เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
โตเกียวเที่ยวแรกกริบ
01 : เพราะว่าใจ...กลัว
  •    หลังจากเราตกลงเรื่องจะไปไม่ไปได้  ก็เข้าสู่ช่วงเตรียมตัวออกนอกประเทศ เราแบ่งหน้าที่กันแบบหลวมๆ เราอาสาเป็นคนจองตั๋วเครื่องบิน กานเป็นคนจองตั๋ว museum พี่พลอยและพี่น้ำตาลให้เป็นคนทำตารางการเดินทาง เราจองตั๋วเครื่องบินกันข้ามปีด้วยความที่อยากได้ตั๋วถูก แต่พบว่าไอ้ราคาตั๋ว
    โปรโมชั่นพวกนั้นนอกจากจะต้องอดนอนรอแล้ว เน็ตที่บ้านต้องแรงมากด้วย คนหลายพันคนจะกดปุ่มเดียวกันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่แปลกที่เว็บจะล่ม เออเร่อ ท้ายที่สุดพอเราหลงดีใจกดเข้าไปได้ ตั๋วราคาดีเหล่านั้นก็จะหายวับไปแล้ว พวกเราจึงถอดใจได้ตั๋วไปกลับในราคาไปกลับหมื่นกว่าบาทมาครอบครอง การจองตัวข้ามปีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ เราจะได้ตั๋วที่ราคาไม่สูงมาก แต่ ข้อเสีย คือ กว่าเราจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มันใกล้วันเดินทางแล้ว กลายเป็นว่าวุ่นวาย ของไม่ครบ ต้องวิ่งซื้อกันยกใหญ่ และเมื่อวันขึ้นเครื่องมาถึงจริงๆ สมองกับหัวใจก็ลืมคำว่าตื่นเต้นไปหมด มันเขียนคำใหม่ขึ้นมาแทนให้วิ่งวนๆกระโดดขึ้นลงในใจ... ใช่แล้ว... คำว่า กลัว...

       ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นเด็กกลัวเครื่องบินมาตั้งแต่เกิด ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก เย็นวันศุกร์ที่ 13 (แค่เลขก็เป็นมงคลแล้ว) หลังจากเคลียร์งานที่ออฟฟิศเสร็จ ก็กลับบ้านเตรียมตัวเดินทางไปสนามบินดอนเมือง ณ ตอนนั้นในหัวมีอยู่สองอย่าง อย่างแรก “ไม่ไปได้มั้ยวะ...ไม่อยากนั่งเครื่องบิน” อย่างที่สอง “ขอให้พระคุ้มครองลูกด้วย” ฟังเหมือนเป็นเรื่องตลกสำหรับคนทั่วไป แต่คนกลัวความสูงอย่างเรา ช่างเป็นเรื่องที่ขำไม่ออกเลยซักนิดเดียว 

  • ครั้งแรกของหลายๆเรื่องพังลงในวันนี้เพียงวันเดียว การขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ถูกบรรจุลงในสิบอันดับเรื่องสยองขวัญของเราอย่างง่ายดาย โอดครวญในใจว่า"ทำไมจะไปเที่ยวมันต้องทรมานขนาดนี้ด้วยวะ"  ไม่เคยกลัวขนาดนี้มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบแล้ว ตอนนั้นบ้านอยู่ใกล้ดอนเมือง เป็นทางที่เครื่องบินต้องบินลงเสมอๆ เราในวัยเด็กนั้น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเครื่องบิน ก็จะร้องแหกปากลั่น แต่เราตอนอายุ 24 นั้นทำไม่ได้แล้ว นั่นจึงทำให้เราต้องไล่ถามไถ่ความรู้สึกคนอื่นมาล่วงหน้า ว่าเวลาขึ้นเครื่องรู้สึกยังไง และก็ได้รับคำตอบที่คล้ายๆกัน ตัวอย่างเช่น

    เรา : พี่ๆเวลาขึ้นเครื่องบินนี่มันรู้สึกยังไง
    พี่ที่ทำงาน : ไม่น่ากลัวหรอก หูอื้อหน่อยๆ แต่เวลาตกหลุมอากาศมันสั่นเหมือนในหนังเลยนะ 
    เรา : ...โอเค

    เรา : เห้ย!! ขึ้นเครื่องน่ากลัวปะวะ
    เพื่อน : เครื่องบินเป็นยานพาหนะที่ปลอยภัยที่สุดแล้วนะมึง โอกาสตกน้อยมาก แต่ถ้าตกแล้วโอกาสรอดก็น้อยเหมือนกัน
    เรา : มึง....

    เรา : กลัวอะแม่ ไม่ยากไปแล้ว
    แม่ : คนเราถ้าจะตาย อยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ โถ่...
    เรา : ...
      
     ช่างมีแต่คำตอบที่ทำให้เราสบายใจ

    และอีกหลายเสียงต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันไม่ได้น่ากลัวหรอก สะดวกสบายดี ด้วยเหตุนี้จึงจองที่นั่งริมหน้าต่างอย่างสบายใจ จนลืมสำเนียกตัวเองไปว่าเคยกลัวความสูงขนาดไหน ตั้งแต่เครื่องเริ่ม Take off จากสนามบินดอนเมืองตอนเวลา 00.30 น. จนเครื่องเริ่มไต่ระดับความสูง  หัวใจเหมือนหดเล็กลงเท่าเม็ดถั่วเขียว อาการต่างๆเริ่มมา เหงื่อแตก หน้าซีด นิ้วจิกเกร็ง ไม่สามารถแอ๊บหน้าว่าไม่กลัวได้เลย เรียกได้ว่าเสียอาการ นี่ก็ไม่รู้ว่ากัปตันจะดริฟไปไหน ถ้าใครเคยขึ้นเครื่องจากดอนเมืองไปญี่ปุ่นน่าจะพอเข้าใจ มันไม่ได้ขึ้นธรรมดา มีการกลับลำด้วยคล้ายๆการยูเทิร์นรถ แม้มันจะดีขึ้นตอนที่เครื่องขึ้นมาสูงได้ระดับแล้ว ทุกอย่างเริ่มนิ่ง เราเริ่มผ่อนคลายแต่ในหัวคิดเรื่องเดียวกับคนที่กลัวเครื่องบินคิดกัน ตลอดคืนนั้นคิดแต่ว่า "เครื่องตกจะทำไงวะ" "ประกันชีวิตพ่อแม่จะได้กี่บาทวะ"  "จะมีใครรอดมั้ยนะ" 
    คิดออกแต่เรื่องดีๆแบบนี้ตลอดการเดินทาง พยามข่มตาหลับก็แล้ว หยิบแผ่นพับมาอ่านก็แล้ว ไม่ได้ช่วยให้คิดอะไรแปลกๆน้อยลงเลย

  • เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่าๆ จะข่มตานอนจะหลับก็หลับไม่ค่อยลง ทั้งเสียงเด็กร้อง เดินเสริฟอาหาร แจกแบบฟอร์มเข้าญี่ปุ่นให้กรอก กว่าจะได้นอนก็ปาไป 2 ชั่วโมงกว่า เครื่องก็สั่นตลอดเวลา ขณะที่คิดว่าตัวเองจะหลับนี่เอง สัญญาณรัดเข็มขัดก็ดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงแอร์ประกาศแบบไพเราะๆว่า “ขณะนี้สัญญาณรัดเข็มขัดดังขึ้น เนื่องจากกัปตันแจ้งว่าเจอกับสภาพอากาศแปรปวน ขอให้ทุกคนรัดเข็มขัดแล้วนั่งที่เพื่อความปลอดภัยค่ะ” สิ้นคำที่แอร์ประกาศ เราเหมือนโดนไอสไตล์เข้าสิง จินตรนาการสำคัญกว่าความรู้ขึ้นมาทันที คิดไปถึงฉากที่เครื่องตกลงไปกลางมหาสมุทรรอด...ไม่รอด...รอด...ไม่รอด พึมพำกับตัวเองว่าขึ้นครั้งแรกก็รับน้องกันเลยหรอ รู้สึกได้ถึงเครื่องที่สั่นจริงๆ แต่มองไปรอบๆกลับเห็นทุกคนนั่งเป็นปกติไม่ทุกข์ไม่ร้อน เรารู้สึกคนเดียวหรอเนี่ย พักนึงสัญญาณรัดเข็มขัดหายไป ก็เลยตัดสินใจไม่นอน ไม่เด็ดขาด นั่งเป็นหมีแพนด้าให้รู้แล้วรู้รอดไป ข้อดีของการไม่นอนและนั่งมองไปนอกหน้าต่าง คือได้เห็นม้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนสีจากการโดนแสงอาทิตย์ในตอนเช้า ดูโรแมนติกเนอะ แต่ความจริงง่วงนอนมาก...


  •    ท้ายที่สุดเมื่อถึงปลายทางเครื่องลงจอดที่สนามบินนาริตะ พอล้อแตะพื้นได้รู้สึกเหมือนอยากจะก้มลงกราบพื้น ไม่เกรงใจก็จะจูบลงพื้นเลย  คำว่า”รอดแล้วโว้ย” ก้องดังอยู่ในหู ความกลัวในหัวหายไปหมดเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น มองหน้าเพื่อนร่วมทริปแล้วต่างรู้กันว่านอนไม่หลับกันหมด ทุกคนบนเครื่องดูตื่นเต้น เรามองหน้าต่างออกไปเห็นคนญี่ปุ่นตัวเป็นๆคนแรก เป็นคนที่ทำงานที่สนามบิน โค้งให้เครื่องบินตอนเข้าจอดด้วย ตอนแรกคิดว่าก้มเก็บอะไร แต่เขาทำความเคารพเครื่องจริงๆ เห็นแบบนี้เลยรู้สึกว่าเค้าใส่ใจทุกรายละเอียดเหมือนกันนะ อีกในนึงก็เหมือนให้เกียรติอาชีพตัวเอง เห็นแล้วก็ยิ้มๆทำอะไรไม่ได้นอกจากชื่นชม

       และทันทีที่เครื่องจอดสนิททุกคนบนเครื่องรีบออกันไปที่ประตู เหมือนกับไม่รีบลงแล้วเครื่องจะออก
    เราก็ไหลๆตามเขาไป กลัวว่าถ้ามัวโอเอ้จะไปต่อไม่ถูก แล้วเมื่อเดินลงจากเครื่องสิ่งแรกที่สัมผัสได้ รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง...เย็นโว้ยยยย อากาศเย็นทำให้ได้สติว่า นี่เรามาถึงญี่ปุ่นจริงๆแล้วนะ




    - เข้าใจว่าวันนั้นอุณหภูมิประมาณ 8 องศานะ 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in