รีวิวสุขภาพวันนี้ หวังเป็นข้อมูลไว้ให้ได้อ่านและทำความเข้าใจกันค่ะ เกี่ยวกับสุขภาพของตัวเราเองที่เราอาจจะหักโหมมันโดยไม่รู้ตัว ทั้งด้วยพฤติกรรมของเราเองหรือด้วยต้นสายสาเหตุอื่นที่มันจะเป็นอยู่แล้วก็ตาม ก็อยากจะแบ่งบันข้อมูลโดยตรงและส่วนตัวไว้ตรงนี้ เผื่อเป็นประโยชน์กับผู้อื่นที่ผ่านเข้ามาอ่าน จะได้ดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีและทันเวลา
ก่อนนี้นานมากแล้ว เราเขียนเรื่องตาเราซึ่งมีอาการของต้อเนื้อไว้ ถ้าอัพเดตอาการของปีนี้คือ มันก็มีขยับเข้าตาดำนิดดดดดดดหน่อย และได้พบหมอเพื่อเช็คอาการแล้ว คุณหมอก็แนะนำว่าอย่าให้ตาแห้ง อาจจะใช้น้ำตาเทียมช่วยได้ และพักผ่อนให้เพียงพอ ส่วนถ้าอยากรักษาก็ทำได้เลยเพราะอายุเหมาะกับการรักษาแล้ว นั่นคือ การลอกเนื้อต้อของตาออกนั่นเอง แต่เรายังไม่อยากทำตรงนี้ ก็คงดูแลแบบปกติไป
เคยภูมิใจกับร่างกายตัวเองมาตลอดว่า ในหนึ่งปี แต่ละปีนั้น เราไม่เคยป่วยหนักเลย แบบต้องไปหาหมอเพื่อให้รักษา อย่างมากก็แพ้ฝุ่น แพ้สภาพอากาศ ไอ จาม มีไข้ ทานยาพาราเซตาม่อนก็หาย หรือซื้อยาตามร้านยาก็หายแล้ว แต่เมื่อเราอายุมากขึ้นทุกปีๆ สิ่งที่เคยภูมิใจตรงนั้นก็อาจลดน้อยลง และปีนี้ ร่างกายก็แสดงความอ่อนแอออกมาอย่างชัดเจน ด้วยอาการของการแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
ส่วนลิ้งค์ด้านล่างเป็นข้อมมูลของอาการเบื้องต้นเผื่อใครอยากอ่านก่อนนะคะ
มาถึงอาการและที่เราเป็นค่ะ
อาการมันเห็นได้ชัดจากหนังศรีษะ เริ่มมีรังแค คัน แบบทั่วไปก็คิดว่าเป็นรังแคนี่แหละ ไม่ได้ตกใจอะไร จนกระทั่งเริ่มมีผิวลอกที่หลังหู ลอกแบบเป็นขุย เกล็ดสีขาวออกมา ช่วงแรกก็คิดว่ารังแคอีก อาจจะไปใช้หวีกับใครรึป่าว หรืออาจจะตอนเคยตัดผมให้ยายที่บ้านแล้วแกเป็นรังแคเรื้อรังอยู่แล้ว เลยอาจติดมา
จังหวะนี้ ก็ไปร้านยาละ ไปหาแชมพูขจัดรังแคมาใช้ ก็ลองใช้ไปสักอาทิตย์หนึ่ง อาการพวกนี้ไม่หาย หนำซ้ำยังเป็นเยอะขึ้นกว่าเดิม ยังๆ ยังไม่ไปพบหมอนะ ก็ไปที่ร้านยาใหม่ บอกอาการเภสัชกรไป คราวนี้เลยได้ยามากินด้วย เภสัชกรจ่ายยาแก้เชื้อรามาให้ เราก็กินยาไปพร้อมกับใช้แชมพูยี่ห้อที่รักษารังแคไปด้วย กินยาหมดไป 2 แผง ใช้แชมพูทั้งเซลซัน ทั้งไนโซรัล ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ยังไม่เห็นอาการดีขึ้น
และหนังศรีษะก็เริ่มมีจุดที่เป็นเกล็ดขาวลามไปเยอะขึ้น เกล็ดขาวที่เป็นมันจะเกาะโคนรากผมเรา แล้วจะคันมากๆ อดทนไม่เกาหรือแกะมันไม่ได้จริงๆ แกะออกมาคือเป็นแผ่นพร้อมกับรากเส้นผมออกมาเป็น
กระจุก 4-5 เส้นเลย แล้วเกล็ดหลังหูก็ลามเยอะขึ้น และมีจุดใหม่ที่เป็นอีกคือ ในใบหูทั้งสองข้าง เป็นแบบเดียวกัน เห็นอาการหนักก็ไม่ไหวแล้ว ณ จุดนี้ (จริงๆ ควรไม่ไหวตั้งแต่แรกละมั้ย)
และอาการแทรกระหว่างกินยาคือ ปากแห้ง มีเกล็ด อาจจะจากยาหรือจากอาการของโรค ก็เดาไป
เมื่อเป็นอาการพวกนี้ราวๆ เดือนกว่า จึงตัดสินใจไปหาหมอที่คลินิก หมอซักอาการและตรวจดูจุดที่เป็นเกล็ดตามที่บอกมา อ่อ และมีอีกจุดคือ ตรงแก้มและปีกจมูกทั้งซ้ายและขวา ก็เป็นเหมือนกลากเกลื้อนแต่ไม่ใช่ มันจะคันยิกๆๆ คุณหมอตรวจแว้บเดียวก็วินิจฉัยได้เลย คุณหมอจึงบอกว่า
"เป็นแพ้ภูมิตัวเองนะครับ คล้ายๆ โรคพุ่มพวง แต่ไม่ได้หนักขนาดนั้น ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้น แต่ต้องปรับพฤติกรรมหน่อยนะครับ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือทานวิตามินซี หรือบี ช่วยก็ได้ครับ ทานแบบ 1,000 มิลลิกรรมนะครับ จะได้ผลกว่า 500 และออกกำลังกายเป็นประจำจะดีครับ"
ในใจคือ พอคุณหมอบอกแบบนี้เหมือนรู้พฤติกรรมเราเลย ฮ่าๆ เพราะเป็นช่วงที่เราก็ว่าเราไม่เครียดนะ แต่มันคงเป็นเครียดสะสม ทั้งจากเรื่องงานและช่วงจากทางบ้านที่ไปเฝ้าไข้พ่อด้วย เรื่องนอนดึกนี่แน่นอน จนอาจทำให้เราพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งมาจากพฤติกรรมช่วงนั้นของตัวเองเลย เพราะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หลังจากหมอแนะนำก็อดขำในใจไม่ได้ ยอมรับแต่โดยดีว่ามีพฤติกรรมที่ส่งผลให้มีอาการแพ้ภูมิตัวเองแบบนี้
คุณหมอจึงแนะนำและจ่ายยาให้ต่อ
"เดี๋ยวหมอจะฉีดยาให้หนึ่งเข็มนะ แล้วให้ยาไปทานก่อนสัก 1 สัปดาห์ แล้วเดี๋ยวติดตามอาการกันอีก"
เราถามว่ายาที่ฉีดเป็นยาอะไร
"เป็นยาแก้แพ้ครับ"
หมออธิบายยาตัวนี้เพิ่มอีกแต่เราจำไม่ได้ละ จำได้แค่ว่าแก้แพ้ คุณหมอยังบอกอีกว่า
"อาการนี้ ต้นเหตุไม่ใช่เชื้อรานะครับ แต่เพราะเราแพ้ภูมิตัวเอง อาการพวกนี้จึงออกมา ทำให้ผิวหนังอักเสบ หนังศรีษะอักเสบ เกิดเป็นเกล็ดอย่างที่เป็นครับ "
ในใจเรานี่ โอ้โหหหหหห สมควรแล้วที่ต้องมาหาหมอ การที่เราซื้อยามาทานเองแล้วมันไม่ตรงโรคมันก็ไม่หาย แต่ก็เป็นการรักษาเบื้องต้นที่เราทำได้ก่อน อะนะ คือคิดแบบ ไปร้านยาง่ายกว่าไปหาหมอ
สรุป การรักษาของครั้งนี้ เราฉีดยาแก้แพ้ไป 1 เข็ม รับยาไปทาน 1 ซอง ยาทาบริเวณเกล็ด 1 หลอด และแชมพูยาที่ไม่ใช่ 2 ยี่ห้อที่ซื้อมาใช้ก่อนนี้อีก 1 ขวดเล็ก รวมเงินค่ารักษาและค่ายาไป 450 บาท
โอ้โหอีกรอบ เราตกใจ ฟังผิดรึเปล่า ใช่ 1,450 รึเปล่า เลยทวนคำถามพี่ตรงเค้าน์เตอร์จ่ายยาอีกที ก็ได้คำตอบว่า 450 บาท เหมือนเดิม โอเคค่ะ ขอบคุณมากค่ะ รู้สึกว่ามันถูกมากเลย ทั้งตรวจ ทั้งฉีดยา ยาทา ยากิน มาครบ เป็นคลินิกที่ต่างจังหวัดนะคะ เป็นช่วงที่เรากลับบ้านพอดี ก็ขอขอบคุณมากค่ะ
มาที่อาการหลังจากรักษากับคุณหมอ
ผ่านไป 2 วัน เห็นชัดเจนว่า เกล็ดหลังหูทั้ง 2 ข้าง และที่ใบหูด้านใน ดีขึ้นทันตาเห็น ขุยเกล็ดลดลง ผิวเรียบขึ้นเกือบปกติ หนังศรีษะก็คันน้อยลง ริมฝีปากแห้งน้อยลง พอเห็นอาการดีขึ้นแบบนี้ เราคือ
โคตรดีใจเลย เพราะตอนเป็นแล้วมันชวนหงุดหงิด รำคาญ และทำเราเสียบุคลิกตรงที่จะคอยเกา แกะที่ศรีษะ ช่วงนี้ใส่เสื้อสีเข้มไม่ได้เลย เหมือนรังแคร่วงตลอดเวลา
หลังไปรับการรักษามา เราก็กลับมากรุงเทพ กินยา ทายา สระผมตามคำแนะนำของหมอ และที่สำคัญ ปรับพฤติกรรมตัวเองด้วย แต่อันนี้ทำได้ไม่มากนัก ยังนอนดึกอยู่บ้าง ช่วงที่ต้องปั่นงาน จึงต้องมาปรับทัศนคติตัวเองในการทำงานด้วย ไม่ดองงานว่างั้นเถอะ และก็ซื้อวิตามินซีมากินแบบที่คุณหมอแนะนำ ผ่านไป 1 สัปดาห์ คือหายขาดเลย เรานี่สบายใจ โล่ง ดี๊ด๊าสุดๆ ขอบคุณคุณหมอพันๆ ครั้ง เราจึงควรไปหาหมอเพราะเหตุนี้ เพราะเขาเป็นหมอที่รักษาคน
อาการหลังจากหายแล้ว ผ่านมาราวๆ 1 เดือน
อย่างที่ในบทความบอกไว้ว่า โรคนี้จะเป็นๆ หายๆ ซึ่งตอนนี้ อาการก็กลับมาอีกแล้วค่ะ แต่ไม่หนักเท่าช่วงนั้น มีเกล็ดขึ้นที่ใบหูด้านใน และหนังศรีษะก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เบากว่า ผิวหนังหลังหูไม่เป็น เราก็พยายามไม่นอนดึก ไม่เครียด จัดการตัวเองในการทำงานต่างๆให้ดี เป็นความพยายามในการปรับพฤติกรรมมากๆ อายุคนเราก็เพิ่มมากขึ้นอะเนาะ บางอย่างในร่างการเรามันก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เท่าเมื่อเรายังวัยรุ่นหรือตอนเด็ก บุญเก่าของสุขภาพดีที่สะสมมาก็เริ่มหมดไปทีละน้อยๆ พอจะสร้างเพิ่มตอนอายุมากขึ้นก็คำนี้เลยค่ะ ขี้เกียจ ใครที่ออกกำลังกายได้ ยินดีด้วยนะคะ คุณมาถูกทางและดีต่อคุณมากๆ
กลับบ้านอีกคราวนี้ จะไปพบหมออีกรอบ ติดตามอาการอีกรอบ
สุดท้ายนี้
ตามอาการและการรักษาที่เราแชร์นี้ หวังว่าจะเป็นตัวอย่างในเรื่ิองสุขภาพที่อาจมีคนที่เป็นเหมือนกัน หรือเริ่มสงสัยตัวเอง สิ่งสำคัญที่เราได้รับจากเรื่องนี้คือ
1. ไปหาหมอค่ะ เราอาจจะยื้อ ดื้อซื้อยามากินไปก่อน ตอนไปหาหมอมีแอบเกรงใจด้วยนะ ว่าทานยามาแล้ว 2 แผงไม่หาย กลัวหมอว่าด้วยว่าทำไมไม่มาหาหมอแต่แรก ฮ่าๆ แต่เพื่อการรักษาที่ดี ไม่ควรปกปิดอาการหรือประวัติต่างๆ ของเราค่ะ
2. ความเครียด ถ้าสมองมันตึงๆ ปวดหัวไม่หาย ซึ่งเราก็มีอาการตรงนี้ปวดนานเกือบเดือน ในช่วงที่มีอาการหนักๆ กินพาราก็ไม่หายสักที กระทั่งได้รับการรักษาคือเห็นชัดว่าไม่มีอาการนี้เลย เพราะบางครั้งเราไม่รู้ตัวนะว่าในร่างกายเรามีความเครียดอยู่ และมันอาจสะสมในตัวเราจนเกิดเป็นโรคต่างๆ ได้มากมาย อยากให้ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ใส่ใจเรื่องความเครียดของตัวเองให้มากค่ะ ถ้าไม่ไหวให้ไปหาหมอเลยนะคะ เมื่อไม่มีความเครียด ความปลอดโปร่งจะอยู่ในตัวคุณ ทั้งในร่างกาย ในสมอง และที่สำคัญ ในจิตใจค่ะ มันส่งผลมากๆ ช่วงที่เป็นอารมณ์ก็ปั่นป่วน เหวี่ยง เศร้า หน้าตึง มันส่งผลมากๆ อันนี้เราวิเคราะห์ตัวเอง ทบทวนตัวเอง เก็บข้อมูลตัวเอง เสมอๆ เป็นการใส่ใจตัวเองเบื้องต้นค่ะ ยอมรับที่มันเป็นและเกิดขึ้น แล้วเดินทางไปรักษาให้ถูกทางค่ะ เราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง เราจึงต้องไปหาผู้ที่รู้และเชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่
ถูกที่ควรค่ะ
3. เรื่องพฤติกรรมตัวเอง เป็นครั้งที่เราต้องจัดการตัวเองอย่างมากกกกกก เพื่อให้ดีต่อสุขภาพตัวเอง ตามที่คุณหมอแนะนำไว้ และเราก็หวังว่า เราจะทำมันได้ดีขึ้น ดีกว่าเดิม
ขอจบไว้เพียงเท่านี้ค่ะ
ขอบคุณภาพหน้าปก ซึ่งจำแหล่งที่มาได้ได้แล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in