฐมพยาบาลค่ะ วันนี้พยาบาลลาหยุดหลายคน ส่วนบางคนต้องพาพวกพยาบาลฝึกหัดตามคุณหมอท่านอื่น ๆ”

    หมอจางฟังแล้วก็ทำคอตก เขานึกว่าจะได้กลับบ้านเร็วเสียอีก

    “ตอนนั้นไม่น่าเลยเรา” เขารำพันกับตัวเองเบา ๆ เพราะก่อนที่จะเลือกเรียนแผนกกุมารเวช ดันไปเลือกแผนกฉุกเฉินด้วยความอยากรู้

    “ไปค่ะ เหลือแค่นั้น เดินไปด้วยเคี้ยวไปด้วย” อาหลินไม่พูดเปล่า ดึงแขนหมอจางให้ลุกออกไปจากห้องด้วยกัน

    “ไม่เอา ไม่เอา ม่ายย” หมอจางทำเสียงงอแง ทั้ง ๆ ที่เดินตามไปอย่างว่าง่าย และยัดซาลาเปาครึ่งลูกในมือเข้าปาก

    เมื่อลงมาถึงแผนกฉุกเฉิน มีคนไข้นั่งรออยู่อีกหลายคน กวาดตามองไปรอบ ๆ ทุกเตียง หมอและพยาบาลทุกคนกำลังดูแลคนไข้อยู่อย่างเต็มที่

    “หมอจางคะ ทางนี้” อาหลินกวักมือเรียก เมื่อเปิดม่านที่ปิดไว้ มีคนไข้นั่งอยู่บนเตียง

    “นี่ค่ะ” อาหลินส่งแฟ้มคนไข้ให้ แล้วเดินออกไปพร้อมรูดม่านปิด

    “สวัสดีครับ ผม จาง ชิง จะมาตรวจ เอ่อ คุณหลี่ เฟิง เกิดอุบัติเหตุล้ม แขนโดนกระจกบาด ไหนขอหมอดูสิครับ”
    หมอจางแนะนำตัว และอ่านออกเสียงข้อมูลในแฟ้ม ก่อนจะเงยหน้ามองคนไข้ เมื่อสบตากัน...


    ตุบ!


    เสียงแฟ้มหลุดจากมือตกกระแทกพื้น หมอจางกะพริบตาถี่ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ กล่าวขอโทษและก้มลงหยิบแฟ้มที่ตกขึ้นมา

    “ขอหมอดูหน่อยนะครับ” เขาวางแฟ้มลงบนเตียงคนไข้ พยายามให้มือไม่สั่น

    “หมอจางคะ ฉุกเฉินค่ะ ฉุกเฉิน” เสียงของอาหลินดังมาจากเตียงข้าง ๆ ซึ่งมีเพียงผ้าม่านกั้นไว้

    “โทษทีๆ ลืมตัว นึกว่าตรวจอยู่ข้างบน” หมอจางตอบ พยายามฝืนหัวเราะ

    “เร็วค่ะ เสร็จจากนี้ มีต่ออีกสองเคสนะคะ”

    หมอจางจัดการคนไข้ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วและเรียบร้อยในเวลาไม่นาน ไม่มีบทสนทนา จนกระทั่งเสร็จ

    “ขอบคุณครับ” คนไข้บอกก่อนจะลุกขึ้นยืน และเดินออกไป

    หมอจางทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น เขาถอดถุงมือออกอย่างยากลำบาก ลมหายใจติดขัด มือกุมที่หน้าอกด้านซ้าย ทรมาน เสียงวิ้ง ๆ ในหูดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่พยายามหายใจ แต่กลับไม่เป็นผล สติที่มีอยู่ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับเสียงร้องตกใจของอาหลิน


    ‘สายตานั้น...เสียงด้วย’

    ‘คนในฝัน’

    .
    .
    .

    เสียงหวีดหวิวของลม แทรกผ่านเข้ามา ภาพที่เห็นข้างหน้าพร่ามัวด้วยละอองน้ำ พื้นถนนสีดำสนิทที่สะท้อนแสงเพียงเล็กน้อยจากเสาไฟฟ้าข้างทาง เมื่อตั้งใจฟังดี ๆ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเป็นจังหวะ เหมือนเร่งความเร็ว ถนนทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา และดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด

    “หมอจางคะ หมอจาง”

    เสียงเรียกพร้อมแรงเขย่า ทำให้คนถูกเรียกชื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตื่นจากฝัน

    “โล่งอกไปที นึกว่าจะต้องแอดมิดซะแล้ว”
    หมอจางกะพริบตาถี่ เป็นอาหลินคนเดิมนั่นเอง เขานิ่งไปสักพัก เริ่มนึกออกว่า เขาคงเป็นลมหมดสติไปที่ห้องฉุกเฉิน

    “สงสัยหิวจนเป็นลม” หมอจางพูดติดตลก พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง

    “ซาลาเปาสองลูก ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหรอคะ?” อาหลินถอนหายใจ

    หมอจางไม่รู้จะทำหน้ายังไง ได้แต่ทำหน้ารู้สึกผิด เขาไม่สามารถจะเล่าเรื่องความฝันให้คนอื่นฟังได้ โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน

    ความจริงแล้ว ช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาได้เข้าไปรับคำปรึกษาจากนักจิตวิทยามาหลายคน แต่ผลสรุปออกมาเกือบทุกครั้งไม่เคยแน่ชัด ไม่สามารถหาเหตุผลของความฝันได้

    “รีบกลับเถอะค่ะ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ ไม่เหมาะกับคุณหมอเด็กชื่อดังเลยน้า” อาหลินพูดเสียงดัง ปลอบใจ

    หมอจางพยักหน้าหันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนัง ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เขาเดินออกมาจากประตูห้องฉุกเฉิน พร้อมกับถอดเสื้อกาวน์ออกมาถือไว้ วันนี้เขาเดินมาทำงานมีเพียงกุญแจห้อง และหยิบเงินใส่กระเป๋ากางเกงมาไม่มาก แค่พอซื้ออาหารกลางวันและเย็นเท่านั้น แม้แต่มือถือยังไม่ได้หยิบมาด้วยซ้ำ

    จากโรงพยาบาลเดินอ้อมไปทางด้านหลัง จะเจอถนนแคบหนึ่งเลนซึ่งนำไปสู่หอพักของแพทย์และนักศึกษาแพทย์ เป็นตึกห้าชั้นที่เรียงกันอยู่เป็นสิบตึก

    หมอจางแวะซื้ออาหารเย็นจากร้านบะหมี่ข้างทาง เดินมาอีกไม่ไกลก็ถึงตึกแรก ตึกหอพักทั้งหมดไม่มีลิฟต์เพราะมีเพียงห้าชั้น เขาลากขาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังกึง ๆ ห้องของเขาอยู่ห้องสุดท้ายด้านในสุด

    พื้นเพของเขาเป็นคนที่นี่ แต่ที่ต้องอยู่หอพักเพราะถึงแม้ว่าอยากจะกลับบ้านก็ไม่มีให้กลับ
    จาง ชิง เป็นเด็กกำพร้าพักอยู่ในสถานพักพิงแถบชานเมือง ด้วยความที่เป็นเด็กอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม สดใส (ตามความหมายของชื่อ ชิง 青 ที่แปลว่า สีเขียวหรือฟ้า ซึ่งยังมีอีกความหมายคือ ความเยาว์วัย) เลยทำให้ไม่ค่อยมีปัญหากับใคร หรือถึงแม้จะมีก็มักจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ แถมยังเรียนเก่ง

    ปีสุดท้ายก่อนจะออกมาจากสถานพักพิง เขาประสบอุบัติเหตุตกบันไดหัวกระแทกจนสลบไปหลายวัน เป็นคำบอกเล่าจากคุณครูใหญ่ประจำสถานพักพิงเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล
    จางชิงออกจากสถานพักพิงเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่เพราะอยากจะออกมาอยู่เอง แต่เพราะเป็นกฎที่ยึดถือกันมา




    ความจริงแล้วช่วงที่อยู่ในสถานพักพิง ความทรงจำของเขา เหมือนขาดหายไป ไม่ปะติดปะต่อ นาน ๆ ครั้งก็มีบ้างที่อยากจะนึกให้ออก

    จางชิง สะบัดหัวเบา ๆ หลายที รู้สึกปวดหัวและมึนหัวขึ้นมาอีกแล้ว

    “สงสัยต้องกินยาแฮะ” จางชิงพูดกับตัวเองเบา ๆ

    เมื่อเปิดประตูเข้าห้องพัก ด้านซ้ายเป็นชั้นวางรองเท้า ที่มีรองเท้าวางอยู่เพียงสองคู่ คือ รองเท้าผ้าใบ และรองเท้าแตะ ส่วนรองเท้าทำงาน จางชิงเพิ่งถอดออกมาวางเดี๋ยวนี้เอง พื้นห้องเป็นพื้นไม้ เวลาเดินทำให้เกิดเสียงเบา ๆ แต่ไม่ถึงกับน่ารำคาญ เขาเปิดประตูห้องน้ำด้านขวามือ ถอดถุงเท้าและโยนเข้าไปอย่างไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะเปิดไฟห้องน้ำเลยด้วยซ้ำ

    เมื่อเดินเข้ามาอีกสองสามก้าว มีตู้เย็นหนึ่งประตู ไมโครเวฟตั้งอยู่ด้านบน และตู้ไม้สี่ชั้นวางอยู่ ชั้นบนสุดเป็นพวกยา และของจำเป็นต่าง ๆ ส่วนสามชั้นที่เหลือเต็มไปด้วยหนังสือและตำราวิชาการ ข้าง ๆ กันมีสวิตช์ไฟ เมื่อเปิดแล้วทำให้สว่างไปทั้งห้อง มีโต๊ะกินข้าวขนาดสองที่นั่งวางอยู่กลางห้อง เตียงนอนวางชิดผนังด้านขวา ตรงหัวนอนมีหน้าต่างบานใหญ่ม่านสีเทาเข้มปิดอยู่ ด้านซ้ายของห้องมีประตูเปิดออกไปเป็นระเบียงเล็ก ๆ ตรงหน้าประตู มีราวแขวนผ้าตั้งอยู่ซึ่งมีเสื้อเชิ้ตทำงานสีขาวแขวนอยู่สามสี่ตัว กางเกงสำหรับใส่ทำงาน จำนวนเท่ากัน มีกล่องพลาสติกใสขนาดกลางอยู่ข้างใต้เปิดฝาทิ้งไว้ มีเสื้อยืดกางเกงขาสั้นและอื่น ๆ ที่ไม่ได้พับสุมอยู่ในนั้น

    จางชิง วางบะหมี่ที่ซื้อมาบนโต๊ะ หันซ้ายหันขวาก่อนจะถอนหายใจ เดินกลับไปที่ห้องน้ำ เพื่อล้างมือและล้างหน้า

    “โอ้โห” จางชิงอุทานออกมาเมื่อเห็นหน้าของตัวเองในกระจก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

    “มิน่าหละ อาหลินถึงจะได้ไล่กลับบ้าน” เขาพูดต่อพร้อมกับหัวเราะขื่น

    หลังจากที่จางชิงอาบน้ำเสร็จ บะหมี่ถูกยัดเข้าตู้เย็น เขาไม่นึกอยากกินอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

    “เฮ้อ” เขาถอนหายใจเสียงดัง และหยิบยาที่หมอจ่ายให้สำหรับอาการปวดและมึนหัวหนึ่งเม็ดโยนเข้าปากดื่มน้ำ ก่อนจะล้มตัวลงนอน

    ถึงแม้จะปิดไฟแล้ว แต่แสงไฟจากด้านนอกยังคงส่องลอดผ่านผ้าม่านมาได้ จางชิงจ้องมองเพดานห้องอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ หลับตา และผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ยา

    .
    .
    .


    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น


    จางชิงกวาดมือไปตามพื้นข้างเตียง ก่อนจะตบปิดเสียงเมื่อหาตัวการเจอ เขางัวเงียลุกขึ้นนั่ง ใช้มือทั้งสองข้างขยี้ผม ก่อนจะตบแก้มตัวเองหลาย ๆ ทีเป็นการปลุกให้ตื่นเต็มที่

    “ยาดีจริง ๆ น่าเสียดาย กินทุกคืนไม่ได้” เขารำพันกับตัวเองเบา ๆ

    จางชิงลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตที่แขวนอยู่พร้อมกับกางเกง ไม่จำเป็นต้องเลือกให้มากความ เพราะมีสีขาวสีเดียว ซึ่งเขาก็พอใจแบบนั้น

    หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จางชิงอุ่นบะหมี่ที่ซื้อไว้เมื่อคืนเป็นอาหารเช้า ระหว่างนั้นเขามองออกไปนอกหน้าต่าง โชคดีที่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้สร้างตึก แต่ปล่อยให้เป็นต้นไม้ใหญ่เรียงกันอยู่หลายต้น สีเขียวของใบไม้สบายตา แถมเสียงนกร้องไห้ได้ยิน

    เมื่อกินเสร็จ เขาถือชามออกไปล้างที่อ่างล้างจานซึ่งตั้งอยู่นอกระเบียง ห้องนี้ไม่มีห้องครัวไว้ทำอาหารเพราะเป็นห้องริมสุด เขาตั้งใจเลือกห้องนี้เพราะชอบ ไม่ได้มีเหตุผลอื่นเลย ทั้ง ๆ ที่สมัยก่อนตอนอยู่ที่สถานพักพิง เขามักจะเข้าครัวทำอาหารเสมอ

    เสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนที่ดังมาจากถนนด้านล่าง ทำให้จางชิงรีบล้างชามให้เสร็จ และชะโงกหน้าออกไปดูด้วยความสนใจ

    “เร็วเข้า อีกสิบนาที เดี๋ยวโดนผู้อำนวยการเฉินดุ”

    จางชิงอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นนักศึกษาแพทย์สองคน ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงหนึ่ง กำลังหอบหนังสือเรียน รีบก้าวถี่ ๆ ไปตามถนนด้วยท่าทางทุลักทุเล ทำให้นึกถึงตอนที่ตัวเองเรียนอยู่ นักศึกษาแพทย์ต้องไปรายงานตัวกับผู้อำนวยการทุกเช้า ก่อนจะเริ่มเดินตรวจตอนแปดโมง

    “เวลาผ่านไปเร็วจัง ห้าปีแล้ว” เขารำพันกับตัวเองเบา ๆ

    หลังจากเรียนจบตอนอายุ 24 ปีก็เข้าทำงานที่โรงพยาบาลนี้ทันที โดยไม่ได้ไปสมัครที่อื่น ทั้ง ๆ ที่ในมณฑลอื่นมีความต้องการแพทย์แผนกกุมารเวชสูงมาก ทำให้รายได้ดีกว่าที่นี่เกือบเท่าตัว แต่เขากลับเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เขาไม่อยากจะย้ายไปไหน




    ...เขารักเมืองนี้




    .
    .
    .


    วันนี้เกือบจะเป็นเหมือนทุกวันของจางชิง คือตรวจคนไข้ที่นัดไว้ตั้งแต่แปดโมงเช้า จนกระทั่งเกือบบ่ายสองจึงพอมีเวลาให้ได้รีบกินซาลาเปาสองลูกกับน้ำเต้าหู้ที่อาหลินเอามาให้เป็นอาหารกลางวัน เป็นช่วงเวลาสิบนาทีที่เขาไม่มีคนไข้ แต่ช่วงก่อนจะลงเวร มีคนไข้เด็กที่จางชิงดูแลอยู่เกิดอาการทรุดลง เขารีบวิ่งไปทันที และช่วยไว้ได้ทัน

    จางชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเสียงของเครื่องวัดระดับการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ ไม่ได้ส่งเสียงร้องถี่เหมือนสักครู่

    ความจริงแล้ว จางชิงได้ให้คำแนะนำกับผู้ปกครองของคนไข้ว่าควรจะย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมืองข้าง ๆ ซึ่งมีเครื่องมือทันสมัยกว่าที่นี่ แต่ด้วยคนไข้มีอาการทรง ๆ ทรุด ๆ จึงยังไม่มีจังหวะให้ได้ย้ายไปเสียที

    "คุณหมอจางคะ ทางโรงพยาบาลเมืองข้าง ๆ จะส่งรถฉุกเฉินมารับตัวคนไข้ พรุ่งนี้เช้า" หัวหน้าพยาบาลพูดพร้อมกับยื่นส่งแฟ้มเอกสารให้

    "ขอบคุณครับ" จางชิงตอบเบา ๆ

    ปัจจุบันนี้โรคหัวใจในเด็ก ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน เพราะเทคโนโลยีที่พัฒนาให้ดีขึ้นแทบทุกวัน อย่างเคสโรคหัวใจรั่วของคนไข้เด็กคนนี้ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายร่มสอดเข้าไปทางเส้นเลือดดำทางหัวใจ เพื่ออุดรูรั่ว แถมใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงเท่านั้น

    แต่ปัญหาคือ ที่โรงพยาบาลนี้ยังไม่มีเครื่องมือดังกล่าวนั่นเอง

    "สงสัยว่าจะได้ค้างที่นี่ซะแล้วสิ" จางชิงรำพันกับตัวเองเบา ๆ ยังไม่ละสายตาจากแฟ้มประวัติของคนไข้


    ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น

    "หมอจางคะ อาติงฟื้นแล้วค่ะ" เป็นเสียงของอาหลินนั่นเอง

    จางชิงพยักหน้ายิ้มอย่างดีใจก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน

    "โอ้โห! " อาหลินอุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่าในลิ้นชักเต็มไปด้วยดอกไม้ซึ่งพับจากกระดาษหลายสี มีทั้งสีชมพู แดง เหลือง เขียว ฟ้า

    "สมเป็นคุณหมอเด็กชื่อดังจริง ๆ พับไว้เยอะแยะเลย" อาหลินแซว

    "แลกกับรอยยิ้มของคนไข้ ก็คุ้มอยู่นะ" จางชิงบอกเขิน ๆ ก่อนจะเลือกดอกไม้กระดาษสีชมพูขึ้นมาสองดอก

    เมื่อเดินไปถึงห้องของอาติง คุณแม่กำลังเช็ดหน้าให้ลูกสาวอย่างรักใคร่

    "เป็นยังไงบ้าง คนเก่ง" จางชิงถามเมื่อมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง

    อาติงยิ้มเขินเมื่อจางชิงยื่นส่งดอกไม้กระดาษให้ เด็กน้อยยื่นมือที่มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่มารับ เป็นภาพที่ปวดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

    "พรุ่งนี้ หมอจะพาติงติงไปนั่งรถเที่ยว ดีไหมครับ? " รอยยิ้มของจางชิง ทำให้อาติงพยักหน้าน้อย ๆ เป็นคำตอบ

    อาหลินที่ยืนถือแฟ้มอยู่ กระซิบกับคุณแม่ของอาติงเบา ๆ เรื่องพรุ่งนี้เช้า ทั้งสองคนมองมาที่จางชิง
    เมื่อทำการตรวจอาการของอาติงเสร็จเรียบร้อย จางชิงชวนคุณแม่ออกมานอกห้อง ส่งสายตาให้อาหลินคอยเฝ้าอาติงไว้ก่อน

    "พรุ่งนี้โรงพยาบาลจากเมืองข้าง ๆ จะส่งรถฉุกเฉินมารับ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ จากที่ตรวจเมื่อสักครู่ ไม่มีอาการแทรกซ้อน และผมจะนั่งไปกับอาติงด้วย"

    คุณแม่พยักหน้ากลั้นสะอื้น ทั้ง ๆ ที่ควรจะโล่งใจ แต่กลับมีความรู้สึกกังวลเข้ามาแทนที่

    "ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงครับ เราขับรถตามกันไป พอไปถึงอาติงพักหนึ่งคืน วันต่อมาก็เข้ารับการรักษาได้เลย ผมประสานงานให้เรียบร้อยแล้ว" จางชิงอธิบายต่อ

    "ขอบคุณมาก ๆ ค่ะคุณหมอจาง" คุณแม่ก้มหัวพร้อมกับเช็ดน้ำตาไปด้วย

    .
    .
    .


    "โชคดีที่พรุ่งนี้คุณหมอจางหยุดนะคะ ไม่อย่างนั้นคงไปกับอาติงไม่ได้" อาหลินพูดขึ้นระหว่างกำลังเดินกลับไปที่แผนกด้วยกัน

    จางชิงพยักหน้าก่อนจะยกแขนขึ้นก้มลงดมฟุดฟิด พอได้ยินเสียงหัวเราะของอาหลินก็หันไปมองด้วยสายตาสงสัย

    อาหลินได้แต่ส่ายหน้า คิดในใจว่า ผู้ชายอายุเกือบจะสามสิบ ทำไมถึงทำตัวน่ารักได้ขนาดนี้

    "ผมว่าจะไม่กลับหอ นอนที่นี่เลย พรุ่งนี้จะได้ออกไปตอนรถมาถึง แถมจะได้คอยเฝ้า เผื่อว่ามีอะไรเกิดขึ้น" จางชิงพูดพร้อมกับรอยยิ้มเขิน ๆ

    "คุณหมอจางตัวหอมจะตายค่ะ" อาหลินแซวพร้อมกับขยิบตา

    "พยาบาลที่แผนกลงความเห็นเหมือนกันทุกคนค่ะ ยังเคยบอกให้ฉันมาถามว่า คุณหมอจางใช้น้ำหอมอะไร" อาหลินพูดต่อหัวเราะคิกคัก

    "ผมไม่เคยใช้ ก็อาบน้ำตามปกติ" จางชิงตอบเสียงเบา ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
    เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องตรวจ มีพยาบาลจากแผนกฉุกเฉินยืนรออยู่แล้ว

    "คุณหมอจางคะ คนไข้ที่มาล้างแผลเมื่อวาน กำลังรออยู่ที่แผนกค่ะ" เธอรายงานพร้อมกับยื่นแฟ้มและเดินกลับทันทีด้วยความเร่งรีบ

    จางชิงรับแฟ้มคนไข้มาด้วยสีหน้างง ๆ โดยปกติแล้ว คนไข้ฉุกเฉินจะไม่ค่อยเลือกหมอที่รักษานัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย

    "คุณหมอจางคะ" อาหลินเรียกพร้อมกับทำหน้าขึงขัง

    "ครับ" จางชิงขานรับทันที

    "เป็นหมอเด็กชื่อดังได้ แต่ห้ามเป็นหมอฉุกเฉินชื่อดังนะคะ"

    จางชิงหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับส่ายหน้า

    "เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้วครับ" เขาพูดโบกแฟ้มในมือไปมา ระหว่างเดินออกจากแผนก

    เมื่อเดินมาถึงแผนกฉุกเฉินแล้ว วันนี้คนไข้ไม่มากเท่าเมื่อวาน และพยาบาลคนเมื่อครู่ก็ยืนรออยู่แล้ว

    "เชิญค่ะ" เธอเปิดม่านให้จางชิงเดินเข้าไป

    "ขอบคุณครับ" จางชิงตอบอย่างสุภาพ เพราะอยู่คนละแผนกและไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่

    คนไข้คนเมื่อวานนั่งรออยู่บนเตียงแล้ว วันนี้เขาสวมหมวกแก๊ปสีดำ ทำให้มองไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไหร่

    จางชิงแอบลอบถอนหายใจ เขาแนะนำตัวก่อนจะรักษาเหมือนทุกครั้ง หลี่เฟิงพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไร
    แผลที่ถูกเย็บเมื่อวานดูดีขึ้นจนจางชิงประหลาดใจ อาจจะเป็นเพราะคนไข้อายุยังไม่มาก ถ้าจำไม่ผิดจากประวัติ ปีนี้เพิ่งจะอายุ 26 เท่านั้น ร่างกายเลยฟื้นตัวเร็ว เขาคิด

    "ถ้าไม่สะดวกมาล้างแผลที่โรงพยาบาล จะล้างเองที่บ้าน หรือเปลี่ยนเป็นมาทุกสามวันก็ได้นะครับ จนกว่าจะตัดไหม" จางชิงบอกเมื่อล้างแผลเสร็จ

    "ไม่เป็นไร" หลี่เฟิงตอบพร้อมกับมองหน้าจางชิง

    "ค..ครับ"

    จางชิงได้แต่นึกบ่นในใจว่า เมื่อวานเขาควรจะเลือกใช้ไหมเย็บแผลที่ละลายได้ ไม่ต้องดึงออก แต่ตอนนั้นพยาบาลเตรียมอะไรไว้ให้เขาก็ใช้ตามที่มี

    "ขอบคุณครับ" หลี่เฟิงบอกและยืนขึ้น

    พวกเขาสบตากัน วันนี้จางชิงรู้สึกแปลกใจตัวเองที่ไม่มีอาการเหมือนเมื่อวานเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะเจอเรื่องเครียดมาทั้งช่วงบ่าย และเมื่อคืนได้นอนเต็มอิ่มจากฤทธิ์ยา

    หลี่เฟิงสูงเกือบจะเท่าจางชิง อาจจะห่างกันแค่สองสามเซ็นต์ฯ เท่านั้น คิ้วหนา ดวงตาเรียว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่มและผิวที่ค่อนข้างขาวเมื่อเทียบกับเขา

    เสียงกระแอมทำให้จางชิงรู้สึกตัว

    "อ๊ะ ขอโทษครับ" จางชิงรีบบอกพร้อมกับหลบไปข้าง ๆ เพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่ายืนขวางอยู่

    เมื่อหลี่เฟิงเดินออกไป จางชิงมองตามอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ คล้ายกับเคยเจอเคยรู้จักกันมาก่อน

    "ไม่น่านะ เราไม่มีเพื่อนอยู่เมืองข้าง ๆ เลย จะไปรู้จักได้ยังไง" จางชิงบ่นกับตัวเองเบา ๆ เพราะตามแฟ้มประวัติ หลี่เฟิงไม่ใช่คนเมืองนี้ แค่เกิดอุบัติเหตุและเข้ามารับการรักษาที่นี่เพราะเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเท่านั้นเอง




    To be countinue...



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in